รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 133 กำหนดแนวทาง

“นี่น่าจะเรียกได้ว่าความรู้และการกระทำเป็นหนึ่งเดียวกัน” หลงเยว่หงเห็นด้วยกับหัวหน้าทีม

ใบปลิวพวกนี้ เห็นทีไรก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกที

เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตาจากใบปลิว เหลือบมองดูซางเจี้ยนเย่าที่นิ่งเงียบแล้วถามขึ้น

“คิดอะไรอยู่เหรอ”

“กำลังคิดว่าศีลมหาสนิทของพวกเขาคืออะไรน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอถามอย่างยิ้มแย้ม

“บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่นิกายอะไรก็ได้

“แล้วก็นะ พวกกลุ่มองค์กรไร้สมองแบบนี้ คุณภาพศีลก็คงไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่”

“เฮ้อ…” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจด้วยความเศร้า

ไป๋เฉินมองดูหัวหน้าทีมโยนกองใบปลิวลงบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็พูดขึ้น

“ที่ ‘ปฐมนคร’ ก็มีกลุ่มองค์กรคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน คำขวัญพวกเขาก็คือ ‘สมองมีไว้ก็ไร้ค่า’ ‘โง่เขลาคือโชควาสนา’ แล้วก็ ‘ต้องเลิกคิดถึงจะช่วยโลกได้’”

“แบบนี้ก็ยังมีคนเชื่อด้วยเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงรู้สึกแปลกใจมาก

ถึงแม้ว่าเขาจะได้เห็นมาแล้วกับตาก็จริง แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

เมื่อเทียบกันแล้ว นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ที่สอนสั่งความรู้เรื่องการดูแลเด็กและสนับการตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาตินั้นยังดีกว่าเยอะเลย

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วถอนหายใจ

“หลังจากที่โลกเก่าล่มสลายไป การที่ต้องใช้ชีวิตในช่วงสงครามที่เนิ่นนานหลายสิบปี ความอดอยากแร้นแค้น โรคระบาดที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตได้ ผู้คนในแดนธุลีต่างก็เต็มใจไขว่คว้าไว้ทุกอย่างแหละ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขายังมีความหวังในอนาคตอยู่บ้าง”

หลงเยว่หงพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ซึ่งที่จริงเขาก็อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้

“ไม่รู้ว่าพวกเขาศรัทธาในผู้ครองกาลองค์ไหน หรือไม่ก็อาจจะไม่มีใครศรัทธาเลยหรือเปล่า” ไป๋เฉินหันมาถาม

“ฉันไม่เคยติดต่อกับพวกองค์กรแบบนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า เธอมองไปที่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ทางที่ดีก็อย่าไปเข้าพวกองค์กรแบบนี้เลย ถ้าหากว่านายเกิด ‘ติดเชื้อ’ ขึ้นมา กลายเป็นพวกไร้สมองไปด้วย จะยุ่งกันใหญ่”

“ผมเป็นสมองให้พวกเขาได้ จะมีแค่สมองเดียวด้วย” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“มีความทะเยอทะยานจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดหยอกล้อ จากนั้นก็แจกจ่ายข้อมูลในมือให้กับสมาชิกคนอื่นๆ “อ่านให้ละเอียด พวกเราจะได้มาคุยเรื่องนี้กัน ได้เวลาคุยกันเป็นการเป็นงานแล้ว”

พวกองค์กรที่สนับสนุนว่าความรู้คือยาพิษ ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ถ้าหากว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาหาเรื่องเราก่อน ก็อย่าไปเสียเวลาด้วยเลยดีกว่า

หลังจากที่ทุกคนพลิกอ่านเนื้อหาข้อมูลกันเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทวนคำพูดของเฉินซวี่เฟิง แล้วถามความเห็น

“พวกนายคิดว่าควรจะเริ่มตรวจสอบจากเบาะแสไหนก่อนดี”

ไป๋เฉินมองดูข้อมูลในมือ ครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมา

“ภารกิจที่พวกเขารับไปทำนั้นเป็นงานธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะคุ้มค่าให้ไปตรวจสอบหรือเปล่า”

“ใช่ ใช่” พอพูดออกไปเสร็จ หลงเยว่หงเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบพูดออกมา “ไป๋เฉินเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’!”

นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งจะรู้เมื่อตอนที่ไปลงทะเบียนนักล่าเมื่อตอนบ่ายนี้เอง

สำหรับคนที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคมนักล่านั้นจะเป็น ‘นักล่ามือใหม่’ หลังจากที่สะสมแต้มนักล่าได้ 100 แต้มก็จะเลื่อนขั้นเป็น ‘นักล่าทางการ’ หลังจากนั้นจะต้องสะสมแต้มนักล่า 1,000 แต้ม เพื่อจะเลื่อนขั้นเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’

นี่ไม่ใช่การรับภารกิจใหญ่มาสักงานสองงานอย่างเช่นรวบรวมข้อมูลของเฉียวชูแล้วจะได้เลื่อนขั้น

พวก ‘นักล่าชั้นกลาง’ แต่ละคนนั้นจะต้องทำภารกิจหลายสิบหรือหลักร้อย ถึงจะสามารถเลื่อนขั้นได้ ซึ่งพูดได้ว่าต้องสะสมประสบการณ์มาพอสมควร

“ฉันลงทะเบียนเป็นนักล่ามาตั้งแต่เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนแล้วล่ะ” เมื่อไป๋เฉินเห็นหัวหน้าทีมกับซางเจี้ยนเย่ามองมา ก็เลยอธิบายให้ฟังอย่างรวบรัด

“ตอนนั้นเธอเพิ่งจะ 18-19 เองไม่ใช่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับแล้วหัวเราะเยาะตัวเอง “ฉันชอบคิดอยู่เรื่อยๆ เลยว่าเธออายุน้อยกว่าฉัน”

“อาจจะเป็นเพราะความสูงก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘อธิบาย’

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา

“ถ้าพูดดีๆ ไม่เป็น จะหุบปากบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกย่ะ”

จากนั้นเธอก็หันไปถามไป๋เฉิน

“ตอนลงทะเบียน เธอใช้ชื่อจริงหรือเปล่า”

“เปล่า” ไป๋เฉินสั่นศีรษะ “มันทำให้ไม่สะดวกหลายเรื่องและถูกเปิดโปงได้ง่าย พวกเจ้าหน้าที่ของสมาคมเองก็ใช่ว่าจะไม่รับสินบน”

“ดีแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าโล่งใจ “ฉลาดตั้งแต่เด็ก! อ้อ… ถ้างั้นต่อไปเวลาจะรับภารกิจเพื่อหาเงิน ก็ใช้ชื่อเธอละกัน นักล่าชั้นกลางสามารถเลือกรับภารกิจได้มากกว่า”

ตัวเธอ ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หงนั้นต่างก็เป็น ‘นักล่ามือใหม่’ ซึ่งมีแต้มนักล่าเป็นศูนย์ จึงไม่สามารถรับภารกิจที่จำเป็นต้องมีแต้มรองรับในระดับหนึ่ง

“ได้” ไป๋เฉินผงกศีรษะเล็กน้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“พวกนายคิดว่าเบาะแสไหนมีค่ามากกว่ากัน”

นี่นับเป็นการสอนผ่านการปรึกษาหารือ เป็นส่วนของการระดมความคิด

“เบาะแสที่ห้า เห็นคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยอยู่ในเมืองหญ้าไพร” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล “ถ้าเจอพวกเขาเมื่อไหร่ คำถามก็จะมีคำตอบ”

“แล้วจะไปหาได้ที่ไหนล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยรอยยิ้ม

ราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

“หาที่ที่จะพิมพ์ภาพถ่ายออกมาได้ แล้วเอาไปแจกจ่ายปิดประกาศให้ทั่วเมือง ดูว่ามีใครเคยเห็นพวกเขาบ้างไหม”

ในฐานะที่สำเร็จการศึกษาจากภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังรู้เกี่ยวกับการทำสำเนาภาพถ่ายและการพิมพ์

“…” เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็หัวเราะออกมา “เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาดี ซึ่งก็น่าจะได้ผลแหละ แต่มีปัญหาอยู่สองประการ

“ข้อแรก ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป เราไม่มีวัตถุปัจจัยมากพอจ่าย

“ข้อสอง นี่จะทำให้ศัตรูรู้ตัว อาจทำให้เหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกฆ่าปิดปากเพื่อตัดตอนได้

“นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวขนาดนี้อาจไปดึงดูดความสนใจของคนระดับบนของเมืองหญ้าไพรแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านลบขึ้นมาได้ ลองคิดดูสิ เฉินซวี่เฟิงรู้จักเมืองหญ้าไพรดีกว่าพวกเราตั้งเยอะ เขายังไม่กล้าใช้วิธีค้นหาวงกว้างแบบนี้เลย นี่ต้องระวังไว้ให้มาก”

เธอร้อง “อืม” แล้วพูดต่อ

“ปัญหาที่ว่ามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป กับการเคลื่อนไหวที่ดึงดูดความสนใจจากคนระดับบนนั้น จะว่าไปก็แก้ได้ไม่ยาก เราสามารถสร้างภารกิจขึ้นมาแล้วใช้อาหารเป็นสิ่งตอบแทน นี่เป็นเรื่องธรรมดา จะไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติ แถมไม่ต้องพิมพ์หรือทำสำเนาภาพถ่ายด้วย เพียงแค่สแกนแล้วอัปโหลดไปที่สมาคมนักล่า แค่นั้นก็ทำให้คนที่รับภารกิจจำหน้าได้แล้ว

“ทว่าวิธีการนี้คงไม่มีประสิทธิภาพมากนัก และยังคงแหวกหญ้าให้งูตื่นอยู่ดี”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจแล้วหัวเราะ

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าขว้างมุสิกเกรงกระทบภาชนะ[1]ละก็ การแหวกหญ้าเพื่อให้งูออกมา จะทำให้หาร่องรอยได้ง่ายขึ้นมาก”

เมื่อหลงเยว่หงได้ยินการวิเคราะห์เช่นนี้ ก็รู้สึกว่าได้เรียนรู้ขึ้นอีกเยอะมาก เขาพูดพึมพำกับตัวเอง

‘สมองของหัวหน้านี่ใหญ่ขนาดไหนกันนะ ถึงคิดได้ซับซ้อนเจ็ดแปดตลบได้ถึงขนาดนี้’

เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนมองมาที่ตนเอง จึงรีบแสดงความคิดเห็นออกมา

“แล้วหัวหน้าคิดว่าเราน่าจะเริ่มสืบสวนจากเบาะแสเรื่องไหนดี”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา

“นายคิดเองไม่ได้หรือไง”

“ผมมีความคิดเหมือนซางเจี้ยนเย่า” หลงเยว่หงรีบตอบอย่างรวดเร็ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ได้ขบคิดมาแล้ว

“ฉันไม่เชื่อหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างยิ้มแย้ม “คนส่วนใหญ่น่ะ ตามความคิดเขาทันซะที่ไหนล่ะ”

หลงเยว่หงจึงต้องพูดเสริม

“ไปที่บาร์วิหคเหิน ตามหาคนที่มีเรื่องกับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทีมนั้น

“นี่ก็คือวิธีหนึ่งเช่นกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยก่อนจะส่ายหน้า “แต่ให้เฉินซวี่เฟิงตรวจสอบเบาะแสนี้ดีกว่า เขาเป็นงูเจ้าถิ่น ทำอะไรก็ย่อมสะดวกกว่าพวกเรา หวังว่าเขาจะได้เรื่องอะไรมาบ้าง อ้อ… พื้นที่ถนนเหนือกว้างเกินกว่าจะไปตรวจสอบได้ นอกจากนี้พวกเราเองตอนนี้ก็ยังเข้าไปเขตถนนเหนือไม่ได้ด้วย นอกจากจะรับภารกิจทหารรับจ้างเฉพาะกิจ…”

หลังจากตัดตัวเลือกที่ไม่ต้องการออกไปหมดแล้ว เธอก็หัวเราะออกมา

“มีอยู่เบาะแสหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนกว่าอันอื่น นั่นก็คือสมาชิกระดับสูงของสมาคมนักล่าท้องถิ่นที่ทีมของเหลยอวิ๋นซงไปหา”

“แต่เราไม่รู้ว่าเป็นใครนี่นา” หลงเยว่หงขมวดคิ้ว

นี่ยังคงต้องรอการสืบสวนจากเฉินซวี่เฟิงก่อน

เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม

“ถึงแม้จะไม่รู้ แต่ก็วิเคราะห์ได้”

“‘ทีมสำรวจเก่า’ นั่นมาที่เมืองหญ้าไพรเพื่อค้นหาผู้สูงอายุซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับโลกเก่า แล้วทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงไปเข้าพบสมาชิกระดับสูงของสมาคมนักล่าได้ล่ะ เป็นเพราะคนผู้นั้นเป็นผู้สูงอายุหรือเปล่า หรือว่าในบ้านเขามีผู้สูงอายุอยู่ด้วย

“พรุ่งนี้ฉันจะไปที่สมาคมนักล่าเพื่อหาดูว่าเป็นสมาชิกระดับสูงคนไหนกันแน่ ค่อยๆ เปรียบเทียบเงื่อนไขไปเรื่อยๆ ทีละคนทีละคน แต่ถ้าไม่ได้คำตอบ ก็ค่อยให้เฉินซวี่เฟิงรวบรวมข้อมูลสมาชิกครอบครัวของพวกระดับสูง ดูว่าผู้สูงวัยในครอบครัวยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

“เมื่อจำกัดเป้าหมายให้แคบลงแล้ว…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม มองมาที่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“ก็ถึงเวลาที่นายจะ ‘สร้างเพื่อน’ หรือหาพ่อแม่บุญธรรม ปู่ย่าตายายบุญธรรมล่ะ”

หลงเยว่หงซึ่งไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ก็รู้สึกงุนงงในทันที

“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าดวงตาเป็นประกาย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แล้ว ‘พูดกับตัวเอง’

“ตอนนี้คือช่วงสิ้นปี น.ศ.46 ช่วงกลียุคมีประมาณ 20 ปี… คนที่อายุไม่ถึง 70 ปีก็ไม่อยู่ในข่ายว่ามีประสบการณ์ตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย…”

ถึงแม้ว่าพวกคนที่อายุน้อยกว่า 70 ปีจะได้ประสบกับช่วงที่โลกเก่าถูกทำลาย ทว่าตอนนั้นพวกเขายังเด็กเกินกว่าจะจำในสิ่งที่พานพบในตอนนั้นได้

จากสภาพแวดล้อมของแดนธุลีในทุกวันนี้ ยากมากที่จะมีคนมีอายุได้จนถึง 70 ปี

“งั้นก็ตกลงตามนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือ “ดูภาพถ่ายให้ดีๆ แล้วจำหน้าพวกเขาไว้ เผื่อพรุ่งนี้เดินไปเดินมาแล้วโชคหล่นใส่ไปเจอพวกเขาเข้า”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมา

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่า และอดเหลือบมองหลงเยว่หงที่ถูกกระตุ้นไม่ได้

ถ้าโชคดีก็คงไม่ต้องเจอกัน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็คงได้เจอหน้ากันจังๆ

หลงเยว่หงไม่อยากจะเถียงกับซางเจี้ยนเย่าเรื่องโชคดีโชคไม่ดี ดังนั้นจึงก้มหน้ามองสำรวจรูปถ่ายแต่ละรูป

เหลยอวิ๋นซง อายุราว 27-28 ปี คิ้วตั้งราวดาบ หน้าตาดี แต่ดวงตาค่อนข้างเล็ก ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ายังลืมตาไม่เต็มที่

หลินเฟยเฟยอายุมากกว่าเหลยอวิ๋นซงเล็กน้อย มีผมยาว ใบหน้ารูปไข่ ให้ความรู้สึกอ่อนโยน มีไฝสีดำที่คิ้ว

หลูจี้ฉี วัยสามสิบต้น องอาจกำยำ ริมฝีปากบาง ผิวสีแทน

อวิ๋นเฮ่อ ดูราวกับผ่านลมฝนมาอย่างโชกโชน ใบหน้าค่อนข้างผอม ดูเหมือนคนที่อยู่บนพื้นโลกมากกว่าเป็นพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มีรอยแผลเป็นซึ่งเป็นรอยเก่าอยู่ที่คาง

เว่ยอวี้ มีใบหน้าราวกับเด็กน้อย ค่อนข้างน่ารัก จากข้อมูลระบุว่าเธอสูง 166 เซนติเมตร…

ในขณะที่อ่านข้อมูลเหล่านี้ หลงเยว่หงก็พูดออกมา

“พวกเขาน่าจะแต่งงานกันแล้ว มีคู่ครอง มีลูก…”

เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ดังนั้นจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ได้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น…”

* * * * *

[1] ขว้างมุสิกเกรงกระทบภาชนะ (投鼠忌器) สำนวน ‘จะเอาสิ่งของขว้างปาหนู ก็กลัวว่าจะขว้างไปโดนข้าวของอื่นๆ’ อุปมาถึงว่า จะลงมือกับคนเลวก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นถูกลูกหลงไปด้วย ทำให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ใกล้เคียงกับสำนวนไทยว่า ‘ลูบหน้าปะจมูก’ และ ‘หยิกเล็บเจ็บเนื้อ’

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset