ไฟถนนจะดับในเวลา 20.30 น. ซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกครู่หนึ่ง ในตอนนี้ดวงไฟด้านหน้าจึงยังคงส่องสว่างให้กับผู้สัญจรไปมา
แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความสว่างของอาคารใต้ดิน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เนื่องจากดวงไฟหลายดวงนั้นชำรุดเสียหายมาเนิ่นนาน จากระยะทางหลายสิบเมตรนี้จะมีสักดวงที่ยังคงใช้การได้อยู่ ดังนั้นหลายๆ ตำแหน่งจึงค่อนข้างมืดสลัว ยากที่จะมองเห็นอะไร ได้อย่างชัดเจน
ไป๋เฉินพาหลงเยว่หงไปเดินเล่นก่อนมื้ออาหารเย็น เธอได้คิดเอาไว้หลายแผนสำหรับการลงมือในขั้นต่อไป ระหว่างนั้นก็เดินอย่างเป็นธรรมชาติและสงบนิ่งราวกับเป็นหญิงสาวที่กำลังเดินกลับบ้านพร้อมกับถือข้าวของชิ้นใหญ่ไว้ด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลงเยว่หงนั้นย่อมเกิดความประหม่าอยู่บ้าง แต่เนื่องจากเคยได้เผชิญกับหลายสิ่งหลายเรื่องมาอย่างโชกโชนเมื่อครั้งออกผจญภัยในครั้งแรกมาแล้ว จึงเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเขาไม่ได้มีอาการมืออ่อนเท้าเปลี้ย เพียงแค่หัวใจเต้นแรงอยู่บ้างเท่านั้น
เขาเดินเคียงข้างไป๋เฉินอย่างเงียบๆ บางครั้งก็ช่วยบังปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ในห่อผ้าเพื่อไม่ให้เตะตาคนที่เดินไปมา
มีป้อมยามอยู่ที่ทางเข้าตลาดทาสถนนใต้ ยามทั้งคู่ในนั้นต่างก็ถือปืนไรเฟิลจู่โจมแบบมาตรฐานเช่นเดียวกัน พวกเขามองไปข้างนอกอย่างเรื่อยเปื่อย นั่งบ้างยืนบ้างเป็นครั้งคราว
ไป๋เฉินเดินผ่านพวกเขาไป แล้วตรงไปยังจัตุรัสกลางอย่างไม่เร่งรีบ
ในไม่ช้าเธอกับหลงเยว่หงก็มาถึงบริเวณที่ไร้แสงไฟถนนส่อง คนทั้งคู่คล้ายเงาเลือนลางบนถนนที่ดูสลัว
แล้วฉับพลันไป๋เฉินก็หมุนกายเลี้ยวเข้าไปในลานทางเข้าของอาคารที่อยู่ติดกัน เพียงแค่หนึ่งถึงสองวินาทีเธอก็ปีนข้ามประตูรั้วโลหะไปอย่างคล่องแคล่ว
หลงเยว่หงเห็นแล้วรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก เนื่องจากระหว่างที่ปีนนั้นไป๋เฉินยังคงถือปืนไรเฟิลไว้ในมืออีกด้วย
จากนั้นหลงเยว่หงก็ไม่มัวชักช้า เขารีบตามไปติดๆ ปีนข้ามประตูรั้วโลหะโดยไม่เกิดเสียงใดๆ
เขาและไป๋เฉินเข้าไปในอาคารที่อยู่ติดกับตลาดทาสถนนใต้ ภายใต้แสงไฟสลัวสีเหลือง พวกเขาเดินขึ้นบันไดเย็นเยียบไปยังชั้นบนสุด
ไป๋เฉินนำลวดที่เตรียมไว้ออกมาแล้วสอดลงไปในร่องกุญแจ หลังจากขยับมือเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเปิดประตูออกไปที่ดาดฟ้าได้
ถึงแม้ว่าอาคารหลังนี้จะมีชายคาจีนแบบโต๋วก่ง ทว่าก็เป็นเพียงแค่การเลียนแบบรูปร่างภายนอกเท่านั้น แผนผังของอาคารยังคงเป็นเช่นเดียวกับอาคารทั่วไป
เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าและปิดประตูเสร็จเรียบร้อย ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็มาถึงตำแหน่งที่ใกล้กับตลาดทาสถนนใต้ซึ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัว
ในยามวิกาลอันเงียบสงัดนี้ ในสถานที่เปิดโล่งเช่นนี้ ทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องเพลง เสียงตะโกน เสียงดนตรี และเสียงสารพัดจากถนนใต้
“ดูเหมือนว่าจะมีเสียงดังมาจากทางด้านนั้น”
เพิ่งจะพูดขาดคำ เสียงต่างๆ ในถนนใต้ก็พลันเงียบลงชั่วขณะ ทำให้เสียงจากตลาดทาสถนนใต้นั้นดังชัดเจนขึ้นมาก
เป็นเสียงครวญครางของคนมากมาย
แต่ละเสียงนั้นไม่ได้ดังมาก เสียงครวญเบาๆ ราวกับไม่ได้มีอยู่จริง ทว่าหลังจากที่แต่ละเสียงนั้นดังซ้อนกัน มันก็สะท้อนออกมาในค่ำคืนอันมืดมิด บางครั้งก็มีเสียงไอซึ่งบีบรัดหัวใจ และเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
“เป็นเสียงทาสที่ร้องไห้น่ะ” ไป๋เฉินพูดเรียบๆ ในขณะที่มองลงไปที่ตลาดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
หลงเยว่หงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจ
“น่าสงสาร…
“เสียดายที่พวกเรามีกันแค่สี่คน ไม่อาจจะช่วยพวกเขาได้”
ไป๋เฉินหันมองดูรอบๆ แล้วมองไปยังตรอกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“ในฤดูนี้ ถ้าไม่มีเสบียงพอจะให้พวกเขากิน การปล่อยให้อยู่ที่นี่จะดีกว่า”
หลงเยว่หงคิดใคร่ครวญตามแล้วพบว่านั่นเป็นความจริง
ทว่าความจริงในข้อนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกเศร้าจนยากอธิบายมากกว่าเดิม
เขามองดูไป๋เฉินหาตำแหน่งติดตั้งปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ จากนั้นเขาก็ใช้กล้องส่องทางไกลแบบสองตาเพื่อมองดูตรอกฝั่งตรงข้าม และยังทำตามคำแนะนำของไป๋เฉินที่ให้สำรวจบนหลังคาและห้องที่อยู่อีกด้านของตลาดทาสถนนใต้ด้วย
“ไม่พบอะไร” หลังจากสำรวจซ้ำอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ยืนยันออกมา
“คอยตรวจดูทุกๆ สามนาที” ไป๋เฉินเน้นย้ำ
“ทราบแล้ว…” พอพูดคำแรกออกไป เขาก็ชะงักไปชั่วขณะ
โดยปกติแล้วเขาจะพูดว่า ‘ทราบแล้ว หัวหน้า’ แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ครั้นจะต่อด้วยชื่อไป๋เฉินตรงๆ ก็รู้สึกเหมือนไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
ไป๋เฉินไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังคงมุ่งความสนใจกับเรื่องตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย
หลงเยว่หงมองไปฝั่งตรงข้าม ก็เห็นว่าหัวหน้าทีมกับซางเจี้ยนเย่าเลี้ยวเข้ามาในตรอกหลังจากที่กินอาหารมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว
* * * * *
“รออยู่ข้างๆ เสาไฟที่ชำรุดด้านหน้า” เจี่ยงไป๋เหมียนคลุมศีรษะด้วยฮู้ดที่ติดอยู่กับเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีดำ ซึ่งมีขนสีน้ำตาลบุอยู่ตามขอบรอบฮู้ด
ดูแล้วทำให้ใบหน้าเธอดูเล็กลง
ซางเจี้ยนเย่านั้นหุบปากสนิท ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เขาเดินตามหัวหน้าทีมมาที่อีกฝั่งของเสาไฟต้นที่ชำรุดแล้วซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
แสงจากถนนไม่อาจส่องมาถึงตำแหน่งนี้ได้แม้แต่น้อย มีเพียงแสงริบหรี่จากอาคารทั้งสองฟาก ทำให้วัตถุในบริเวณนี้มองเห็นเป็นเงาดำเลือนลาง
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดคุยกัน คอยสังเกตสิ่งต่างๆ รอบข้าง และมุ่งความสนใจไปยังผู้คนที่สัญจรไปมา
ถ้าหากว่ามีใครเข้ามาใกล้ พวกเขาก็จะมองหน้ากันราวกับเป็นคู่รักที่กำลังเดินเที่ยว
พวกเขาเชื่อว่าหนุ่มสาวใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่อดทนต่อความหนาวเย็นเพื่อนัดพบกันตามหัวมุมบางแห่งหลังจากที่ปิดไฟไปแล้วนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้คนที่อยู่บนพื้นโลก โดยเฉพาะในเมืองหญ้าไพรนั้นยิ่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการกระทำเช่นนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งไป๋เฉินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธในข้อนี้
เวลาแต่ละนาทีผ่านพ้นไป เพียงไม่นานก็เป็นเวลาสองทุ่มตรง
หลังจากนั้นราวหนึ่งถึงสองนาที ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาในตรอกนี้จากทางเข้าของถนนใต้
เขาสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้ม หมวกหนังที่มีขน และผ้าพันคอสีดำ ร่างกายโค้งค่อมเล็กน้อยราวกับเป็นชายชราที่ตัวสั่นอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว
ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าไป ชายชราก็ลื่นผงะ ร่างโงนเงน และมีอะไรบางอย่างร่วงลงมา
เขารีบย่อตัวลงไปคลำหาของที่ตกโดยอาศัยแสงไฟจากอาคารสองฝั่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าสิ่งที่ชายชราทำตกไว้คือป้ายสีแดงที่ไม่มีตัวหนังสือ
“ของที่ทำตก ใช่อันนี้หรือเปล่าคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนก้มลงไปพร้อมกับยิ้มให้ขณะที่ยื่นป้ายสีแดงซึ่งมีตัวหนังสือสีทองมายังเบื้องหน้าชายชรา
ชายชรามองแล้วเงยหน้าขึ้นมา
“ใช่แล้ว”
ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น จึงเห็นว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้ชราวัย เพียงแค่ราวสามสิบปีเท่านั้น คิ้วไม่หนาไม่บาง หน้าตาไม่หล่อเหลาแต่ก็ไม่ขี้เหร่ ดูแล้วไม่สะดุดตา
หลังจากตอบคำ คนผู้นี้ก็รีบหยิบ ‘ป้าย’ ไว้แล้วลุกขึ้นยืน
เมื่อยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหญ้าไพร เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วถามคำถามอย่างไม่จริงจัง
“คุณเคยมาเดินเล่นสำรวจสภาพแวดล้อมแถวนี้บ้างหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองผงกศีรษะแล้วตอบกลับอย่างไม่จริงจังเช่นกัน
“เพียงแค่สวมเสื้อกลับด้าน สวมหมวกบ้างถอดหมวกบ้าง วิธีพันผ้าพันคอ ท่าทางการเดิน ก็ทำให้ในตอนกลางคืนคุณดูเหมือนเป็นคนละคนกันได้แล้ว แต่ก็ต้องฝึกฝนอยู่เหมือนกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งฟังจนจบแล้วยิ้มให้
“คุณเดินผ่านมาสี่รอบแล้วใช่ไหมล่ะ”
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
การที่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้รู้ตัวว่าเขาอยู่ใกล้ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทว่าเธอกลับสามารถบอกจำนวนครั้งที่เขาเดินผ่านได้อย่างแม่นยำ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้แล้วมองที่เท้าของเขา
“ครั้งหน้าก็อย่าลืมเปลี่ยนรองเท้าด้วยนะคะ”
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองรู้ตัวขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่งแล้วผงกศีรษะ
“แต่จะว่าไปแล้ว การจะให้พกรองเท้าเพิ่มอีกก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่ คงต้องใช้วิธีทำให้มันสกปรกแทน
“จะเสียดายของไหม”
บนแดนธุลีนั้น นอกจากพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางแล้ว จะมีใครบ้างล่ะที่เต็มใจจะทำลายข้าวของของตัวเอง
พนักงานทั่วไปของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นโดยปกติจะมีชีวิตที่ขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้อยู่บ้าง แต่ก็ยังนับว่าดีกว่านิคมคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนใหญ่อยู่มาก
“ก็มีบ้าง” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองพยักหน้าตามความสัตย์จริง
เขาเหลียวซ้ายแลขวามองดูรอบข้าง แล้วพูดขึ้น
“ที่นี่ไม่สะดวกคุย ตามผมมา”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าทันที
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสังเกตเห็นปฏิกิริยานี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ไม่เชื่อใจผมเหรอ”
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมาทันที
“ทำไมจะไม่เชื่อใจล่ะ
“คุณดูสิ
“พวกเราต่างก็เป็นพนักงานบริษัท
“ครอบครัวพวกเราต่างก็อยู่ที่บริษัท
“ดังนั้น…”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองผู้นี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ใช่แล้ว ดังนั้นทุกคนล้วนสามารถเชื่อใจได้”
เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของเขามีความอบอุ่นอ่อนโยนมากขึ้น
“ผมถูกส่งมาประจำการที่นี่เกือบสองปีแล้ว รออีกปีก็จะได้กลับบ้านล่ะ ไม่รู้ว่าลูกสาวจะยังจำหน้าผมได้หรือเปล่านะ ตอนที่ผมจากมาตอนนั้นเธอเพิ่งจะห้าขวบเอง”
“อย่าพูดเรื่องไม่เป็นมงคลสิ พูดเป็นลางไปได้” ซางเจี้ยนเย่ารีบขัดเขาทันที
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองชะงักไปทันที จากนั้นก็มองซางเจี้ยนเย่าและเห็นใบหน้าอันจริงใจของเขา
“ก็จริง” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองรู้สึกถึงความห่วงใยจากสหายตน
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่สุดถนนอีกด้านของตรอก
“ไปที่อื่นกันเถอะ ที่นี่มีคนไปๆ มาๆ”
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองนั้นมีการระวังตัวตามสัญชาตญาณ จึงร้อนใจต้องการเปลี่ยนที่สนทนา
หากว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะไม่น่าไว้วางใจ แต่ในตอนนี้ก็สามารถเชื่อใจได้แล้วอันเนื่องมาจากการจูงใจของ ‘ตัวตลกชักจูง’ ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เธอพยักหน้าเล็กน้อย
“ได้”
พูดจบเธอก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา กดปุ่มแล้วพูดลงไป
“ถอนตัวได้”