ริมฝีปากหลงเยว่หงสั่นรัวขณะที่หัวเราะเยาะตัวเอง
“ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นบุตรสวรรค์หรอก แต่เป็นคนดวงกุดต่างหาก”
เขาพูดเบาๆ และไม่ได้พูดซ้ำ เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงคอเล็กน้อยเพื่อพยายามจะฟังว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ยิน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้บอกให้เขาพูดซ้ำ เธอยิ้มพลางพูด
“เราจะฝึกฝนกันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเรื่องยิงปืน ต่อสู้ประชิด เอาชีวิตรอดในแดนร้าง ใช้งานอุปกรณ์ชุดเกราะกระดูกเสริมแรง[1]กับชุดเกราะไบโอนิกสมองกล[2] แต่ก็ไม่ได้จำกัดเพียงแค่นี้
“หากใครทำผลงานได้ไม่ดีหรือคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ ฉันจะไล่ออกจากทีมสำรวจเก่า ให้เปลี่ยนงานไปซะ”
ดวงตาหลงเยว่หงสั่นไหว ความคับข้องใจหายไปทันที
“แต่ว่านะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจไม่มองเขา แต่กลับหันไปทางซางเจี้ยนเย่าแทน “ถ้าใครจงใจเป็นตัวถ่วงตอนฝึก และไม่ทำให้เต็มที่ ฉันจะเขียนกำกับลงไปในใบประวัติไว้ด้วย พวกนายคงรู้ชัดเจนนะว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง”
พนักงานบริษัทนั้นถ้าถูกติดดาวดำลงในประวัติงานแล้ว งานที่จะถูกจัดให้บรรจุในครั้งต่อไปจะเป็นงานที่ไม่ค่อยดีนัก และถ้าได้สามดาวดำเมื่อไหร่ก็จะถูกเนรเทศออกไปอยู่แดนธุลี
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลงเยว่หง เขาพูดอย่างจริงจัง
“ถ้าผ่านการฝึกไม่ได้ ย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะไปช่วยโลกครับ”
ไป๋เฉินที่นั่งบนโซฟาอดเหลือบมองชายหนุ่มอีกครั้งไม่ได้ สงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า
แม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะตรงตามรสนิยมของเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังเจตนาพูดเตือนเจี่ยงไป๋เหมียน
“หัวหน้า หลังจบคอร์สฝึกฝนแล้ว จะให้ดีเราน่าจะไปประเมินสภาพร่างกายและสภาวะจิตใจกันด้วยนะ ในแดนธุลีเนี่ยมีสารพัดเรื่องที่จะทำให้มนุษย์เกิดความผิดปกติทางจิต ซึ่งจะมีปัญหาตามมาอย่างมากในภายหลัง เราต้องกำจัดภัยที่แฝงอยู่ซะตั้งแต่ต้นลม”
“เป็นคำแนะนำที่ดี” เจี่ยงไป๋เหมียนดีดนิ้ว “แต่ปัญหาคือเธอช่วยพูดดังกว่านี้หน่อยได้ไหม ฉันได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
“ค่ะ หัวหน้า!” ไป๋เฉินตอบเสียงดังด้วยเสียงแหบพร่าของเธอ
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างพอใจแล้วพูดต่อ
“สรุปคือใครที่จบหลักสูตรฝึกฝนและผ่านการตรวจสอบของฉันได้ จะมีโอกาสสูงที่จะรอดชีวิตจากภารกิจในภายภาคหน้า ส่วนใครที่คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ ฉันจะไม่ปล่อยให้ทำงานอยู่ในทีมสำรวจเก่าแล้วต้องไปเผชิญหน้ากับอันตรายที่รับมือไม่ไหว สำหรับบริษัทแล้วทุกแรงงานล้วนมีคุณค่า ดังนั้นตราบใดที่ยังมีคุณค่าอยู่ บริษัทก็จะไม่ปล่อยทิ้งให้เสียของเด็ดขาดจนกว่าจะรีดเอาคุณค่าของพวกนายออกมาจนเกลี้ยงซะก่อน”
“เฮ่อ…” หลงเยว่หงโล่งใจ ไม่รู้สึกหวาดกลัวและกดดันอีกต่อไป
เขาอยากจะตอบกลับ แต่กลับรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายของหัวหน้าทีมนั้นฟังดูแปลกๆ และทำให้ในใจเขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
ไป๋เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มสงสัยว่าหัวหน้าทีมจะเป็นเหมือนซางเจี้ยนเย่าหรือเปล่า คือมีปัญหาทางจิตนิดหน่อย
ทำไมถึงเอาเรื่องจริงมาพูดกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ล่ะ
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมืออย่างกระตือรือร้น
“พูดดีมากครับ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแข็งค้าง ก่อนพูดว่า
“ซางเจี้ยนเย่า ฉันว่าการแสดงออกของนายไม่ค่อยเหมือนคนปกติทั่วไปนะ นายจะอยู่ทีมสำรวจเก่าไหวเหรอ
“แล้วไม่ดีเหรอครับ ตอนที่ทุกคนกำลังเศร้า หดหู่ และสิ้นหวัง แต่ก็ยังมีอีกคนที่ยังยิ้มได้ มีกำลังใจความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม และพยายามสร้างความบันเทิงเพื่อเพิ่มกำลังใจให้คนอื่น” ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจเล็กน้อย
“คราวนี้คำพูดนายฟังปกติล่ะ”
“ผมก็ปกติมาตลอดแหละ” ซางเจี้ยนเย่าตอบ นั่งตัวตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนรับคำแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นนายจะสร้างความบันเทิงให้คนอื่นยังไง”
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่อึดใจแล้วตอบ
“เต้นระบำฮาวาย”
“…ไว้จะรอดูละกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบพอเป็นพิธี “เออ ใช่ นายไปหัดมาจากไหนน่ะ”
“จากการแสดงสิ้นปีของ ‘แผนกนันทนาการ’ ครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ
“ว้า ฉันไม่ได้ดูน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือเบาๆ
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็ทำเอาไป๋เฉินรู้สึกหวั่นไหวในใจมากขึ้น
เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่านะที่มาเข้าทีมนี้
เธอมองกวาดไปแล้วเห็นสีหน้าของหลงเยว่หงที่สับสนปนสงสัยเช่นกัน
นอกจากฉันแล้ว คนที่ยังเป็นปกติที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือตาทึ่มตาขาวคนนี้นะเหรอ ไป๋เฉินดึงผ้าพันคอขึ้นเหมือนอยากจะซุกหน้าไว้ในนั้น
หลังจากพูดคุยเรื่องการแสดงของวันส่งท้ายปีเมื่อปีที่แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลิกมือเพื่อมองดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์เรือนสีดำที่ผูกไว้บนข้อมือ
“ตอนนี้สายมากแล้ว ยังมีการฝึกซ้อมต่ออีก งั้นฉันจะพูดสั้นๆ ล่ะนะ”
พอเห็นซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ทั้งหมดล้วนมองนาฬิกาบนข้อมือเธอ เจี่ยงไป๋เหมียนก็โบกมือพูด
“ฉันเอาเนื้อวัวย่างถั่วเหลือง 2 กระป๋องไปแลกเจ้านี่มาจากคนเร่ร่อนในแดนร้างน่ะ เขาพกมันมาด้วย ตอนนั้นก็พังแล้วแหละ ยังดีที่ฉันรู้จักกับหัวหน้างานของเขตโรงงาน เลยจ่ายแต้มส่วนร่วมเพื่อหาวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยซ่อมให้น่ะ”
“ฮ่า ฮ่า อย่าอิจฉาเลยน่า พวกนายก็มีโอกาสแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ ตราบใดที่พวกนายออกจากบริษัทไปแดนธุลี จะมีโอกาสเยอะแยะที่จะไปคุ้ยเก็บขยะ จริงไหม ไป๋เฉิน ฉันจำได้ว่าสมัยก่อนเธอเป็นนักคุ้ยขยะใช่ไหมล่ะ”
หัวหน้า ได้โปรดอย่าใช้คำพูดแสลงหูแบบนั้นได้ไหม… ไป๋เฉินอ้าปากถอนใจเบาๆ
“นักล่าซากอารยะต่างหาก
“แต่จะว่าไปแล้วฉันก็ไม่ได้เป็นนักล่าซากอารยะจริงๆ หรอก ฉันแทบไม่เคยเข้าไปในส่วนลึกของซากเมืองในแดนร้างเท่าไหร่ ที่แบบนั้นอันตรายเกินไป ส่วนใหญ่แล้วในแดนร้างฉันเลยทำแค่เก็บพวกชิ้นส่วนของ…”
พอพูดมาถึงท่อนนี้ หญิงสาวร่างเล็กหยุดไปสองวินาทีเพื่อพยายามเค้นหาคำพูดที่ดูดี แต่สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันพูดต่อ
“พวกขยะ!
“แล้วก็ไปซากเมืองที่กำจัดพวกสิ่งอันตรายไปเกือบหมดแล้วและอยู่ไม่ไกลนัก มองหาอะไรที่พวกนักล่าคนอื่นๆ มองข้ามหรือยังหาไม่เจอ จากนั้นก็ขับรถไปนิคมอื่นๆ ในแดนร้างเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ”
ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงพยักหน้าเพื่อแสดงว่าพวกเขาเข้าใจ
ในตำราเรียนที่พวกเขาใช้เรียนนั้น มีพูดถึงเรื่องสภาพการณ์ทั่วไปของแดนธุลี เรื่องหนึ่งในนั้นก็มีการแนะนำอาชีพ ‘นักล่าซากอารยะ’[3] ไว้ด้วย
นี่เป็นอาชีพที่แพร่หลายมากขึ้นหลังจากการล่มสลายของโลกเก่า เป็นอาชีพที่ค้นหาซากปรักหักพังของโลกเก่าเพื่อค้นหาสิ่งของ หนังสือ ข้อมูลเชิงเทคนิค เอกสารที่เกี่ยวข้อง และทรัพยากรต่างๆ เพื่อการอยู่รอด
กลุ่มสมาชิกของนักล่าซากอารยะนั้นค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร มีทั้งนักโบราณวัตถุ นักประวัติศาสตร์ นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และกลุ่มนักสำรวจจากกองกำลังขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเลี้ยงชีพโดยการหาพวกซากโบราณวัตถุแล้วนำไปขายต่อ พวกนี้ส่วนมากจะเป็นโจรแดนร้างที่ทำงานแบบ ‘พาร์ทไทม์’
หลังจากกลียุคผ่านไปหลายปี เพื่อที่จะจัดระเบียบของการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสิ่งของ รวมถึงการยืนยันความน่าเชื่อถือของกันและกัน ภายใต้ความคิดริเริ่มของคนที่แข็งแกร่งบางคน จึงได้จัดตั้งองค์กรแบบหลวมๆ ขึ้นมา ชื่อว่า ‘สมาคมนักล่า’
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจบแล้วก็ชมเธอออกมาหนึ่งประโยค
“คราวนี้พูดเสียงดังฟังชัดดี”
เธอยิ้มแล้วพูดต่อ
“ที่จริงแล้วยังมีนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ด้วยนะ เพียงแต่ว่ามีจำนวนจำกัด หาได้แค่ที่ ‘ปฐมนคร’[4] เท่านั้น
“ว้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีโอกาสไปที่นั่น”
ปฐมนครไม่ได้เป็นแค่ชื่อเมือง แต่ยังเป็นชื่อของกองกำลังใหญ่อีกด้วย ในอดีตนั้นว่ากันว่านี่เป็นเมืองแรกที่มนุษย์สร้างขึ้นบนซากเมืองที่พังพินาศหลังจากที่โลกเก่าถูกทำลาย เป็นเมืองหลวงยุคหลัง และในยุคหลังนี้ที่นี่คือกลุ่มกองกำลังที่มีแสนยานุภาพและประชากรมากที่สุดในแดนธุลี
เมื่อได้ยินชื่อ ‘ปฐมนคร’ สีหน้าไป๋เฉินหม่นหมองลงทันทีราวกับว่าหวนนึกถึงอดีตอันเลวร้าย
เธอไม่ได้ขัดจังหวะเจี่ยงไป๋เหมียน ทำเพียงแค่ห่อตัวลงกับที่พักแขนของโซฟา
เพี้ยะ!
เจี่ยงไป๋เหมียนตบหน้าผากตัวเอง
“วู้ ดูสิ ตะกี้เพิ่งบอกว่าจะพูดสั้นๆ แต่ดันเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระซะงั้น
“เอาละ เข้าประเด็นกันซักที เรื่องสวัสดิการ!
“ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง พวกนายจะได้เป็นระดับ D1 ซึ่งก็เหมือนกับงานตำแหน่งอื่นนั่นแหละ จะได้รับเดือนละ 1,800 แต้ม แต่จะมีสวัสดิการอาหารให้ด้วย
“สวัสดิการอาหารคือแบบนี้นะ พวกนายจะมีวันพักเดือนละ 4 วัน วันที่เหลือทั้งหมดคือวันฝึกซ้อม ในวันฝึกซ้อมจะได้กินอาหารเช้า เที่ยง และเย็นที่โรงอาหารเล็กที่อยู่ติดๆ กัน มีเมนูเนื้อพิเศษให้วันละสองชุด ชุดหนึ่งราคาแค่ 1 แต้มส่วนร่วม จะกินหมดในมื้อเดียวหรือจะแบ่งเป็นสองมื้อก็ตามใจ
“ส่วนในวันพัก 4 วันนั้นจะได้เป็นแต้มส่วนร่วมวันละ 25 แต้ม นี่เท่ากับเนื้อหมูดิบครึ่งจินเลย นั่นคือหนึ่งเดือนจะได้รับ 100 แต้ม
“หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือระหว่างที่ยังฝึกกันอยู่ อ่อ ไม่รวมออกภาคสนามนะ พวกนายจะได้รับเดือนละ 1,900 แต้ม
“เมื่อพวกนายออกจากบริษัทไปฝึกภาคสนามที่แดนธุลี ไม่เพียงแต่จะได้รับของจำเป็น แต่ยังได้รับเบี้ยเลี้ยงภาคสนามเพิ่มอีก 30 แต้ม ถ้าได้บาดเจ็บจะชดเชยค่ารักษาให้เต็มจำนวน ถ้าพิการ ทางบริษัทจะผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะชีวภาพเทียมให้ฟรีด้วย
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองดูหลงเยว่หง
“กรณีเสียชีวิตจะได้รับแต้มชดเชยเดือนละ 80 แต้ม
“โดยสรุปคือ ทีมของพวกเราซึ่งมีระดับต่ำกว่า D7 นั้นได้รับสวัสดิการดีกว่าพนักงานในแผนกอื่นที่อยู่ระดับเดียวกัน
“เมื่อพวกนายจบหลักสูตรการอบรมทั้งหมดและผ่านการประเมินคุณสมบัติ ก็จะเลื่อนระดับเป็น D2 ทันที ซึ่งคนอื่นๆ ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี หรือบางทีก็นานกว่านั้นกว่าจะได้เลื่อนระดับ”
ตอนแรกนั้นหลงเยว่หงรู้สึกห่อเหี่ยวหมดแรง แต่หลังจากฟังแล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
ในภายภาคหน้าถ้าหากว่าเขาสามารถรอดชีวิตจากการออกปฏิบัติภารกิจในช่วงแรกๆ ของทีมสำรวจเก่าได้ เขาอาจจะขึ้นไปถึงระดับ D6 พอถึงตอนนั้นก็สามารถทำเรื่องขอย้ายงานได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นพนักงานที่มีตำแหน่งสูงสุดในหมู่เพื่อนๆ และมีรายได้มากสุดด้วย ตราบใดที่ไม่ได้ไปพักอยู่ในเขตของพวกผู้จัดการ ไม่ว่าจะไปทางไหนเขาก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้
“สำหรับเธอ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไป๋เฉิน “เนื่องจากเธอไม่ได้เป็นพนักงานอย่างเป็นทางการของบริษัท ดังนั้นจะได้รับสวัสดิการตามเดิมเหมือนก่อนหน้า แต่ว่าจะได้รับสวัสดิการอาหารและเบี้ยเลี้ยงภาคสนามเพิ่ม เมื่อจบหลักสูตรการฝึกฝนและผ่านการประเมินแล้วถึงจะได้เป็นพนักงานอย่างเป็นทางการ”
สีหน้าของไป๋เฉินผ่อนคลายขึ้น เธอผงกศีรษะเบาๆ เพื่อบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือซ้ายขึ้นมาชูห้านิ้ว
“การฝึกเช้านี้คือการทำความรู้จักปืน ถอดประกอบปืน บรรจุกระสุนปืน”
“เราเคยเรียนกันมาแล้วไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงโพล่งขึ้น
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในมหาวิทยาลัยมีวิชาภาคบังคับอย่างเช่นการต่อสู้ประชิดและการยิงปืน
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “นายได้เรียนแค่อาวุธมาตรฐานของบริษัทเท่านั้น
“อีกเดี๋ยวฉัน ไม่สิ ไป๋เฉินจะแนะนำให้พวกนายรู้จักอาวุธสารพัดแบบที่ผลิตโดยกองกำลังอื่นๆ และพวกของจากแดนร้างกับซากปรักที่อื่น
“พวกนายต้องรู้ไว้นะ ในตอนที่พวกเราออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก สถานการณ์ที่เราจะเสียอาวุธในมือหรือไม่สามารถหาอาวุธที่มีประสิทธิภาพได้นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อเจอแบบนั้น เก็บปืนอะไรมาได้ก็ต้องซ่อมปืนอันนั้นได้ เก็บลูกกระสุนขนาดไหนมาได้ก็ต้องใช้อาวุธที่ใส่กระสุนอันนั้นได้ ยิ่งเชี่ยวชาญพวกนี้เพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งมีความหวังในการรอดชีวิตมากขึ้น”
“เอาละ” เธอตบมือ “ไปเปลี่ยนเครื่องแบบที่ห้องแต่งตัวข้างห้องอาบน้ำรวม เสร็จแล้วก็ไปที่ห้อง 15”
แล้วเธอก็ชี้ไปยังเสื้อผ้าสองสามชุดบนโต๊ะวางถ้วยน้ำชา
* * * * *
[1] เกราะกระดูกเสริมแรง (外骨骼) หมายถึง โครงสร้างเหมือนเกราะที่ใส่ไว้บนร่างกายเพื่อช่วยในการเสริมแรงหรือช่วยพยุง
[2] ชุดเกราะไบโอนิกสมองกล (仿生智能盔甲) อีกชื่อหนึ่งคือ “เกราะไบโอนิกอัจฉริยะ”
[3] นักล่าซากอารยะ (遗迹猎人)หมายถึง ผู้ที่เป็นเหมือนนายพรานในการตามล่าซากวัตถุโบราณ
[4] ปฐมนคร (最初城) หมายถึง เมืองแรกสุด