รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 113 การดำรงชีพในแดนธุลี (องก์สาม : ชะตาชีวิต)

เมื่อเทียบกับตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เพิ่งจะกลับมาจากเมืองฉีเฟิงแล้ว แดนร้างในตอนนี้ดูซบเซาอ้างว้างมากขึ้นราวกับว่ามันเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวเพียงชั่วข้ามคืน

“หิมะใกล้จะตกแล้วเหรอ” หลงเยว่หงมองดูท้องฟ้าสีหม่นนอกหน้าต่างแล้วคาดเดา

เขาเคยเห็นหิมะจากแค่ในหนังสือเรียนและสไลด์การสอนเท่านั้น

“ดูจากช่วงเวลานี้ของปีก่อนๆ ก็น่าจะใกล้มีหิมะตกแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบในขณะที่ขับรถอยู่

ไป๋เฉินที่อยู่เบาะที่นั่งข้างคนขับมองดูกระจกหลังแล้วพูด

“ทางเหนือของบึง น่าจะมีหิมะตกหลายครั้งแล้ว”

เหนือสุดของแดนร้างบึงดำนั้นติดกับทุ่งน้ำแข็ง ซึ่งที่นั่นเป็นโลกเยือกแข็งอันหนาวเหน็บ

แต่เนื่องจากแดนร้างบึงดำนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก สภาพอากาศของพื้นที่ทางตอนใต้จึงไม่ถึงกับรุนแรงเลวร้ายมากนัก ยังคงมีสี่ฤดูกาล

“อยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าที่บอกว่าหิมะปกคลุมสุดลูกหูลูกตานั้นเป็นยังไง” หลงเยว่หงละสายตากลับมา พูดด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์

ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งตัวตรงอยู่ก็ตอบขึ้นในทันที

“คำพูดนั่นไม่เป็นมงคลเอาซะเลย”

“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงรู้ว่าซางเจี้ยนเย่าเป็นคนประเภทปากสุนัขไม่งอกงาช้าง[1] แต่ก็ยังอดถามกลับไปไม่ได้

เขาค่อนข้างอ่อนไหวกับคำประเภทว่า โชคดี โชคร้าย โชคชะตา

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

“นายลองคิดดูสิ ถ้าหากว่าแผ่นดินทั้งผืนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ งั้นก็มีแต่สีขาวอยู่เต็มไปหมด แบบนี้ยังเป็นมงคลอยู่ไหมล่ะ[2]”

“นั่นก็จริง…” หลงเยว่หงยอมรับว่าคำพูดของซางเจี้ยนเย่านั้นมีเหตุผล

พอได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็กล่าวเสริม

“ช่วงหน้าหนาวของทุกปี ไม่รู้ว่ามีคนเร่ร่อนแดนร้างมากมายตั้งเท่าไหร่ที่ต้องหนาวตาย หิมะนี่ถือว่าเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งของพวกเขาเลย ใช่ไหมล่ะ ไป๋เฉิน”

“อืม” ไป๋เฉินดึงผ้าพันคอสีเทาที่พันรอบคอเธอให้กระชับ “ในนิคมคนเร่ร่อน มีบ้านหลายหลังอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม พอหิมะตกหนักบ้านก็พังครืนลงมา และมีคนไม่น้อยเลยที่ขนาดเสื้อผ้ายังไม่มีจะใส่ นับประสาอะไรที่จะหาเสื้อผ้ามาเพิ่มเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น”

หลงเยว่หงได้ยินก็พลันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างทอดถอนใจ

“ที่บริษัทดีกว่าเยอะเลย”

ไม่ว่าจะพูดยังไง พวกพนักงานนั้นยังมีเสื้อกันหนาวสวมใส่ มีกระเป๋าน้ำร้อนไว้อุ่นกาย

พวกที่อยู่ระดับสูงหน่อยก็ได้รับการปันส่วนพลังงานที่มากขึ้นอีก และถ้าพวกเขาไปหาซื้อเครื่องทำความร้อนมาใช้ บางครั้งก็ยังเปิดใช้ได้สักหนึ่งถึงสองชั่วโมง

เมื่อพูดถึง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ หลงเยว่หงก็พลันคิดถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ รีบถามด้วยความหวาดกลัว

“หัวหน้า คุณคิดว่าถ้าแผนภารกิจของเราหลุดไปถึงหูคนจากนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ที่หลบซ่อนอยู่จริงๆ แล้ว อย่างนั้นพวกสาวกที่อยู่บนพื้นโลกจะซุ่มโจมตีเราที่เมืองน้ำล้อมหรือเปล่า”

เส้นทางนั้นเปลี่ยนได้ แต่จุดหมายไม่อาจเปลี่ยน!

“ถ้าหากว่าต้องเจอสถานการณ์แบบนั้น เราก็ส่งเหยื่อล่อออกไปทดสอบก่อนได้” รอยยิ้มของซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นและตอบออกมาก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ

เขาตบไหล่หลงเยว่หงแล้วพูดต่อ

“ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ ต้องให้นายแบกรับแล้วล่ะ”

“ไหงถึงเป็นฉันล่ะ” ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าคนที่อ่อนแอที่สุดในทีมก็คือตนเอง ดังนั้นย่อมไม่สามารถแบกรับหน้าที่การเป็นเหยื่อล่อได้

ประการหนึ่งนั้นก็เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก อีกประการหนึ่งก็คือเขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งด้านจิตใจของตนนั้นยังไม่ถึงระดับของหัวหน้าทีมและไป๋เฉิน หากให้เขาทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ เกรงว่าจะทำให้เสียการเสียมากกว่า

หลงเยว่หงจัดลำดับความแข็งแกร่งด้านจิตใจของบรรดาสมาชิกใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ออกเป็น 4 ระดับ ตนเองนั้นเป็นที่โหล่สุดคือลำดับสี่ ลำดับถัดจากเขานั้นเว้นว่างไว้ ลำดับที่สองมีเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินอยู่ด้วยกัน ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้น… ปล่อยหมอนั่นไปเถอะ

ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่าง ‘เคร่งขรึม’

“เพราะนายดูเหมือนเหยื่อล่อไง”

“…” เจอตรรกะแบบนี้เข้าไป ทำเอาหลงเยว่หงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“อย่าขู่เขาสิ!” ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังขับรถก็ตวาดใส่ซางเจี้ยนเย่ากลั้วเสียงหัวเราะ

แล้วเธอก็หันมาพูดกับหลงเยว่หง

“งั้นขอถามนายข้อหนึ่งนะ

“คนของบริษัทรู้หรือเปล่าว่าเมืองน้ำล้อมอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้” หลงเยว่หงตอบไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็พลันกระจ่างทันที “แบบนี้นี่เอง…”

เขาเพิ่งจะนึกออกว่าที่เมืองน้ำล้อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมาได้หลังจากโลกเก่าล่มสลายลง และอยู่อย่างสงบสุขมาจนถึงปัจจุบันได้นั้น สาเหตุหลักที่สำคัญประการหนึ่งก็คือตำแหน่งที่ตั้งของเมืองนั้นถูกซ่อนอยู่ ยากที่คนนอกจะหาเจอ

ในตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนรายงานเรื่องนี้ เธอก็เจตนาปกปิดสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของเมืองน้ำล้อมไว้ด้วย บอกเพียงแค่ว่าได้พบกับทีมล่าสัตว์ของพวกเขาในแดนร้างเท่านั้น

หลังจากที่นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ หลงเยว่หงก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา

“ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย”

“ข้อด้อยหลักของนายก็คือจะตื่นตระหนกเวลาที่เจอสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย ทีหลังต้องจำเอาไว้นะว่าจะต้องสงบสติอารมณ์ ต้องเยือกเย็นเข้าไว้ ใช้ความคิดให้มากขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนสอนสั่งไปประโยคหนึ่งแล้วก็ปลอบใจ “แต่ว่านะ การที่นายสามารถคิดเรื่องที่สมาชิกภายนอกของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ อาจจะซุ่มโจมตีพวกเราที่จุดหมายปลายทางเนี่ย สำหรับคนที่เพิ่งขึ้นมาพื้นโลกเป็นครั้งที่สองนี่ ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียวแหละ”

เมื่อถูกชมเชย หลงเยว่หงก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นทันที

เขาเปลี่ยนวิธีการคิด แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้อยู่ที่เมืองน้ำล้อม แต่อยู่ที่เมืองหญ้าไพรต่างหาก ใช่ไหมครับ”

จุดหมายปลายทางของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นมีสองแห่งคือเมืองน้ำล้อม กับเมืองหญ้าไพร

เมื่อเทียบกับเมืองน้ำล้อมแล้ว เมืองหญ้าไพรนั้นจัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักล่าซากอารยะ จึงไม่ยากที่จะไปตามหา มันตั้งอยู่บริเวณชายแดนของสามกองกำลังใหญ่คือ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ‘ปฐมนคร’ และ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’

ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะได้เปิดปากพูด ซางเจี้ยนเย่าก็พูดกับหลงเยว่หงด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“สภาวะนี้ของนายนับว่าไม่เลว ต้องรักษาสภาวะแบบนี้เอาไว้ให้ดีนะ!”

สภาวะนี้ไม่เลว… เดี๋ยวนะ แล้วทำไมฉันต้องตื่นเต้นด้วยล่ะ นี่มันเรื่องจริงจังและอันตรายต่างหาก! หลงเยว่หงพลันรู้สึกว่าอยากยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเอง

“แล้วทำไมนายต้องตื่นเต้นไปด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนดุซางเจี้ยนเย่าอีกครั้งก่อนจะหันไปพูดกับหลงเยว่หง “ไม่เลว ไม่เลว สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ถือว่าไม่เลว การเดินทางที่เหลือนั้นพวกเราต้องคิดหาทางกันว่าจะทำยังไงถึงจะเข้าเมืองหญ้าไพรไปได้โดยไม่เผยตัว เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทที่อยู่ทางโน้นจะไม่มีปัญหา เหอะ เหอะ ไม่ต้องรีบหรอก ยังมีเวลาอีกนาน ตอนนี้ไปเมืองน้ำล้อมกันก่อน”

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบเสียงดัง

เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ กลายเป็นสมาชิกทีมที่เชื่อถือได้มากขึ้นแล้ว

หลังจากขับรถไปพักใหญ่ ไป๋เฉินซึ่งมองออกไปนอกรถอยู่นานแล้วก็พลันขมวดคิ้วพูดขึ้น

“มีร่องรอยฝูงสัตว์อพยพอยู่เต็มไปหมด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลงเยว่หงจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนพื้นสีเหลืองสีเทาของแดนร้างนั้นปรากฏรอยเท้าของฝูงสัตว์มากมายเดินไปเป็นขบวนราวกับว่าฝูงสัตว์นั้นกำลังเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ไปตามเส้นทาง

“สภาพอากาศในปีนี้ค่อนข้างผิดปกติ ขนาดพวกสัตว์ประหลาดก็ยังพากันอพยพกันไปไม่น้อย สัตว์พวกนี้ก็คงไม่ต่างกันหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกทบทวนข้อมูลและข่าวสารที่ตนได้ยินได้เห็นมา สีหน้าแสดงความสะเทือนใจ “ฤดูหนาวปีนี้ น่าจะเป็นปีที่ยากลำบากอย่างสาหัสสำหรับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างไม่น้อย”

เพิ่งจะพูดขาดคำ ก็พลันมีนกประหลาดฝูงหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าไป

พวกมันตัวใหญ่กว่าอีกาไม่น้อย ลำตัวปกคลุมด้วยขนสีดำ หัวกะโหลกโผล่ออกมาอยู่ข้างนอก เปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก

ฝูงนกบินลงต่ำ เพียงไม่นานก็ร่อนลงไปเกาะอยู่ไม่ห่างจากบึงมากนัก

ในระหว่างนี้พวกมันไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว เงียบสงบจนราวกับว่าไม่มีอยู่จริง

ไป๋เฉินมองเห็นภาพนี้ก็พูดพลางทอดถอนใจเล็กน้อย

“นกแจ้งตาย…

“ทางด้านนั้นดูท่าแล้วน่าจะมีศพอยู่ไม่น้อย”

“นกแจ้งตายเหรอ เป็นอีกาอีกสายพันธุ์หนึ่งใช่ไหม” หลงเยว่หงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เขาจำได้ว่าในตำราเรียนมีพูดไว้ว่าผู้คนในหลายพื้นที่ของโลกเก่ามองว่าอีกาเป็นลางร้าย และเรียกมันว่าเป็นนกแห่งความตาย

ไป๋เฉินละสายตากลับมาแล้วอธิบายรายละเอียด

“มันเป็นสัตว์กลายพันธุ์ชนิดหนึ่งน่ะ เราเรียกมันว่านกแจ้งตาย หรืออีกากระดูก

“พวกมันกินแค่ซากศพเท่านั้น ถ้ามีพวกมันรวมตัวกันอยู่ที่ไหนก็แปลว่ามีความตายอยู่ที่นั่น”

เจี่ยงไป๋เหมียนที่ขับรถอยู่ก็พยักหน้า พูดเสริมอีกสองประโยค

“อีกากลายพันธุ์พวกนี้น่าทึ่งมาก ขนาดว่าหัวกะโหลกโผล่ออกมาโชว์หราขนาดนั้นยังมีชีวิตได้เป็นปกติสุขอีก

“พวกมันไม่ได้โจมตีสิ่งมีชีวิต แต่เวลาเจอมันก็ต้องระวังตัวไว้หน่อย พวกมันมีท่อรยางค์ยื่นออกมาจากปากคล้ายพวกแมลงวัน แล้วปล่อยน้ำย่อยออกมา น้ำย่อยนี้อันตรายมาก ละลายศพได้ในพริบตา เพื่อให้พวกอีกากระดูกกินได้สะดวก

“เพราะน้ำย่อยนี้สามารถละลายศพได้ ฉันเลยคิดว่าถ้าหากว่าคนเป็นๆ โดนเข้าไป ผลก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่”

หลงเยว่หงนึกภาพตามแล้วถึงกับร้องออกมาคำหนึ่งด้วยความสยดสยอง

“งั้นปัญหาก็อยู่ที่ตรงนี้สินะ” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างกระตือรือร้น “แล้วเนื้ออีกาพวกนี้เป็นไงบ้าง พอเอาไปย่างแล้วจะมีรสชาติแบบไหนนะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองเขาเพียงชั่วครู่

“พวกนี้มันเป็นอีกากลายพันธุ์ รวมทั้งอาหารที่พวกมันกินและสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะมีสารพิษกับเชื้อโรคอยู่ในตัวมากขนาดไหน”

หลังจากเธอพูดจบ ไป๋เฉินก็พูดต่อทันที

“เนื้อมันเยี่ยมมาก”

เจี่ยงไป๋เหมียนมือหนึ่งประคองพวงมาลัยไว้ อีกมือหนึ่งยกขึ้นมาแตะหู

“ว่าไงนะ เธอเคยกินเหรอ”

“อืม ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวเหมือนกับตอนนี้แหละ มีอาหารไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับการต้องกินเนื้อมนุษย์แล้วฉันรู้สึกว่ากินอีกากระดูกนี่เป็นอะไรที่พอจะรับได้มากกว่า…” ไป๋เฉินพูด้วยน้ำเสียงหวนรำลึก “เนื้อพวกมันรสชาติดีเกินคาดเสียอีก ไข่ของพวกมันก็อร่อยกว่าไข่อื่นๆ ที่เคยกินมาทั้งชีวิตเลยล่ะ…”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็ยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปากพร้อมๆ กัน

แต่พอทำแบบนั้นแล้วหลงเยว่หงก็พลันรู้สึกกระดากอายขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฉันใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ควบคุมนายไว้น่ะ เมื่อกี้นายก็เลยทำแบบเดียวกับฉัน”

“จริงเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกทั้งโล่งใจทั้งขนลุก

“ไม่จริงหรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบพร้อมรอยยิ้ม

เจี่ยงไป๋เหมียนเพิกเฉยบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหลัง แล้วถามไป๋เฉินด้วยความสงสัย

“แล้วไม่เป็นพิษหรือว่าติดโรคเหรอ”

“เรื่องพิษนั้นอาจจะเห็นผลไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็โอเคอยู่ล่ะ” ไป๋เฉินส่งสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ตัว “แต่ในตอนนั้นพวกเราสิบยี่สิบคน พากันป่วยตายไปร่วมครึ่งค่อน ซากศพพวกเขาก็ทำให้จำนวนอีกากระดูกเพิ่มมากขึ้นอีก…”

มุมปากเธอยกขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มเย้ยหยันเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้

“บนแดนธุลีนั้นมีบางครั้งที่เราต้องเลือกตัวเลือกเลวร้ายที่น้อยกว่า จากบรรดาตัวเลือกที่เลวร้ายทั้งหมดที่มีให้เลือก” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจออกมาจากใจจริง

ในระหว่างการสนทนานี้ รถจี๊ปสีเขียวอมเทาก็วิ่งผ่านแดนร้างออกมา ก่อนฟ้ามืดลงก็ไปถึงบึงน้ำ หักเลี้ยวซ้ายขวาไปเจ็ดแปดครั้งก็ไปถึงเมืองน้ำล้อม

เนื่องเพราะรู้จักกันแล้วและเคยทำการค้ากันมาก่อน ต่างก็เป็นคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นเมื่อไป๋เฉินชะโงกหน้าออกมานอกรถ ยามรักษาการณ์ก็ปล่อยให้พวกเขาขับเข้าไปในเมืองได้เลย และจอดรถไว้ที่เดิมที่นอกเพิงไม้ใกล้หัวมุมกำแพง

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนก้าวลงจากรถก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

“ลูกหมา” เธอยิ้มทักทาย

ยามเมืองที่สวมเสื้อสีเทาสำหรับป้องกันลม ซึ่งมีชื่อเล่นว่าลูกหมา พลันใบหน้าแดงก่ำ พูดพึมพำออกมา

“ผม ผมชื่อติงเช่อ…”

ไป๋เฉินไม่เปิดโอกาสให้ลูกหมาพูดต่อ เธอรีบถามไปตรงๆ

“เจ้าเมืองเถียนอยู่ไหน”

สีหน้าติงเช่อพลันดูเศร้าหมองลงทันที

“เจ้าเมือง… เจ้าเมืองล้มป่วย

“ใกล้จะ… ใกล้จะไม่ไหวแล้ว”

* * * * *

[1] ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง (狗嘴里吐不出象牙) หมายถึง คนปากเสียย่อมไม่อาจมีคำพูดดีๆ ออกมา

[2] ตามประเพณีของคนจีน สีขาวคือการไว้ทุกข์งานศพ ซึ่งลูกหลานญาติพี่น้อง รวมถึงคนรับใช้ภายในบ้านจะสวมชุดสีขาว ใช้ผ้าสีขาวตกแต่งบ้าน การที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว แสดงว่ามีคนตายมากมาย

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset