ขณะที่หลงเยว่หงกำลังว่าจะอ่านข้อมูลซ้ำอีกสักสองสามรอบ จู่ๆ ไฟฟ้าในห้องก็ดับวูบลงทันที
“ถึงเวลาดับไฟแล้วเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่สวมไว้ พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบนาทีแล้ว
แล้วเธอก็หัวเราะขึ้นมา
“นับว่ามีมนุษยธรรมมากกว่าที่บริษัทนะเนี่ย”
ภายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นจะดับไฟถนนในเวลาสามทุ่มตรง ไม่มีล่าช้าแม้แต่นาทีเดียว ทว่าในขณะนี้เลยเวลาดับไปไฟถึงสิบนาทีแล้ว
“การมีมนุษยธรรมนั่นหมายถึงว่ามีการจัดการที่หย่อนยานอย่างนั้นใช่ไหม” ไป๋เฉินพยายามตีความหมายเชิงนัยของคำพูดหัวหน้าทีม
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“มันก็มีทั้งดีและไม่ดีนั่นแหละ ต้องวิเคราะห์กันเป็นสถานการณ์ไป”
“ตอบแบบนี้ก็เหมือนไม่ได้ตอบนั่นแหละ” ซางเจี้ยนเย่าประเมินเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
จากนั้นก็พูดเสริม
“คุณกลัวว่าไป๋เฉินจะลำบากใจ ก็เลยพูดออกมาแบบนั้นสินะ”
“โอ้ ยังมีแก่ใจช่วยอธิบายให้ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งเคยชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของซางเจี้ยนเย่าแล้ว จึงทำเพียงแค่กลอกตาใส่เขาเท่านั้น
เธอพูดต่อ
“ไปพักผ่อนกันเถอะ วันนี้เราวุ่นกันมาตั้งแต่เช้าจรดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังมีเรื่องต้องทำกันอีก”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบเสียงดังตามความเคยชิน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ
“ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ นายอยากให้คนทั้งตึกรู้ว่าพวกเรามาด้วยกัน และมีหัวหน้าทีมด้วยหรือไง
“เหอะ เหอะ ไม่เป็นไร คอยระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน ต่างที่ก็ต่างเรื่อง”
โชคดีที่ไฟฟ้าเพิ่งดับลง จึงทำให้เกิดเสียงวุ่นวายรอบด้านจนกลบเสียงภายในห้องนี้ไปจนหมดสิ้น
จากการจัดการก่อนหน้านี้ ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจึงเข้าพักในห้องที่ติดกับฝั่งลานโล่ง
ด้วยการจัดสรรเช่นนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นมา ไป๋เฉินจะพาหลงเยว่หงกระโดดลงไปที่ลานแล้วกลับไปยังรถจี๊ปที่จอดไว้ ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งมีประสาทสัมผัสการตรวจจับที่ต่างจากคนทั่วไป สามารถหลบหลีกเหตุไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นที่ถนนได้
หลังจากมองดูไป๋เฉินกับหลงเยว่หงออกจากห้องไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ชี้ไปยังเตียงสองชั้นภายในห้อง
“นายจะนอนบน หรือให้ฉันนอนบน”
“คุณ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม
“กลัวว่าเวลาที่ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วจะรบกวนฉันงั้นเหรอ”
“วันนี้ผมกินไปเยอะน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตามความจริง
“งั้นก็ได้” แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ “คืนนี้อย่าเพิ่งขึ้นไปบนเกาะที่เป็นโรคนะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องทำ เก็บแรงไว้ก่อน”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับอย่างไม่มีการลังเลใจแม้แต่น้อย
“นับว่ายังแยกแยะความสำคัญของเรื่องได้” เจี่ยงไป๋เหมียนชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ระหว่างที่พูดเธอก็เดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก
ถนนใต้และถนนตะวันออกตลอดทั้งสายนั้นมืดสนิท แม้แต่ไฟถนนก็ไม่ได้ส่องสว่างอีกต่อไป
บางส่วนของถนนตะวันตกยังมีแสงส่องอยู่บางจุดประหนึ่งเป็นประภาคารส่องสว่างในความมืด ส่วนด้านถนนเหนือนั้นสว่างไสวราวกับเป็นดาราจักรที่อยู่บนพื้นพิภพ
“แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นบน
เธอกับซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะเอนกายนอนลงไปเพียงครู่เดียว ก็พลันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองสามครั้ง
เสียงดังมาจากทางถนนตะวันตก
หลังจากนั้นยามวิกาลก็กลับเงียบสงัดลงอีกครั้ง และยังคงได้ยินเสียงดนตรีครึกครื้นดังแว่วมาจากทางถนนตะวันตกราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเมื่อครู่
แปะ! แปะ! แปะ!
จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ตบมือขึ้น
“จะตบมือทำไมยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามซางเจี้ยนเย่าออกมาตรงๆ เพราะคร้านจะเดา
“พวกเขามีครื้นเครงกันดีน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความกระหายใคร่อยากออกไปร่วมวงด้วย
“คงเพราะที่นี่คือเมืองหญ้าไพร” เจี่ยงไป๋เหมียนหลับตาลง ค่อยๆ เข้าสู่สภาวะหลับใหล
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณประตูเมืองซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก ผสมกับเสียงปืนอีกสองสามนัด
“ทำไมที่นี่ถึงมีคนยิงกันล่ะ” หลงเยว่หงซึ่งนอนอยู่เตียงล่างถามไป๋เฉินด้วยความสงสัยกึ่งกังวล
ที่เขาเลือกนอนเตียงล่างก็เพราะว่าไป๋เฉินนั้นเชี่ยวชาญการซุ่มยิง ดังนั้นถ้าอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น เธอก็สามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวในลานได้ดีกว่า
“พวกคนเร่ร่อนที่เข้าเมืองมาในตอนกลางวันไม่ได้ เลยลองพยายามบุกฝ่าเข้ามาตอนกลางคืนน่ะ” ไป๋เฉินคาดเดาจากประสบการณ์ส่วนตัวและสภาพการณ์ปัจจุบันของเมือง “แล้วยามก็ยิงต้านไว้”
เมื่อได้ฟังคำตอบ ความรู้สึกของหลงเยว่หงก็ผสมปนเปอย่างซับซ้อน ไม่เพียงแค่เห็นใจคนเร่ร่อนที่รอความตายในค่ำคืนอันหนาวเหน็บของฤดูหนาว แต่ก็รู้สึกว่ายามรักษาการณ์เองก็มีความชอบธรรมที่จะยิง ไม่ได้ทำผิดอะไร
นี่เตือนให้เขานึกถึงประโยคที่พนักงานในแผนกความมั่นคงของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ซึ่งทำงานกันมานานแล้วมักจะพูดกันว่า “โลกนี้แม่งระยำ!”
ครั้นเมื่อเสียงอึกทึกจากประตูเมืองเริ่มเงียบสงบลง หลงเยว่หงก็พยายามข่มตัวเองให้หลับ
แล้วตอนนี้เขาก็พลันได้ยินเสียงดังอือๆ อาๆ มาจากชั้นบน หรืออาจจะถัดขึ้นไปอีกสองชั้น
ที่ห้องอื่นๆ ก็มีเสียงที่คล้ายคลึงกันนี้ก็ดังออกมาด้วยเช่นกัน
หลงเยว่หงเองไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเสียงพวกนี้มาก่อน ถึงอย่างไรฉนวนป้องกันเสียงของห้องพักพนักงานทั่วไปที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ก็ไม่ได้มีคุณภาพดีนัก
นี่ทำให้เขาหน้าแดงขึ้นมา เพราะตอนนี้นั้นยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนอนอยู่ด้านบนของเขาด้วย
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งเสียงอือๆ อาๆ ก็ค่อยๆ สงบลง หลงเยว่หงจึงได้ถอนใจโล่งอก
แต่เกือบจะในวินาทีนั้นเองก็มีเสียงด่าดังขึ้นมาอีก
“ไสหัวไปเลย!
“ให้หมั่นโถวมาแค่สองลูก แล้วยังคิดจะต่อรอบสองอีก ไอ้หน้าด้าน”
หลงเยว่หงตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถามอย่างตะกุกตะกัก
“นะ… นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“หญิงขายบริการน่ะ” ไป๋เฉินตอบอย่างรวบรัด
นี่เป็นอาชีพที่ไม่มีใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ หลงเยว่หงรู้จักคำนี้จากหนังสือเรียนและพจนานุกรม
“อ๊ะ… นี่…” หลงเยว่หงนั้นตกตะลึงในคราแรก แล้วก็รีบพูดปกป้องตัวเอง “คือ… ฉันแค่คิดว่าคนบนพื้นโลกน่าจะมัวแต่วุ่นกับการเอาชีวิตรอดในแต่ละวันให้ได้น่ะ…”
“นี่ก็เป็นหนทางเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่งเหมือนกัน” ไป๋เฉินพูดโดยปราศจากร่องรอยการดูถูกแม้แต่น้อย “ยิ่งถูกแรงกดดันให้เอาชีวิตรอดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องหาทางระบายอารมณ์ในเรื่องนี้มากขึ้นเท่านั้น”
เธอหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเสริมอีกสองประโยค
“ในเมืองหญ้าไพรนั้น มีคนนอกมากมาย มีนักล่ามากมาย พวกเขารอนแรมอยู่บนแดนธุลีมานานปี บ่อยครั้งที่ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาหลายสัปดาห์ บางทีก็หลายเดือน
“ในด้านนี้ พวกนักล่าซากอารยะผู้หญิงจะดีกว่าหน่อย ถ้าเกิดความต้องการขึ้นมา ก็มีคนอาสาอย่างเต็มใจ บางทีอาจได้รับวัตถุปัจจัยมาอีกด้วย แต่ก็ต้องใส่ใจเรื่องการติดโรคหรือตั้งครรภ์ไว้เหมือนกัน สำหรับนักล่าซากอารยะผู้หญิงแล้ว เรื่องพวกนี้ถ้าพลาดพลั้งไปก็เท่ากับจบสิ้นเลยล่ะ”
หลงเยว่หงฟังอย่างเงียบๆ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจ
ค่ำคืนนั้นผ่านไปโดยมีความสงบเงียบสลับกับความวุ่นวายเป็นระยะ เมื่อตอนที่หลงเยว่หงตื่นขึ้นมากลางดึก คนทั้งเมืองก็ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เวลาเจ็ดโมงครึ่งในยามเช้า ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทว่าความมืดยังคงปกคลุมโลกไว้ แต่ตามท้องถนนก็เริ่มคึกคักบ้างแล้ว
ร้านค้าหลายร้านต่างก็เปิดประตูเพื่อขายอาหารเช้า
ในบรรดาร้านค้าเหล่านี้ ร้านที่มีการค้าคับคั่งที่สุดก็คือร้านที่ขายขนมปังข้าวโพดสองสามร้าน ซึ่งจุดเด่นของพวกเขาก็คือราคาที่ค่อนข้างถูก
มีบางร้านที่ขายเพียงแค่น้ำร้อนที่ต้มจากถ่านไม้ ราคาถ้วยละ 1 แคส ซึ่งนี่เตรียมไว้เป็นพิเศษให้กับพวกนักล่าซากอารยะที่สำลักหลังจากกินขนมปังข้าวโพดลงไป
แม้แต่น้ำเปล่าก็ยังต้องซื้อ
“แห้งชะมัด…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นหลังจากกินขนมปังข้าวโพดสีเหลืองไปสองชิ้น
ขนมปังข้าวโพดชนิดนี้ราคาชิ้นละ 5 แคส เท่ากับว่า 1 ดราสจะซื้อได้สองชิ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งถือถุงน้ำดื่มไว้ก็พลันกลอกตาใส่ซางเจี้ยนเย่า
“ไม่มีใครแย่งสักหน่อย จะรีบกินไปทำไม”
“ผมพยายามจะสัมผัสกับประสบการณ์จาก ‘เปรตหิวโหย’ อีกครั้งน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าดื่มน้ำเสร็จก็อธิบายอย่างจริงจัง
