เมื่อออกมาจากรถอาร์วีแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับไปมองข้างในรถอีกครั้งแล้วพูดพลางถอนใจอย่าง ‘แผ่วเบา’ ออกออกมาคำหนึ่ง
“ถิ่นกำเนิด…”
เสียงที่เธอพูดรำพันกับตัวเองได้กลืนหายไปกับเสียงเพลง ‘ฉันเงยหน้ามอง’ ที่เปิดดังอยู่
วินาทีถัดมาเธอรีบคว้าจับบ่าของซางเจี้ยนเย่าเอาไว้แล้วดึงเขากลับมา และหัวเราะเสียงดัง
“นายเพิ่งจะเต้นไปเมื่อกี้นี้เอง!”
แล้วเธอก็ยิ้มกริ่มก่อนจะพูดเสริม
“ที่จริงตอนแรกฉันกะว่าหลังจากเสร็จงานและกินมื้อเย็นกันเสร็จแล้วก็จะปล่อยพวกนายไปพักผ่อนเล่นสนุกกัน
“แต่นายใช้สิทธิ์นี้ไปแล้ว แถมยังใช้ไม่เต็มที่อีกต่างหาก เต้นไปแค่นาทีสองนาทีเท่านั้นเอง”
สีหน้าซางเจี้ยนเย่าพลันสลดลงทันที เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งผิดหวังและเสียใจ
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
จากนั้นเธอก็หันหน้าไปถามหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน
“พวกนายอยากออกไปสนุกกันไหม”
“ถ้าไม่ได้รู้สึกอยากไปนอนกับคนพวกนั้น ฉันก็ไม่ค่อยชอบความอึกทึกแบบนั้นเท่าไหร่ มันหนวกหูน่ะ” ไป๋เฉินตอบเรียบๆ
หลงเยว่หงซึ่งค่อนข้างกระตือรือร้นอยากไปซึมซับบรรยากาศพลันรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะเหลือเพียงแค่ตัวเอง
คนเดียว จึงได้แต่ตัดใจ
“วันนี้ผมเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
นี่เป็นความจริง หลังจากเดินทางไกลติดต่อกันมาหลายวัน ถึงแม้ว่าจะมีการสลับผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันพักอย่างเพียงพอ ทว่าสภาพจิตใจก็ยังอ่อนล้าอยู่บ้าง
“งั้นก็กลับกันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เกลี้ยกล่อมพวกเขา เธอละสายตากลับมาแล้วเดินนำออกจากพื้นที่ไป
ซางเจี้ยนเย่าที่เดินตามหลังมาตะโกนถามเสียงดังเนื่องจากว่าเสียงเพลงนั้นดังอยู่ไม่ได้ห่างมากนัก
“หัวหน้าไม่ออกไปเต้นเหรอ”
“ฉันโตแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนโอ้อวดตัวเอง “กิจกรรมวุ่นวายแบบนี้ ฉันไม่สนใจหรอก และฉันเองก็มีวิธีปลดปล่อยพลังงานที่ดีกว่านี้อีก”
ขณะที่พูดเธอก็เหลียวกลับไปมองสมาชิกทีมทั้งสามคนแล้วยิ้มอย่างแฝงเจตนาร้าย
“ไว้รอให้ไปถึงเมืองหญ้าไพรเสียก่อน ให้อะไรอะไรเข้าที่เรียบร้อย ก็จะจัดการฝึกต่อสู้ระยะประชิดเพื่อให้สมรรถภาพร่างกายอยู่ในสภาวะความพร้อมสูงสุด
“เป็นการเตรียมตัวไว้รับมือกับภัยแฝงเร้นที่อาจเกิดขึ้นในการสืบสวนที่พวกเราจะทำกันต่อไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ทำเอาหลงเยว่หงรู้สึกปวดระบมไปหมดทั้งตัว
ระหว่างที่พูดไปเดินไป พวกเขาก็มาถึงจุดที่รถจี๊ปจอดอยู่ และเห็นว่ามีคนในค่ายหลายคนที่ตั้งใจเดินมาที่นี่เพื่อดูรถของพวกตน
“พวกเขาช่างรักรถกันเสียจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนสะท้อนใจออกมา
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รีบไล่คนเหล่านั้นที่รุมล้อมกันอยู่ แต่หยุดอยู่ในระยะห่างราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง
“พวกนายว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้านักบวชของนิกายเนตรศักดิ์สิทธิ์เนี่ย เฟอร์ลินจะเป็นผู้ตื่นรู้ไหม
“ถ้าเป็นแบบนั้น เขาได้ใช้พลังพิเศษเพื่อโน้มน้าวจูงใจเราหรือเปล่านะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลงเยว่หงก็สะดุ้งตกใจ รีบตรวจสอบตัวเองทันที
ไป๋เฉินรีบตอบกลับมา
“ฉันจับตามองอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบว่าเฟอร์ลินมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาอาจจะไม่ได้สละสิ่งใด จึงไม่ได้เป็นผู้ตื่นรู้
“บางทีสิ่งที่สละอาจจะไม่ได้เห็นชัดเจนก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยกการคาดคะเนของตนขึ้นมา
จากนั้นเธอก็หรี่ตาปรือ ไม่ทราบว่ากำลังทำอะไร
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
“ตัวผมไม่มีอะไรผิดปกติ”
“ฉันก็ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนลืมตาขึ้นแล้วยืนยันในเรื่องนี้ “ถ้างั้นตอนนี้ก็ถือว่าเฟอร์ลินไม่ได้เป็นผู้ตื่นรู้ไปก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรดาชาวค่ายที่รุมล้อมก็แยกย้ายกันไปเกือบหมดแล้ว เสียงเพลงกระหึ่มที่ดังอยู่ไกลๆ ก็ค่อยๆ สงบลง เจี่ยงไป๋เหมียนจึงหันไปสั่งการไป๋เฉินกับหลงเยว่หง
“คืนนี้พวกนายทำหน้าที่เฝ้ายามกลางคืน ใช้กฎเดิม”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงเริ่มชำนาญเรื่องนี้แล้ว
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขาเข้าไปในรถจี๊ปแล้วเอนกายนอนลงที่เบาะด้านหลังพลางนวดขมับทั้งสองข้างไปด้วย
* * * * *
ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ซางเจี้ยนเย่าว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์สลับแขนสองข้างจ้วงไปเรื่อยๆ
รูปแบบการว่ายน้ำของเขานั้นส่วนใหญ่ก็เพิ่งเรียนรู้จากการที่อยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณในช่วงนี้นี่เอง
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่มีการสอนว่ายน้ำเพราะว่าเป็นอาคารใต้ดิน ถึงเรียนรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ซางเจี้ยนเย่าว่ายน้ำเป็นเมื่อตอนที่อยู่ที่แม่น้ำเขียว ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปเมืองฉีเฟิงหลังจากที่ออกจากซากเมืองซึ่งเสี่ยวชงอยู่ และในช่วงระหว่างนี้คือการฝึกฝนให้ชำนาญ
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็คือ…
น้ำเย็นไปหน่อย
ในตอนนี้เขากำลังว่ายน้ำไปอย่างไร้จุดหมาย ราวกับกำลังว่ายไปเช่นนี้ตลอดกาล
นี่เป็นการทรมานจิตวิญญาณในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ยังดีที่หากว่า ‘กำลังกาย’ หมดลงเมื่อไหร่ เขาก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ต้อง ‘จมน้ำ’ ตาย
การที่ต้องทำสิ่งที่น่าเบื่ออย่างซ้ำๆ ซากๆ นั้นเป็นเรื่องลำบากอย่างแสนสาหัส ทว่าซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงดึงดันต่อไป ราวกับว่าชีวิตนี้มีเพียงแค่การว่ายน้ำเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ในที่สุดก็มีเงาปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันที่เบื้องหน้าเขา
มันเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างยิ่ง
มันทอดตัวอยู่บนผิวน้ำอย่างเงียบเชียบ นอกจากก้อนหินขรุขระแล้วก็ไม่มีอะไรอยู่บนนั้นอีก
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขารีบแกว่งแขนทั้งสองข้างจ้วงน้ำอย่างแรง และใช้เท้าพุ้ยน้ำเร่งความเร็ว
เพียงไม่นานเขาก็มาถึงเกาะและรีบปีนขึ้นไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
และในวินาทีถัดมานั้นก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นมาจากรอยแยกของโขดหิน
ร่างเหล่านี้ล้วนแต่คลุมกายด้วยผ้าปูเตียงสีขาวจนมิดทั่วร่าง
มองในแวบแรก ใบหน้าพวกมันที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงาของ ‘ผ้าคลุม’ นั้นเป็นสีดำมืด ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
ซางเจี้ยนเย่ารีบตั้งท่าต่อสู้ทันที เตรียมใช้พลัง ‘พันธนาการมือ’ ออกมา
ทว่าเมื่อเขาเข้าไปประชิดร่างๆ หนึ่ง เมื่อสัมผัสถูกผ้าคลุมเตียงสีขาวที่มีลักษณะคล้าย ‘ผ้าคลุม’ เข้า ทั่วร่างก็พลันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงในทันที
หน้าผากเริ่มร้อนระอุ หัวใจเต้นสั่นระรัว ลมหายใจที่ถูกขับออกมาก็พ่นเป็นไอร้อนออกมา
สารพัดความเจ็บปวด ความรู้สึกอึดอัดไม่สบายต่างๆ ปะทุขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ทำให้เขาเคลื่อนไหวอย่างลำบากยิ่งนัก ในที่สุดก็ถูกร่างสีขาวเหล่านั้นกลืนกินลงไป
* * * * *
ซางเจี้ยนเย่าลืมตา ผุดลุกพรวดขึ้นมานั่งพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นขึ้นมาเพราะการกระทำของเขา เธอขยี้ตาตามความเคยชิน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก
“เจอเกาะที่สองแล้วเหรอ”
ในระหว่างครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ซางเจี้ยนเย่าไม่เคยแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้มาก่อน
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบัง และเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาได้เผชิญมา
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญเรื่องราวแล้วถามต่อ
“นายคิดว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเองในตอนนั้นคืออะไร”
“ผมป่วยหนัก” ซางเจี้ยนเย่าตอบยืนยัน
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“อาจเป็นไปได้ว่าตอนที่แม่นายป่วยหนัก นายต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ตอนนั้นนายยังเด็กมาก ก็เลยทำให้นายกลัวการเจ็บป่วย กลายเป็นแผลในใจมาตั้งแต่ตอนนั้น”
เธอเจตนาหลีกเลี่ยงไม่พูดว่าแม่ของซางเจี้ยนเย่าเสียชีวิตเพราะป่วยหนัก เพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นเขา
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบออกมา
“ผมเห็นแม่ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมนั่งรออยู่หน้าห้อง รอนานมาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจอย่างเงียบงันแล้วถามขึ้น
“หลังจากนั้นนายเคยป่วยบ้างไหม แบบว่าป่วยหนักเลยน่ะ”
“ไม่เคย” ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“จากเท่าที่เห็น นายก็ถึกอยู่นะ ถึกเหมือนวัวเลยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนที่เคยเห็นวัวตัวจริงมาก่อน
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามว่าวัวนั้นมีหน้าตาอย่างไร เขาขบคิดพิจารณาก่อนจะพูดออกมา
“หัวหน้ากำลังหมายถึงว่าผมควรจะป่วยหนัก แล้วก็เอาชนะมันในโลกของความเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธออกมาด้วยความรู้สึกทั้งโมโหทั้งขบขัน “เรื่องแบบนี้มันควบคุมได้ซะที่ไหนกันเล่า!
“และไม่แน่ด้วยว่าแทนที่นายจะกำราบโรค อาจจะเป็นโรคต่างหากที่กำราบนายจนหมดท่า!”
เธอรีบหยุดไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดพิลึกพิลั่นอะไรออกมาอีก รีบพูดต่ออย่างจริงจัง
“ขอเวลาสักสองสามวัน ฉันจะไปลองคิดหาทางดู นายอย่าไปทำอะไรแผลงๆ เข้าล่ะ”
เธอเกรงว่าซางเจี้ยนเย่าซึ่งเป็นบุคคลที่มีอาการป่วยทางจิตเวชอย่างไม่ธรรมดานั้นอาจจะไม่ฟังที่เธอแนะนำไปก็ได้ จึงกำชับอย่างจริงจังเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
“พวกเราใกล้จะเข้าไปเมืองหญ้าไพรแล้ว จะต้องรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ก่อน!”
“ครับ” ซางเจี้ยเย่าผงกศีรษะรับคำ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“นายนอนพักสักหน่อยเถอะ แบบนอนหลับจริงๆ น่ะ จะได้มีแรง”
* * * * *
ยามเที่ยงวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็มาถึงรถอาร์วีของหัวหน้าคาราวานการค้า ‘ถิ่นกำเนิด’ เฟอร์ลิน
ในเวลานี้ ทั้งเก้าอี้และม้านั่งด้านนอก ต่างก็ถูกจัดเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฟอร์ลินผู้ซึ่งมีเคราสีดอกเลารอบปาก เขาสวมเสื้อคลุมสีแสด มีสีหน้าจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“พวกคุณมากันแล้วเหรอ” เฟอร์ลินยิ้มทักทายเมื่อเห็นพี่น้องร่วมสาบานกับสหายเดินเข้ามา
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมพวกคุณถึงจัดพิธีมิสซากันตอนเที่ยงแบบนี้ล่ะ หรือเป็นเพราะว่าผู้ครองกาลมีพระนามว่า ‘ทวิตะวัน’”
“ใช่แล้ว” เฟอร์ลินพยักหน้า “องค์ ‘ทวิตะวัน’ ไม่เพียงแต่ดูแลเดือนเจ็ดที่ร้อนที่สุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเวลาเที่ยงวันอีกด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
แล้วจู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา
“นิกายของคุณมีผู้ตื่นรู้บ้างไหม”
เฟอร์ลินถึงกับสำลัก ไอออกมาสองครั้ง
“เรื่องแบบนี้ พวกเราไปคุยกันส่วนตัวดีไหม”
“ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้สักหน่อย”
เฟอร์ลินถูกกล่อมสำเร็จ เขาตอบคำถามออกมา
“ก็มีแหละ ฉันเคยเห็นอยู่สามสี่คน”
“รวมคุณด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาตรงๆ
เฟอร์ลินส่ายหน้า
“ไม่มีทาง
“ฉันไม่กล้าสละน่ะ”
แล้วเขาก็เดาะลิ้นทำเสียงจุ๊จุ๊ออกมา
“นิกายของเรามีผู้ตื่นรู้ สิ่งที่สละก็คือผมร่วงขนาดหนัก
“เหอะ เหอะ พวกเราอายุปูนนี้แล้ว เส้นผมทุกเส้นล้วนแต่เป็นของล้ำค่า แบบนั้นทนรับไม่ได้แน่”
ขณะที่พูดเขาก็ลูบเส้นผมสีเงินเส้นสั้นๆ ของตนไปสองสามครั้งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“ที่จริงการสละแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีนะ ไม่ต้องตกเป็นเป้าด้วย”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันถึงได้เล่าให้พวกคุณฟัง ที่จริงแล้วนี่ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดเลยล่ะ” เฟอร์ลินเห็นด้วย “ในค่ายคาราวานของเราก็เคยมีผู้ตื่นรู้เหมือนกัน แต่เขาตายไปนานแล้วล่ะ การสละของเขาก็คือเสพติดการมีเพศสัมพันธ์น่ะ
“อย่างที่พวกคุณรู้นั่นแหละว่าทุกคนในค่ายเรานั้นรักรถกันเป็นชีวิตจิตใจ พวกเราส่วนใหญ่ดูแลรถราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าและไม่ต้องบอกเลยว่าเรามองเห็นเป็นสมาชิกครอบครัวกันขนาดไหน บางครั้งเราก็เอาเรื่องพวกนี้มาพูดเล่นกันด้วย
“ส่วนเขา… เอ่อ… ในตอนนั้น… แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต้องพยายามปกป้องท่อไอเสียรถของตัวเองกันสุดชีวิตเลยล่ะ…”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็ทำเอา ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดไปหมด
โดยไม่ได้รอให้พวกเขาแสดงความเห็นอะไรออกมา เฟอร์ลินรีบมองดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“จะเริ่มพิธีมิสซาแล้ว ไว้ค่อยคุยกันต่อทีหลังนะ”
จากนั้นเขาก็ยื่นสองนิ้วขึ้นมากดที่เบ้าตา
“ขอให้ดวงตากระจ่างใส”
ในตอนนี้ เก้าอี้และม้านั่งที่เรียงอยู่หน้ารถนั้นมีผู้คนอยู่เต็มไปหมดแล้ว
เฟอร์ลินรีบขึ้นไปบนรถอาร์วี ยืนอยู่ที่ประตูแล้วชี้ไปยังหน้าต่างบานที่อยู่ถัดไป
“ลำดับแรก คารวะ”
ในขณะนี้ หลงเยว่หงก็พลันพบว่าบานหน้าต่างกระจกรถนั้นมีดวงอาทิตย์สีทองสองดวงปรากฏอยู่
พวกมันราวกับเป็นดวงตาสองข้างที่ส่องสว่างอำไพ
เหล่าสาวกผู้ศรัทธาพากันยืนขึ้นพร้อมกันและกดนิ้วไว้ที่เบ้าตา พลางสวดภาวนาอย่างเคร่งขรึม
“องค์เทพคือสุริยันจันทรา!”
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนแรก เฟอร์ลินก็ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนนั่งลง และเนื่องจากว่ามีแขกมาเยี่ยมชมด้วย เขาจึงพูดเสริมขึ้นอีกสองประโยค
“ผู้ครองกาลนั้นคือสุริยันจันทรา และเป็นตัวแทนของดวงเนตรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพ
“พระองค์บอกเราว่าบนแดนธุลีนั้น มีเพียงดวงตาอันเฉียบคมและร่างกายที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถค้นพบและเข้าไปสู่โลกใหม่ได้
“ลำดับที่สอง พิธีการอย่างเป็นทางการ
“นี่เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะล่มสลายไป พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้คนกราบไหว้นับถือผู้ครองกาลมาตั้งแต่สมัยยุคอันไกลโพ้น และได้ส่งต่อข้ามผ่านยุคแห่งภัยพิบัติจนมาถึงทุกวันนี้
“สหายธรรมทุกท่าน เตรียมตัวให้พร้อม
“หลับตา! บรรเลงเพลงศักดิ์สิทธิ์!”
เสียงดนตรีดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังตามมา
“ขั้นที่หนึ่ง นวดจุดเทียนอิง[1]”
* * * * *
[1] จุดเทียนอิง (天应穴) เป็นจุดฝังเข็มทางการแพทย์จีน อยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้วกับหัวตาทั้งสองข้าง