รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 121 ค้าขาย

เมื่อต้องเผชิญกับผู้ป่วยทางจิตเวชตัวจริงที่ได้รับใบรับรองจากแพทย์มา เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออก

จะว่าไปแล้วเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าซางเจี้ยนเย่าจะพยายามทำเรื่องราวมากมายสารพัดเพียงเพื่อต้องการแค่จะได้ออกมาเต้นรำ

นี่มันไม่ค่อยสมเหตุผลสักเท่าไร

เพียงแค่ไม่กี่นาที ซางเจี้ยนเย่าเริ่มด้วยการทำให้จ้าวเถี่ยหงุดหงิดด้วยการจ้องตาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ จากนั้นก็ถือโอกาสยั่วยุเขาโดยถอดกางเกงเพื่อเปรียบเทียบขนาดความใหญ่เล็ก และทำให้อีกฝ่ายเลือกจะออกไปต่อสู้ที่ ‘เวทีเต้นรำ’ ด้านนอกได้สำเร็จ

เขาต้องลงแรงไปมากมาย อ้อมโลกไปรอบใหญ่ เพียงเพื่อจะได้มีข้ออ้างหลีกเลี่ยงคำสั่งที่จำกัดเอาไว้ แล้วออกไปเต้นรำตามเสียงดนตรี

หลังจากที่วิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเชื่อว่าทุกขั้นตอนในกระบวนการทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเนื่องจากอาการ ‘สมองกระตุก’ ของซางเจี้ยนเย่า เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์สุดท้าย

หลังจากที่ตัดความเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดทิ้งไปโดยอาศัยรายละเอียดทุกอย่างและความเข้าใจที่เธอมีต่อซางเจี้ยนเย่า ก็จะมีเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น

คนผู้นี้วางแผนอย่างพิถีพิถันทีละขั้นตอน วนไปรอบใหญ่ เพียงเพื่อต้องการจะออกไปร่วมสนุกและเต้นรำเท่านั้น!

นี่ก็เฉกเช่นคนที่ใช้เวลาอย่างเนิ่นนานในการวางแผน และทำการโจรกรรมได้สำเร็จจากแผนการอันสลับซับซ้อน แต่ทว่าจุดประสงค์หลักนั้นเพียงเพื่อต้องการใช้โอกาสนี้แบ่งปันอมยิ้มกับหญิงสาวซึ่งอยู่กับเหยื่อ

นี่คือความหมกมุ่นของผู้ป่วยทางจิตเวชอย่างนั้นเหรอ เพียงเพื่อเป้าหมายง่ายๆ แต่กลับอ้อมไปเป็นวงกว้างโดยออกแบบวางแผนการอย่างซับซ้อนแยบยล ช่างเป็นความสามารถในการดำเนินการที่น่าสะพรึงจริงๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจอยู่ในใจ แล้วชี้ไปยังเก้าอี้สูงที่อยู่ข้างตัวอย่างใจเย็น

“ในเมื่อเต้นเสร็จแล้ว งั้นก็นั่งลงเถอะ”

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะก้าวเท้า มีกลุ่มคนหนุ่มสาวพุ่งเข้ามาในรถอาร์วีทันที

กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะกลิ่นแรงกลิ่นอ่อนแย่งกันโชยเข้าสู่จมูกของหลงเยว่หงและคนอื่นๆ ในทันที

เหล่าคนหนุ่มสาวในกลุ่มนี้ ผู้ชายจะโกนจอนทั้งสองข้างทิ้ง ผู้หญิงจะไว้ผมสั้น สีผมมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเขียว ม่วง แดง ทอง ราวกับหลอดไฟสีที่ห้อยไว้ข้างนอก

พวกเขากลุ้มรุมห้อมล้อมซางเจี้ยนเย่า ยื้อแย่งกันพูดพร้อมๆ กัน

“เมื่อกี้เป็นเพลงอะไร”

“ฟังแล้วกินใจมาก!”

“ตอนนี้เพลงยังติดหัวอยู่เลย เอาไม่ออกแล้ว!”

“ช่วยคัดลอกสำเนาเพลงให้หน่อยได้ไหม”

“จังหวะเพลงเยี่ยมมาก!”

ซางเจี้ยนเย่าแสดงรอยยิ้มสดใส

“ได้สิ

“งั้นพวกคุณช่วยคัดลอกสำเนาเพลงที่เปิดก่อนหน้านี้ให้ผมด้วยนะ”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ บรรดาคนหนุ่มสาวต่างก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้

“รสนิยมเยี่ยม!”

ด้วยเหตุนี้ ซางเจี้ยนเย่าจึงได้ผสมผสานกลมกลืนไปกับพวกเขา และได้แลกเปลี่ยนเพลงโปรดกันโดยอาศัยความช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปและสายเคเบิลโอนถ่ายข้อมูล

หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็กลับมาหาเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างอิดออดแล้วนั่งลง

เจี่ยงไป๋เหมียนที่เฝ้ามองการสนทนาของพวกเขามาตั้งแต่ต้นจนจบก็ครุ่นคิดก่อนจะถามออกมา

“ในอนาคต เวลาที่นายจะต่อสู้กับคนอื่น คงไม่ใช่ว่าจะเปิดเพลงไปด้วยหรอกนะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“ถ้าหากว่ามีโอกาสและเวลาเอื้ออำนวยน่ะ”

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นพูดอะไรเขาก็อธิบายความคิดของตนเองออกมาอย่างละเอียด

“และนอกจากนั้น ศัตรูที่แตกต่างกันก็ต้องใช้เพลงที่แตกต่างกัน

“อย่างเช่นอาจารย์เซน หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า ก็ควรจะใช้เพลง ‘ผืนดินบริสุทธิ์แห่งความสุข’ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจเนื้อเพลง แต่ก็คิดว่าชื่อเพลงนี้เหมาะกับพวกเขามาก”

เจี่ยงไป๋เหมียนจินตนาการถึงฉากที่ทุกคนกำลังร่วมมือกัน ‘ต่อสู้’ อย่างดุเดือดท่ามกลางเสียงดนตรี โยกกายส่ายหัว ขยับเท้าไปตามจังหวะเสียงเพลง แล้วก็ถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ

“ฉันว่าเจอแบบนี้เข้าไป จิตวิญญาณการต่อสู้ของศัตรูคงถูกทำลายลงแหง

“อืม… แต่ก็อาจเป็นการกระตุ้นศักยภาพของพวกเขาได้เหมือนกัน…”

ในตอนนี้เฟอร์ลินได้รินเหล้าผลไม้ป่าใส่แก้วสี่ใบ แล้วไสแก้วส่งไปถึงเบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ

เหล้าเป็นสีม่วงแดง มีกลิ่นหอมจางๆ

“อย่าเพิ่งรีบดื่ม รออีกเดี๋ยว” เฟอร์ลินเตือน จากนั้นก็พูดกับซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลว ชักอยากให้มาเป็นลูกเขยของฉันซะแล้วสิ”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าได้ ‘พูดจาไร้สาระ’ ออกมา เธอรีบพูดอย่างขบขัน

“หัวหน้าคาราวาน คุณไม่โกรธที่เขาอัดคนของคุณหรอกเหรอ”

ใช่ ใช่… หลงเยว่หงรีบเห็นด้วยอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่านี่เป็นคำถามของตัวเอง

ไป๋เฉินช่วยอธิบายให้ฟัง

“พวก ‘คนไร้ราก’ ชื่นชมนักสู้ที่แข็งแกร่งน่ะ”

เฟอร์ลินยิ้มและผงกศีรษะ

“ใช่แล้ว ในกลุ่มคาราวานการค้าของพวกเรา ยินดีต้อนรับและชื่นชมคนอยู่ห้าประเภท

“หนึ่งคือช่างเครื่องฝีมือดี สองคือนักขับขี่ฝีมือเยี่ยม สามคือคนนำทางที่เก่งกาจ สี่คือนักแม่นปืนที่แม่นยำ และห้าคือนักสู้ที่แข็งแกร่ง

“นักสู้คือคนที่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด ใช้พวกอาวุธเย็น

“ฮ่า ฮ่า อย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ ในค่ายของพวกเรามีรถบรรทุกถังน้ำมันและรถอาร์วีอยู่มากมายหลายคัน ถ้าหากว่าโดนยิงหรือกระสุนแฉลบโดน คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ดังนั้นถึงจะอนุญาตให้พกปืนเข้ามาในค่ายได้ แต่ห้ามใช้อย่างเด็ดขาด ข้อพิพาททุกกรณีจะตัดสินด้วยกำปั้นและเท้าเท่านั้น

“พวกหนุ่มสาวเลือดร้อนนั่นก็ด้วย พวกเขามีพลังเหลือล้น ดังนั้นจึงไม่อาจควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำได้แค่ปล่อยให้พวกเขาเต้นให้เต็มที่ ต่อยตีให้เต็มเหนี่ยว ผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า ใครแข็งแกร่งที่สุดก็ได้เป็นหัวโจก เป็นที่ชื่นชม

“และนอกจากนี้ พวกเรานั้นเป็นคาราวานการค้า ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามจะไม่ใช้ปืนให้ถึงที่สุด หากว่าต้องนองเลือดจนเกิดความอาฆาตแค้น แล้วต่อไปจะทำการค้ากันต่อได้ยังไง ใช่ไหมล่ะ ในปัจจุบันนี้บางทีมิตรภาพก็เกิดจากกำปั้นเหมือนกันนะ”

หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจบ เธอก็ยิ้มแล้วชี้ไปยังไป๋เฉิน

“เรามีสุดยอดคนนำทางอยู่ เธอบอกให้พวกเราฟังตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าตอนอยู่ในค่ายก็อย่าเอาปืนออกมาเป็นดีที่สุด”

ท่าทีของเฟอร์ลินนั้นเป็นกันมาก เขามองไป๋เฉินแล้วพูดหยอกเย้า

“มาเป็นลูกสะใภ้ฉันไหมล่ะ พวกเราที่นี่ดูแลคนนำทางเป็นอย่างดีเลยล่ะ”

“ถ้าหากว่าพวกคุณทั้งกองคาราวานยินดีมาเข้าร่วมกับทีมเรา ฉันก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอกนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรับมุกต่อ

ในระหว่างที่พูดคุยสนทนากันอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดกับเฟอร์ลิน

“เพิ่มอาหารอีกหนึ่งกระป๋อง แลกกับเหล้าผลไม้ป่าสี่แก้ว”

“รอไว้ชิมก่อนสิ ถ้ารู้สึกว่าอร่อยก็ค่อยสั่งเพิ่ม” เฟอร์ลินแนะนำอย่างจริงใจ

ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนดำกระจ่างสดใสในขณะที่อธิบายอย่างยิ้มแย้ม

“สั่งให้คุณค่ะ”

“ถ้างั้นฉันก็ไม่เกรงใจละนะ” เฟอร์ลินรินเหล้าผลไม้ป่าเพิ่มอีกสี่แก้ว แล้ววางแก้วหนึ่งไว้เบื้องหน้าตนเอง

หลังจากพูดคุยสนทนากันไปสักพัก เขาก็บอกว่า

“ดื่มได้แล้วล่ะ”

หลงเยว่หงเหลือบมองหัวหน้าทีม หลังจากได้รับอนุญาตแล้วจึงหยิบแก้วขึ้นมาดื่ม

รสชาติของเหล้าผลไม้ป่านี้ไม่ได้หวานอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยวเกินไป กลิ่นหอมอบอวล รสชาติกลมกล่อมค่อยๆ แผ่ซาบซ่าน และอยู่ทนนาน

“ยังหวานไม่พอ” ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย และประเมินอย่างตรงไปตรงมา

เฟอร์ลินหัวเราะออกมาทันที

“ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกหนุ่มๆ สาวๆ ในขบวนคาราวานไม่รู้ว่ากี่คนต่อกี่คนแล้วที่พูดแบบนี้ แต่พอเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อย ทุกๆ คนก็ชอบกันทั้งนั้น ดื่มเพิ่มกันอีกสองสามแก้ว ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว แถมยังจะขอแบบที่แรงขึ้นอีกด้วย”

พูดแล้วเขาก็ถอนหายใจเบาๆ

“ชีวิตคนบนโลก มีความทุกข์ความเจ็บปวดมากเกินไป สำหรับ ‘คนไร้ราก’ อย่างพวกเราคงจะมีเพียงการดื่มจนเมาถึงจะมีความสุขได้สักชั่วครู่ชั่วยาม หรือไม่ก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดที่ไม่รู้ว่ามีหน้าตาเป็นยังไง”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ขัดจังหวะเฟอร์ลิน รอจนกระทั่งเขาพูดจบก็ยกแก้วขึ้นมาและพูดขึ้น

“เมื่อกี้ดื่มเพื่อให้รู้รสชาติ

“ตอนนี้จะดื่มเพื่อแสดงการคารวะต่อคุณ”

‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่เหลืออีกสามคนก็ทำตาม ยกแก้วชูขึ้นมา

“ขอคารวะพวกคุณด้วยเช่นกัน” เฟอร์ลินยิ้มพลางยกแก้วของตัวเองขึ้นมาแล้วชนแก้วกัน

หลังจากที่ดื่มกันไป ซางเจี้ยนเย่าก็มองเฟอร์ลินแล้วครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา

“หัวหน้าคาราวาน คุณดูสิ

“พวกเราเชิญคุณดื่ม

“แล้วก็ฟังคุณพูดเรื่องกฎเกณฑ์ของค่ายด้วย

“ดังนั้น…”

เฟอร์ลินฟังอย่างยิ้มแย้มจนจบก็พลันรู้สึกคึกคักกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

เขาเอนตัวไปตบบ่าซางเจี้ยนเย่า

“สำหรับพวกเรา ‘คนไร้ราก’ เราเรียกว่าเป็นมิตรสหายกัน!”

เมื่อเขาเอนตัวออกมา จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นปืนลูกโม่สีดำที่เขาแขวนไว้ที่เอว

“อสรพิษเหรอคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างไม่มั่นใจ

นี่คือชื่อของปืนลูกโม่ชนิดนี้

เฟอร์ลินกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งแล้วตบที่ปืนเบาๆ

“เจ้านี่ดีกว่าปืนพกชนิดอื่น

“นอกจากนั้นมันก็ยังชักเร็วยิงเร็วอีกด้วย ศัตรูตายก่อนจะทันได้ตอบสนองเสียอีก”

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าทำการ ‘สร้าง’ เพื่อนสำเร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่ออีก เปลี่ยนไปถามเรื่องสัพเพเหระ

“หัวหน้าคาราวาน ในฤดูหนาวนี่คุณอยู่แต่ในค่าย ไม่ได้ออกไปค้าขายเหรอ

“ได้ไงกันเล่า

“คนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ รถราก็เยอะแยะ ขืนไม่ค้าขาย แล้วใครจะมาเลี้ยงเราล่ะ

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีเสบียงสำรองสำหรับฤดูหนาวก็เถอะ ยังไงก็ต้องเตรียมการเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้เหมือนกัน รวมถึงแผนสำหรับปีหน้าด้วย

“นอกจากนี้แล้ว ก็อย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ เพื่อจะให้ทุกคนได้ออกแรง ได้เต้นรำ ได้ต่อสู้ ได้ดื่มเหล้า เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้น คาราวานพวกเราไม่ได้มีอาหารเหลือเฟือเหลือทิ้ง

“แต่ว่านะ ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ พวกเราก็ไม่ไปไหนไกลๆ หรอก ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวกันในพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น ส่งขบวนคาราวานออกไปสักสองสามวันก็กลับมาแล้ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย

“การค้าขายช่วงฤดูหนาวนี่มีไม่เยอะเท่าไหร่”

โดยทั่วไปแล้วพวกวัตถุปัจจัยที่สามารถเก็บไว้ได้ตลอดฤดูหนาวก็จะถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี

“เมื่อหิมะตก ถนนหนทางก็ขับยากขึ้น แถมยังเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย” เฟอร์ลินพูดเห็นพ้อง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “แต่ว่านะ ในช่วงเวลาแบบนี้นี่แหละ พวกกองกำลังที่จำเป็นต้องขนส่งพวกวัตถุปัจจัยก็มักจะใจกว้าง สามารถต่อรองเพื่อให้ได้ราคาดี”

พูดไปพูดมา ที่แท้ก็ฉวยโอกาสนี่เอง… จากความรู้ของหลงเยว่หง เขารู้ว่านี่เรียกว่ากลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]

“นี่ค่อนข้างอันตรายมาก ถ้าไม่ระวังจะถูกไฟลวกมือเอาได้” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดตามแล้วพูดออกมา

เฟอร์ลินไม่ได้ตอบคำ ทำเพียงยิ้มแล้วถามกลับ

“คุณถามเรื่องพวกนี้เพราะว่าต้องการหารือเรื่องค้าขายใช่ไหมล่ะ

“ในเมื่อพวกเราเป็นสหายกัน งั้นฉันมีส่วนลดให้ก็แล้วกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มพลางพยักหน้าให้

“ถูกต้อง พวกเรามีสินค้าบางอย่างต้องการให้นำส่งไปที่เมืองหญ้าไพร”

“สินค้าอะไร” เฟอร์ลินถาม

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ที่ตัวเอง ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน

“พวกเราทั้งสี่คน”

เฟอร์ลินมองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่งก่อนจะตอบ

“ไม่มีปัญหา เรื่องของสหายก็คือเรื่องของพวกเราเช่นกัน”

เขารู้โดยปริยายจึงไม่ได้เอ่ยปากถามขึ้นว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องการให้ ‘นำส่ง’ ตัวเอง

หลังจากพูดจบ เขาก็พยักหน้าให้ซางเจี้ยนเย่าราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน

จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ

“ยังมีอีก ฉันอยากจะเปลี่ยนสีรถใหม่ด้วย พวกคุณทำได้ไหม”

“เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหา มาถามได้ถูกคนแล้ว!” เฟอร์ลินดวงตาเป็นประกาย “พวกคุณรู้ไหมว่าทำไมพวกหนุ่มๆ สาวๆ ในค่ายเราถึงได้ชอบย้อมผมกันนัก นั่นก็เพราะว่าพวกเรา ‘เปลี่ยนเสื้อผ้า’ ให้รถอยู่บ่อยๆ ไงล่ะ พวกเขารู้สึกว่าแบบนี้มันดูทันสมัยมาก”

จากนั้นเขาก็ถามอย่างกระตือรือร้น

“รถพวกคุณเป็นรถอะไร ตอนนี้สีอะไร”

* * * * *

[1] กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ (趁火打劫) เป็นหนึ่งกลศึกจากสามก๊ก หมายถึงเมื่อยามที่ศัตรูอยู่ในสภาพอ่อนแอ ให้รีบฉกฉวยนำทัพบุกเข้าโจมตีซ้ำ ใกล้เคียงกับสุภาษิตไทยว่า ‘ได้ทีขี่แพะไล่’

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset