ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิท ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็มาถึงค่ายคาราวาน ‘คนไร้ราก’
มองจากระยะไกล สิ่งที่สะดุดสายตาของพวกเขาเป็นอันดับแรกก็คือ ยวดยานพาหนะขนาดใหญ่คันแล้วคันเล่า
ยานพาหนะเหล่านี้ล้วนมีขนาดใหญ่กว่ารถจี๊ปหลายเท่าตัว ตัวถังรถนั้นทั้งยาวทั้งสูงใหญ่ ภาพที่วาดไว้บนรถแต่ละคันก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นสีน้ำตาลตัดสลับสีขาว บ้างก็เป็นลวดลายดำบนพื้นขาว บ้างก็เป็นแถบสีเงินเทาที่ดูโดดเด่น
“พวกนี้เป็นรถอาร์วีทั้งหมดเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งถอดแว่นกันแดดออกนานแล้ว ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อแยกแยะรถแต่ละคันอย่างตั้งใจ
“อืม” ไป๋เฉินผงกศีรษะ “รถอาร์วีเป็นบ้านของพวก ‘คนไร้ราก’ น่ะ แต่ละคันก็คือแต่ละครอบครัว”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังค่ายคาราวานอีกครั้งก็เห็นรายละเอียดมากขึ้น
ยานพาหนะในค่ายส่วนใหญ่จะเป็นรถอาร์วี มีอย่างน้อยหลายสิบคัน หรืออาจจะเกือบร้อยคันด้วยซ้ำ
บรรดารถอาร์วีคันที่ใหญ่ที่สุดนั้นจอดอยู่ริมนอกสุดเพื่อสร้างเป็นวงล้อมของกำแพงเหล็ก มีเว้นช่องไว้สำหรับให้รถวิ่งเข้าออกเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น
ถ้าหากแล่นผ่านช่องว่างระหว่าง ‘กำแพง’ เข้าไปก็จะมองเห็นรถยนต์ที่อยู่ภายในวงล้อมจอดกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และในจุดศูนย์กลางนั้นมีพาหนะขนาดยักษ์จอดอยู่สองสามคัน
“รถอาร์วีคืออะไรเหรอ” หลงเยว่หงถามเพราะไม่รู้จักสิ่งนี้
ซางเจี้ยนเย่าช่วยอธิบายให้ฟัง
“มันเป็นรถที่ติดตั้งพื้นที่สำหรับเอาไว้พักอาศัยเพิ่มเข้าไปด้วยน่ะ”
“นายเคยเห็นเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจ
พวกเรานั้นได้รับการศึกษามาแบบเดียวกัน ประสบการณ์ที่ขึ้นมาบนพื้นโลกก็พอๆ กัน แล้วไหงนายถึงเคยเห็นรถอาร์วี แต่ฉันไม่เคยล่ะ
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“เปล่า ไม่เคยเห็นหรอก
“เดาเอาน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็หัวเราะพรืดออกมา
“ที่ซางเจี้ยนเย่าพูดมาก็ไม่ผิดหรอก
“รถอาร์วีก็คือรถที่ดัดแปลงให้มีที่พักอาศัยอยู่ภายใน มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว บางคันก็มีห้องนั่งเล่นห้องกินอาหารอีกด้วย”
“หรูหราชะมัด” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็แสดงความเห็นออกมาพร้อมกัน
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ต้องเป็นพนักงานระดับ D7 ขึ้นไป หรือเป็นคู่สามีภรรยาที่มีระดับถึง D4 แล้วจึงจะได้รับการจัดสรรบ้านที่มีห้องครบครันเช่นนี้
ไป๋เฉินเสริมขึ้น
“ว่ากันว่าพวก ‘คนไร้ราก’ ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นเป็นพวกค่ายคาราวานรถอาร์วีของโลกเก่า ก็คือเป็นที่ที่ให้คนขับรถอาร์วีไปตั้งแคมป์กันน่ะ”
แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมโลกเก่าถึงทำแบบนี้กัน แต่ก็ยังเล่าถึงสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา
โชคดีที่ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมา
ไป๋เฉินมองดูแสงอาทิตย์อัสดงตกต้องกระทบหน้าต่างแล้วเล่าต่อ
“ก็อย่างที่รู้กันว่าตอนที่โรคไร้ใจแพร่ระบาดในตอนนั้น มักจะเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ สถานที่ตั้งค่ายคาราวานรถอาร์วีที่อยู่กลางป่าเขาก็เลยยังอยู่รอดปลอดภัยดี ไม่ได้ถูกโจมตี
“ดังนั้นพวกเขาจึงโชคดีที่รอดพ้นจากช่วงที่โลกเก่าถูกทำลายล้างมาได้ แต่ก็ไม่อาจกลับไปบ้านตัวเองได้อีกแล้ว
“พวกเขาอาจจะพยายามแล้วก็ได้ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก แต่ดูจากผลลัพธ์แล้ว เกรงว่าพวกเขาคงทำไม่สำเร็จ
“ในช่วงกลียุคหลังจากที่โลกเก่าล่มสลายลง พวกเขาคิดว่าให้ทุกคนอยู่รวมตัวกันน่าจะดีกว่า มากคนก็มากแรง หลังจากนั้นจึงได้หาสถานที่เพื่อลงหลักปักฐานและเพาะปลูก แต่ทว่ากลับถูกภัยสงคราม สัตว์ประหลาด แล้วก็พวกคนไร้ใจฝูงใหญ่มาโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น และถูกขับไล่ออกมาจากถิ่นที่อยู่เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและสภาพแวดล้อม
“ภายหลังต่อมาพวกเขาก็เริ่มเคยชินกับชีวิตในรถ และคุ้นเคยกับการเดินทางร่อนเร่รอนแรมไปไหนมาไหนกับคนกลุ่มใหญ่ จึงไม่ลงหลักปักฐานที่ไหนอีก และเรียกตนเองว่า ‘คนไร้ราก’ อ้อ ที่จริงพวกเราเองก็ชอบเรียกพวกเขาว่า ‘คนไร้ราก’ มากกว่าเสียอีก”
ซางเจี้ยนเย่าถามเรื่องที่สำคัญมากออกมา
“แล้วพวกเขากินอะไรกัน”
“นั่นสิ พวกเขากินอะไรกัน” หลงเยว่หงแสดงท่าทางว่าอยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน
ในเมื่อไม่ได้ลงหลักปักฐาน ก็เพาะปลูกไม่ได้ เมื่อไม่ได้เพาะปลูก ก็ไม่มีพื้นที่ให้เก็บเกี่ยว
ไป๋เฉินมองดูทางเข้าซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ จึงพูดด้วยอัตราเร่งมากกว่าเดิมเล็กน้อย
“สถานภาพเริ่มต้นของพวกเขานั้นใกล้เคียงกับนักล่าซากอารยะ พวกเขาได้รับน้ำมันเชื้อเพลิง อาหาร อาวุธ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และพวกวัตถุปัจจัยต่างๆ มาจากซากเมืองหลังจากที่พวก ‘คนไร้ใจ’ ส่วนมากตายลง
“ในตอนนั้นซากเมืองทุกแห่งล้วนเป็นบ่อทองทั้งนั้น
“หลังจากกลียุคสิ้นสุดลง กองกำลังใหญ่ค่อยๆ ก่อตั้งขึ้นมาทีละแห่ง ขบวนรถขนาดใหญ่ของพวกเขาก็เลยกลายเป็นเป้าหมายเพื่อใช้งานอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงตัวตน กลายเป็นกองคาราวานติดอาวุธที่เดินทางไปมาระหว่างกองกำลังต่างๆ เพื่อขนส่งสินค้าและเป็นพ่อค้าคนกลางที่ค้าขายอาวุธยุทธภัณฑ์”
“ทำไมกองกำลังใหญ่ถึงไม่ทำการค้าเองล่ะ” หลงเยว่หงจำได้ว่าที่ลานจอดรถของบริษัทนั้นมีรถขนาดใหญ่จอดอยู่และมีจำนวนมากกว่าที่มีในค่ายคาราวาน ‘คนไร้ราก’ เสียอีก
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็หยอกล้อเขาขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“บริษัทมีคนให้ใช้งานมากขนาดนั้นหรือไง
“ขนาดมือใหม่อย่างนายยังถูกส่งมาเข้า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็น่าจะรู้แล้วว่าพวกเราขาดคนกันขนาดไหน
“พวกเราไม่ใช่พวก ‘สวรรค์จักรกล’ เสียหน่อย ขาดทั้งทรัพยากร ขาดทั้งเทคโนโลยีที่จะใช้ผลิตหุ่นจักรกลออกมาจำนวนมาก”
หลงเยว่หงเพิ่งจะเข้าใจในเรื่องนี้
ไป๋เฉินพูดเสริมขึ้นอีก
“พวกกองกำลังใหญ่ส่วนมากไม่ชอบส่งคนของตัวเองไปดูแลคุ้มกันพวกวัตถุปัจจัยที่ไม่สลักสำคัญ
“ก่อนหน้านี้เคยมีกองกำลังใหญ่ที่หัวหน้ากองกำลังได้ยกกำลังพลออกไปจนแทบจะเกลี้ยงฐานเพื่อไปคุ้มกันสินค้า สุดท้ายก็เลยถูกยึดฐานไป
“นอกจากนี้การใช้คาราวานคนกลางก็สะดวกกว่ามากเวลาที่ต้องเดินทางผ่านพื้นที่อ่อนไหวในหลายๆ แห่ง”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าไม่มีคำถามอะไร เธอจึงพูดต่อ
“ตราบใดที่มีน้ำมันเชื้อเพลิง อาหาร แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และอะไหล่รถยนต์สภาพดี ก็สามารถว่าจ้างให้พวก ‘คนไร้ราก’ ไปขนส่งสินค้าให้ได้”
“พวกเขาบอกว่าตัวเองนั้นดำรงชีวิตด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง
“เมื่อสภาพอากาศเริ่มเย็นลง จำนวนการค้าลดลง พวก ‘คนไร้ราก’ ก็จะอพยพไปยังค่ายที่คล้ายๆ กัน ใช้อาหารที่เก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้เพื่อดำรงชีวิตตลอดฤดูหนาว ในขณะเดียวกันก็รับงานขนส่งและทำการค้ากับค่ายโดยรอบไปด้วย
“ที่นี่เป็นค่ายคาราวาน ‘คนไร้ราก’ ที่ใหญ่ที่สุด สาเหตุที่พวกเขาเลือกมาตั้งค่ายที่นี่ก็เพราะว่าที่นี่อยู่ใกล้กับโรงงานผลิตน้ำประปาที่ยังใช้การได้”
ในระหว่างที่พูด รถจี๊ปก็แล่นมาถึงทางเข้าค่ายคาราวาน ‘คนไร้ราก’ แล้ว
จากนั้นไป๋เฉินก็รีบเน้นย้ำสำทับอีกสองสามประโยค
“เมื่อเข้าไปแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจว่าห้ามทำรถคนอื่นเสียหายอย่างเด็ดขาด
“สำหรับ ‘คนไร้ราก’ แล้ว รถเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด คนที่ไม่มีรถและไม่มีครอบครัว ‘คนไร้ราก’ หลังไหนรับไปด้วย ก็จะถูกทิ้งทันที
“พวกเขาในสามชั่วรุ่นที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแต่คลอดบนรถ เติบโตในรถ ความรู้สึกที่มีต่อรถนั้นเป็นความพิเศษที่ไม่มีใครเหมือน พวกเขาไม่ได้มองว่ารถเป็นสิ่งของ แต่เป็นสมาชิกครอบครัว
“หากทำร้ายสมาชิกครอบครัวพวกเขาเข้า แน่นอนว่าไม่ลงเอยด้วยดีแน่”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างสนอกสนใจ และตบลงไปบนพวงมาลัย
“เป็นขนบธรรมเนียมและพฤติกรรมเฉพาะตัวจริงๆ”
ในตอนนี้ ยามที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถอาร์วีคันใหญ่สองคันที่ปากทางเข้าก็ยกปากกระบอกปืนไรเฟิลจู่โจมในมือขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้มาเยือนหยุดรถ
ไป๋เฉินลดกระจกรถลง ชะโงกศีรษะออกมา
“พวกเรามาทำการค้า”
ยามที่มีเคราเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ดวงตาเป็นประกาย
“หน้าตาดี รูปร่างก็ใช้ได้ รถจี๊ปคันนี้ไม่เลวเลย!
“เครื่องยนต์กี่แรงม้าเหรอ”
“ใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงน่ะ” ไป๋เฉินตอบไปตามตรง
ยามที่ไว้เคราแสดงความสนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พวกคุณสนใจจะแลกแม่ยาหยีคันนี้ไหม”
“นี่เป็นรักแท้ของพวกเรา!” ซางเจี้ยนเย่าที่ยื่นศีรษะออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ตะโกนตอบเสียงดัง
ยามที่ไว้เครายกนิ้วโป้งให้
“รสนิยมดีมาก”
จากนั้นพวกเขาก็ลดปากกระบอกปืนลงทันที พยักเพยิดไปที่ทางเข้าค่าย
“เข้าไปเถอะ
“คอยทำตามที่เครื่องหมายบอกไว้ ไม่งั้นถ้าต้องเสียแม่ยาหยีไป จะมาโทษพวกเราไม่ได้นะ”
ขณะที่รถจี๊ปแล่นผ่านทางเข้าไป หลงเยว่หงก็พึมพำขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“เข้ามาได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
ไม่มีคนรู้จักมารับรองให้ และไม่ถูกยึดอาวุธด้วย แต่ทีม ‘สำรวจเก่า’ ก็เข้ามาข้างในค่ายได้อย่างง่ายดาย
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองกระจกหลังพลางยิ้มออกมา
“สำหรับพวกคาราวาน ‘คนไร้ราก’ ที่มีอาวุธยิงมากมายและมีกำลังพลเหลือเฟือแบบนี้ คนนอกที่เข้ามาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกลัว กลัวว่าเข้ามาแล้วจะกลับออกไปไม่ได้”
“ก็จริงนะ…” หลงเยว่หงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องระวังตัวกันให้มากขึ้น ไม่อาจไว้ใจคนพวกนี้ได้เต็มร้อย”
“อืม ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนเคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ ทำตามเครื่องหมายบนถนน จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับซางเจี้ยนเย่า “ต่อไปก็ถึงตานายแสดงความสามารถแล้ว!”
“ผมไม่ใช่รถยนต์เสียหน่อย” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึก ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ เล็กน้อย
“นั่นก็จริง ขนาดว่าไป๋เฉินน้อยผู้สุดแสนจะน่ารักของพวกเรานั่งอยู่ทั้งคน พวกนั้นยังไม่ชายตามองเลย เอาแต่จ้องรถจี๊ปอยู่นั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนหยอกล้อออกมา
เดิมทีนั้นไป๋เฉินอยากจะแย้งว่าเธอโตแล้ว แถมยังอายุมากที่สุดในกลุ่มด้วย แต่เมื่อดูจากความสูงของเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วจึงได้แต่เลิกล้มความตั้งใจไปอย่างเงียบๆ
ด้วยความช่วยเหลือจากผู้นำทาง พวกเขาก็หาที่จอดรถได้อย่างรวดเร็วแล้วลงมาจากรถจี๊ป
เพียงเหลือบมองดู เจี่ยงไป๋เหมียนก็พบว่ายักษ์ใหญ่ที่จอดอยู่ในส่วนลึกที่สุดของค่ายคาราวานนั้นกำลังลากถังทรงกระบอกโลหะสีเทาเงินขนาดใหญ่อยู่
“รถบรรทุกถังน้ำมันนี่เอง… มิน่าล่ะ ถึงได้ถูกป้องกันไว้อย่างแน่นหนา” ขณะที่กำลังถอนใจอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังกระหึ่มออกมาจากรถอาร์วีด้านข้างซึ่งทาสีฟ้าขาวเอาไว้
มีชายวัยกลางคนซึ่งสวมหมวกแก๊ปยืนอยู่ด้านหน้ารถ เขาสัมผัสกระโปรงหน้ารถในขณะที่กำลังตั้งใจฟังเสียงเครื่องยนต์ไปด้วย
รอจนกระทั่งเครื่องยนต์เงียบเสียงลง เขาก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“คุณทำอะไรอยู่เหรอครับ” ซางเจี้ยนเย่าที่ไม่รู้มาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ชายวัยกลางคนที่สวมหมวกแก๊ปมีความสูงปานกลาง ร่างกายกำยำ ผิวคล้ำเล็กน้อย เสื้อผ้ามีคราบน้ำมันเปื้อนอยู่
เมื่อได้ยินคำถามของซางเจี้ยนเย่า เขาก็ขมวดคิ้วพูดขึ้น
“สหายเบิ้มคนนี้เขาหงุดหงิดน่ะ ฉันเลยกำลังพยายามฟังว่าเขาบ่นเรื่องอะไรอยู่”
เมื่อเห็นสายตางุนงงของหลงเยว่หงและคนอื่นๆ เขาจึงเอื้อมมือไปลูบรถอาร์วีสีฟ้าขาวที่ค่อนข้างล้าสมัย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“สหายเบิ้มเป็นสมาชิกครอบครัวเรามาตั้งแต่ยุคคุณปู่น่ะ ตอนนี้อายุมากแล้ว เลยอารมณ์ร้อน หัวเสียง่ายนิดหน่อย เลยต้องกล่อมกันบ้าง
“ฮ่า ฮ่า บ้านคุณก็มีผู้สูงอายุอยู่ใช่ไหมล่ะ ต้องคอยกล่อมอยู่เป็นประจำนั่นแหละ”
ซางเจี้ยนเย่าถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองดูรถอาร์วีคันนี้อย่างตั้งใจ แล้วก็ชี้ไปที่ไฟหน้ารถ
“ดวงตาเขาสวยมาก”
“นี่ซ่อมมาสองครั้งแล้วล่ะ สมัยตอนหนุ่มๆ ดูดีกว่านี้อีก…” ราวกับว่าชายวัยกลางคนได้พบเจอคนคุยถูกคอ จึงพูดรัวออกมาเป็นชุดไม่หยุดหย่อน
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ก็พูดกับไป๋เฉินและหลงเยว่หงด้วย ‘เสียงเบา’
“บางทีฉันก็รู้สึกว่าซางเจี้ยนเย่านี่ช่างมีพรสวรรค์ในการผูกมิตรสร้างเพื่อนซะจริง”
พวกเขาพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชายหนุ่มในวัยเกือบยี่สิบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับรถเดินลงมาพร้อมกับกล่องเครื่องมือ เขากับชายวัยกลางคนคนนั้นช่วยกันเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมาและเริ่มซ่อมแซมด้วยความชำนาญ
ซางเจี้ยนเย่าถอยห่างออกมา เดินตามเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ผ่านรถอาร์วีคันอื่นๆ ตรงเข้าไปยังบริเวณที่พลุกพล่านที่สุดในค่าย
ไป๋เฉินหันหน้ากลับไปมองยังตำแหน่งนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าพวกนายเชี่ยวชาญการซ่อมรถล่ะก็ สามารถหาตกแต่งภรรยาจากที่นี่ได้หลายคนเลยนะ”