“วิญญาณหวน…” ซางเจี้ยนเย่าทวนชื่อที่ฟังแล้วค่อนข้างแปลกหู จึงถามด้วยความสงสัย “คำนี้มีที่มายังไงเหรอ”
สงหมิงยกมุมปากอย่างแทบจะมองไม่เห็นก่อนจะตอบ
“ว่ากันว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมจากโลกเก่าที่เกี่ยวข้องกับการเกิดหรืองานศพ
“นี่เป็นเขตแดนที่ควบคุมโดยองค์เทพีของพวกเรา”
ดูเหมือนซางเจี้ยเย่าจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เขารีบถามต่อ
“นอกจาก ‘วิญญาณหวน’ แล้วยังมีอะไรอีก
“มีชื่อไหนยังว่างอยู่บ้าง ถ้าฉันได้เป็นคุรุศักดิ์สิทธิ์ก็จะเลือกชื่อของตัวเองได้ใช่ไหม”
“มีปณิธานมุ่งมั่นดีมาก นี่สิถึงจะเป็นจิตวิญญาณที่นีโอฮิวแมนอย่างพวกเราพึงมี” สงหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความเห็นด้วย
ราวกับว่าเขาได้ครุ่นคิดคำถามนี้มานานแล้ว ดวงตาไม้แกะสลักของเขาวาวขึ้นเล็กน้อย
“ในตอนนี้เท่าที่รู้ก็มีคำว่า เดือนเพ็ญ ร้อยวัน บรรจุโลง อารักษ์ญาณ เคลื่อนร่าง รำลึกอาลัย โศกาดูร…[1]”
“ชื่อที่ยังไม่มีคนใช้ก็มี บรรจุโลง โศกาดูลย์ ร้อยวัน เคลื่อนร่าง ในสี่ชื่อนี้นายจะเลือกมาใช้สักชื่อ หรือจะหาวิธีช่วงชิงชื่อของคุรุศักดิ์สิทธิ์คนอื่นมาก็ได้”
ซางเจี้ยนเย่าสนทนากับสงหมิงอย่างจริงจังว่าชื่อไหนฟังดูดีกว่ากันก่อนจะถามขึ้น
“คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนนี่ทำงานอยู่แผนกไหน”
สงหมิงใช้ดวงตาที่ดูเหมือนไม่อาจเคลื่อนไหวได้มองที่ซางเจี้ยนเย่าอยู่หลายวินาที แล้วก็หัวเราะเบาๆ
“เรื่องแบบนี้นายควรไปถามคุรุศักดิ์สิทธิ์อารักษ์ญาณดีกว่า
“ฉันไม่ควรพูด และก็ไม่อยากข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัวด้วย[2]”
คุรุศักดิ์สิทธิ์อารักษ์ญาณ… ซางเจี้ยนเย่าจดจำชื่อนี้เอาไว้ในใจ
นี่น่าจะเป็นคุรุศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาคุรุศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน
“งั้นไว้กลับไปฉันจะไปถามดู” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ดึงดันจะถามต่อ
เขาแหงนมองหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานแล้วถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง
“เสิ่นตู้ตายได้ยังไงเหรอ
“ใครทำให้เขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ หรือเรียกว่าดูเหมือนเป็น ‘โรคไร้ใจ’ น่ะ”
“ใครคือเสิ่นตู้” สงหมิงขมวดคิ้วถาม
“อ่อ… งั้นก็ไม่เป็นไร” ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
สงหมิงครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“ฉันยังไม่เคยเจอพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ที่ทำให้กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ มาก่อน หรือดูเหมือนว่าเป็นก็ไม่เคยเจอด้วยเหมือนกัน”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ แล้วพูดตัดบทอย่างไม่ลังเล
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
เขาเกรงว่ายิ่งถามมากก็จะยิ่งเผยพิรุธออกไปมากจนส่งผลให้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ถูกทำลายไป
ยิ่งอยู่ในระยะประชิดตัวเช่นนี้ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ สามารถคร่าชีวิตเขาได้ทันที
นอกจากนั้นเขาก็ได้รับข้อมูลสำคัญมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อไปอีก
สงหมิงที่สวมเสื้อดำก็ยิ้มให้พลางโบกมือลา
“ไว้เจอกัน”
“ไว้เจอกัน” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มอย่างสดใสพร้อมกับโบกมือรัวอย่างกระฉับกระเฉง
เมื่อแยกจากสงหมิงแล้ว เขาก็เข้าไปที่ลิฟต์ รูดบัตรแล้วกดหมายเลข ‘647’
* * * * *
เนื่องจากเป็นการฝึกความกล้ารอบที่สอง เจี่ยงไป๋เหมียนจึงยังคงต้องทรมานสังขารซ่อนตัวอยู่ที่สองห้องถัดไป เพื่อที่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถปรากฏกายเพื่อปลอบโยนสมาชิกทีมได้อย่างทันท่วงที
แต่ทว่าในขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาสองทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาดับไฟฟ้า เธอจึงนอนเอนหลังบนโซฟาอย่างผ่อนคลายพลางพลิกอ่านข้อมูลที่เธอเตรียมมาก่อนหน้านี้
“ฉันนี่ช่างเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสียจริงๆ ” พอเห็นซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามา เจี่ยงไป๋เหมียนก็พึมพำเสียงดัง
จากนั้นเธอเก็บขาลงแล้วนั่งตัวตรง
“เป็นไงบ้าง ได้อะไรเพิ่มเติมไหม”
เธอรู้ว่าเย็นนี้ซางเจี้ยนเย่าไปหาสงหมิงเพื่อผูกสัมพันธ์ด้วย
นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมเธอถึงยังอยู่ที่ชั้น 647 ในคืนนี้
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หากซางเจี้ยนเย่าได้รับข้อมูลที่สำคัญเร่งด่วนมา ก็จะไม่สามารถแจ้งเธอได้ทันท่วงที
ซึ่งบางทีอาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญไปได้
“เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนฆ่าหวังย่าเฟย” ซางเจี้ยนเย่าเข้าประเด็นทันที
จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโซฟา แล้วก็เล่าทวนคำพูดสงหมิงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ฟังเรื่องราวก็มีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง แต่พอได้ยินคำว่า ‘คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวน’ ก็ราวกับมีเวทมนตร์อะไรบางอย่างที่ทำลายแนวป้องกันทางจิตของเธอเสียกระเจิงจนทำให้หลุดหัวเราะร่วนออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“ฮ่า ฮ่า นิกายของพวกนายนี่มัน… ช่างสรรหาตั้งชื่อกันเสียจริง ฮ่า ฮ่า
“ฉันเคยอ่านหนังสือจากโลกเก่าที่เกี่ยวกับพิธีศพ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนอุตริเอาคำพวกนี้มาตั้งเป็นสมญานามตัวเองด้วย ฮ่า ฮ่า ตลกชะมัดเลย ฮ่า ฮ่า นายไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันโคตรตลกบ้างหรือไง”
หลังจากหัวเราะกันอยู่พักใหญ่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็กุมท้องแล้วพูดด้วยท่าทาง ‘จริงจัง’
“นี่สงหมิงยังรู้จักเกี่ยวกับพิธีศพไม่มากเท่าไหร่ ฉันว่ามีชื่อหนึ่งที่นายต้องชอบแน่ๆ
“คุรุศักดิ์สิทธิ์เพลงกล่อมวิญญาณ เป็นการขับร้องบทสวดในพิธีศพน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจดจ่อตั้งใจฟังถึงกับส่ายหน้า
“หัวหน้า คุณอย่ามัวเล่นสิ นี่มันเรื่องจริงจังนะ”
ฉับพลันนั้นเองเจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกเหมือนว่าการกระทำของตัวเองกับซางเจี้ยนเย่านั้นสลับบทบาทกันเสียแล้ว
“หือ นายว่าอะไรนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสร้งเอามือแตะหูทำเฉไฉตามเคย “อืม เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนถึงสองคน เราอย่าเพิ่งเบี่ยงประเด็น”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“การเลือกฉายามันเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนสูดหายใจเข้าลึก จ้องมองซางเจี้ยนเย่าขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบราวกับว่ากำลังพิจารณาว่าจะฟาดใส่ซางเจี้ยนเย่าที่ตำแหน่งไหนดี
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเธอก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อสงหมิงยอมรับแล้ว การคาดเดาของเราได้รับการยืนยันเรียบร้อย นอกจากนั้นก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของคุรุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังเขา งั้นพวกเราก็ต้องรีบรายงานเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด
“ถ้าขืนพวกเรายังทำการสืบสวนต่อไปก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น และมีโอกาสถูกเปิดโปงมากด้วย ไม่จำเป็นต้องลงมือต่อไปอีกแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ยืนกรานจะทำต่อเช่นกัน
“ตกลงครับ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย กำมือขวาป้องปากป้องจมูก อยู่ในท่วงท่าใช้ความคิด
“คำถามก็คือ จะรายงานยังไง และรายงานต่อใครดี
“ฉันไม่อยากกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ เสียด้วยสิ”
เสิ่นตู้เป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว…
ไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง
“อีกฝ่ายนั้นเหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด ไม่มีทางรู้เลยว่ามีใครบ้างที่เป็นสมาชิกหรือใครที่ไม่เป็น”
“ผมเป็น” ซางเจี้ยนเย่าตอบเพื่อยืนยันตัวเอง
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับหมดคำพูด “ฉันหมายความว่าตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าเบื้องบนของแผนกความมั่นคงหรือสมาชิกของคณะกรรมการบริหารมีใครที่เป็นพวกของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ บ้างหรือเปล่า ขืนทะเล่อทะล่าแจ้งไป อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้”
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ
“ผมมีวิธี”
“วิธีไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมใจไว้แล้วว่าคงจะได้รับคำตอบที่พิลึกพิลั่น
แต่เธอก็ไม่ได้ขัดเขาเพราะคิดว่าอาจจะได้รับแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาบ้าง มุมมองกระบวนการคิดของซางเจี้ยนเย่านั้นแตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปอย่างแน่นอน
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างกระตือรือร้น
“ลอบเข้าไปในสถานีวิทยุกระจายเสียง คุมตัวโฮ่วอี๋ แล้วแจ้งข่าวนี้ในช่วงระหว่างรายการข่าว
“ในตอนนั้นทุกคนก็จะได้รับฟังพร้อมกันทั้งหมด พวกเบื้องบนที่ไม่ได้เป็นคนของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ ก็จะเคลื่อนไหวดำเนินการ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจฟังจนจบ ใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก่อนจะร้องโพล่งขึ้น
“โอ้ วิธีนี้ดีทีเดียว
“ไอเดียนี้ไม่เลว ใช้ได้ ใช้ได้
“เป็นเพราะ ‘พิธีกรรมชีวิต’ ไม่ได้ควบคุมเบ็ดเสร็จทั้งบริษัท ทั้งยังไม่กล้าเทศน์อย่างเปิดเผย นี่หมายความว่าพวกเขามีจำนวนน้อย ถึงแม้ว่าจะมีพรรคพวกแฝงอยู่ในระดับสูงก็คงมีจำนวนไม่มากเท่าไหร่ พอเราเปิดเผยเรื่องราวสู่สาธารณะและคนระดับสูงที่เหลือทั้งหมด ความยุ่งยากของพวกเขาก็ยิ่งทับทวีคูณไปอีกหลายเท่า แบบนี้พวกเขาก็อาจจะต้องเป็นจิ้งจกสลัดหาง ยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต”
ซางเจี้ยนเย่าผุดลุกขึ้นยืนทันที
“งั้นผมไปลงมือเลยนะ!”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตะโกนเรียกเขาทันที
เธอตะคอกใส่
“ฉันแค่บอกว่าไอเดียดี ไม่ได้บอกว่ามันทำได้สักหน่อย!”
“ผมแอบลอบเข้าไปในสถานีวิทยุได้ไม่ยาก” ซางเจี้ยนเย่าต้องการนำเสนอว่าแผนนี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
“ฉันรู้น่า ว่านายมีพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันยังเอาไปใช้ทำเรื่องอื่นได้อีกล่ะก็ จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘สร้างสหาย’ ก็ยังได้” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “แต่ปัญหาก็คือผลที่จะตามมาน่ะสิ”
เธอชูนิ้วขึ้นมา ยกทีละประเด็นเพื่อวิเคราะห์ให้ซางเจี้ยนเย่าฟัง
“วิธีนี้มันสามารถแก้ปัญหาเรื่อง ‘พิธีกรรมชีวิต’ ได้ก็จริง
“แต่ว่าเมื่อออกอากาศกระจายเสียงไปแบบนั้น ก็จะทำให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น บริษัทจะไม่ปล่อยพวกสมาชิกระดับล่างสุดของนิกายไว้หรอกนะ จะต้องถูกจัดการไปด้วยกันเลย พวกเขาไม่ใช่คนที่นายอยากจะปกป้องไว้หรือไง
“นอกจากนั้นแล้วนายจะปล่อยให้พวกเขาต้องถูกพนักงานคนอื่นรอบข้างมองด้วยสายตาแปลกๆ งั้นเหรอ
“นั่นคือประเด็นใหญ่ ยังมีประเด็นย่อยอยู่อีก นายคิดว่าหลังจากนั้นบริษัทจะทำการสืบสวนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานีวิทยุหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็จะยืนยันได้ว่านายน่ะเป็นผู้ตื่นรู้
“ไม่ใช่ว่านายอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้หรือไง ยังมีอีกนะ ฉันจะต้องถูกลงโทษเรื่องที่ช่วยนายปิดบังความลับของผู้ตื่นรู้แหงๆ หรือไม่ก็ต้องถูกประเมินความสามารถว่า ‘อ่านคนไม่ขาด’”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะกลับลงมานั่งอีกครั้ง
“ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวว่าจะถูกบริษัทรู้ว่าผมเป็นผู้ตื่นรู้ เพียงแค่กลัวว่าจะถูกย้ายออกจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เท่านั้นเอง” เขาพูดถึงความคิดของตัวเองในเวลานี้
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง
“วางใจเถอะ นายยังไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวในตอนนี้หรอก
“เพราะไอเดียของนาย ก็เลยทำให้ฉันมีวิธีที่ง่ายและสมบูรณ์แบบมากขึ้นอีก”
“วิธีไหน” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างให้ความร่วมมือ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“ก็ด้วยการส่งอีเมลไปให้สมาชิกคณะกรรมการบริหารทุกคน รวมถึงระดับสูงของแผนกความมั่นคงทุกคนด้วย เล่าเรื่องราวทั้งหมดทุกอย่างให้ฟัง”
“อีเมล…” ซางเจี้ยนเย่าเคยเรียนคำนี้จากในหนังสือเรียน และเคยได้ใช้ตอนสมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “ฉันจะบอกว่าสมาชิกในทีมฉัน ซางเจี้ยนเย่า ได้ตระหนักเกี่ยวกับการเสียชีวิตของหวังย่าเฟย จึงรายงานเรื่องนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ให้ฉันทราบ จากนั้นฉันจึงได้ติดตามจากรายงานการสืบสวนร่วมกับสถิติทางการแพทย์ และได้อนุมานว่ามีผู้ตื่นรู้ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่ชั้น 478 มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้วย หลังจากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ได้ไปซักถามและตรวจสอบสถานที่ และสามารถยืนยันได้ว่าผู้ต้องสงสัยคือสงหมิง”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจ
“นี่เป็นเนื้อหาอีเมลที่ฉันจะส่งไป
“แต่ถ้าหากว่าสงหมิงถูกจับกุมและพูดถึงนาย ตัวตนผู้ตื่นรู้ของนายก็จะถูกเปิดเผยออกมา ดีที่นายไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากนัก”
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมไม่ได้บอกสงหมิงว่าเป็นผู้ตื่นรู้ ผมพูดว่าเขามีความสามารถพิเศษ ผมเองก็มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน
“ความสามารถพิเศษของเขาก็คือดวงตาที่ไม่ขยับไปมา ความสามารถพิเศษของผมก็คือมีปัญหาทางจิต”
“…นี่นายคิดเหรอว่าบริษัทจะเชื่อว่าการที่สงหมิงยอมเปิดใจเป็นเพื่อนกับนายเพราะเหตุผลข้างๆ คูๆ แบบนี้เนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับกุมขมับ
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน
“งั้นฉันกลับก่อนละกัน จะรีบไปส่งอีเมลตอนนี้เลย
“คืนนี้นายก็เตรียมตัวไว้ละกันนะสำหรับการสอบปากคำ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรอีก ลงลิฟต์กลับไปที่ชั้น 495
ภายใต้แสงไฟถนน เขาเดินไปที่ห้อง 196 เขต B
ขณะที่เดินไปที่ประตูและกำลังจะหยิบกุญแจออกมา ทันใดนั้นมุมหางตาก็พลันเห็นเงาร่างหนึ่ง
* * * * *
[1] เดือนเพ็ญ ร้อยวัน บรรจุโลง อารักษ์ญาณ เคลื่อนร่าง รำลึกอาลัย โศกาดูร (满月、百日、入殓、守灵、出殡、五七、哭丧) เป็นคำที่ใช้ในประเพณีพิธีศพของชาวจีน ซึ่งบางคำก็ไม่มีใช้ในภาษาไทย คำว่า “五七 รำลึกอาลัย” คือ การรำลึกถึงผู้วายชนม์ 35 วัน คำว่า “哭丧 โศกาดูร” คือ การร้องไห้ในพิธีศพ จะต้องร้องไห้คร่ำครวญปานขาดใจ หมายถึงลูกหลานที่ร้องไห้คร่ำครวญมากคือลูกหลานมีความกตัญญูมาก
[2] ข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัว (越俎代庖) หมายถึง เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการบูชาบรรพชน ไม่ใส่ใจจัดเตรียมภาชนะเครื่องเซ่นบูชา แต่กลับลงมือทำงานเป็นพ่อครัว เป็นสำนวนเปรียบถึงการข้ามหน้าข้ามตา ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น