“นายจะบอกว่ากำลังพยายามปรับตัวให้เคยชินกับวิธีการกินแบบนี้เตรียมไว้ หากต้องเจอกับจิ้งฝ่าอีกก็จะซื้อเวลาได้อีกสองสามวินาทีหลังจากที่ถูกโจมตีด้วย ‘เปรตหิวโหย’ ขึ้นมาอย่างนั้นน่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการบอก จึงถามเพื่อยืนยัน
“กันไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“…นายพูดเลียนแบบฉันอีกแล้ว!” ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกว่าประโยคนี้ฟังดูคุ้นหูมาก จากนั้นก็นึกออกว่าตนเองเคยพูดออกมา
จากนั้นเธอก็พูดต่ออย่างยิ้มแย้ม
“จะว่าไปแล้ว เตรียมอาหารที่กลืนได้ง่าย จะไม่ดีกว่าหรือไง”
“เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเจอกับจิ้งฝ่าเมื่อไหร่” ซางเจี้ยนเย่าแขวนถุงน้ำเก็บคืนที่เข็มขัดซึ่งเหน็บอาวุธไว้
“ก็พกติดตัวเอาไว้ แต่ไม่ต้องเอามากินสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนแย้ง “ยิ่งกว่านั้นนะ ในเมืองหญ้าไพรเนี่ย ไม่น่าจะมีโอกาสได้เจออาจารย์เซนจิ้งฝ่านั่นหรอก มีผู้หญิงอยู่เกลื่อนเมืองแบบนี้ เขาไม่มีทางควบคุมตัวเองได้แน่”
ในระหว่างที่พูดคุยกันนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เดินตามถนนจนมาถึงจัตุรัสกลาง ที่หมายของพวกเขาก็คือสมาคมนักล่า
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงกำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ ไม่ได้รีบตามมา
เดินมาได้หลายสิบเมตร เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเห็นชายคนหนึ่งสวมหมวกปีกกว้างเดินออกมาจากซอย
เธอรีบยื่นมือออกมาขวางไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าเดินหน้าต่อ และจ้องมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม
ปัง!
หลังจากเสียงปืนดังขึ้น ชายในหมวกปีกกว้างเมื่อสักครู่ก็ล้มลงกับพื้น สีแดงสีขาวแผ่นองไปทั่วพื้น
ถนนทั้งสายพลันหยุดนิ่งไป เสียงทั้งหมดเงียบหายไปในทันที
ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนดังขึ้นทีละเสียง
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพร้อมปืนกลมือของเมืองหญ้าไพรรีบพุ่งตรงไปยังอาคารซึ่งลูกกระสุนปืนถูกยิงออกมา
พวกเขาหลบประชิดริมถนน เพื่อป้องกันการถูกยิง
“สมกับเป็นมืออาชีพ…” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินพวกเขาด้วยความสุขุมสงบนิ่ง
เมื่อครู่นี้เธอสังเกตเห็นว่ามือปืนนั้นอยู่บนหลังคาอาคาร
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดาย…”
“เสียดายอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างงุนงงสงสัย
“ถ้าผมพิชิตเกาะได้อีกเกาะหนึ่ง ก็จะสามารถหยุดไม่ให้เขาเหนี่ยวไกได้” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเสียใจออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูความกว้างของถนนใต้ ความสูงของอาคาร แล้วก็ผงกศีรษะเล็กน้อย
“ถ้ามือปืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสี่ ก็ยังพอทำได้อยู่”
ความกว้างของถนนใต้นั้นประมาณ 5-6 เมตร และอาคารสามชั้นสูงราว 10 เมตร เมื่อคำนวณโดยใช้ทฤษฎีบทพีทาโกรัส[1] โดยรวมกับความสูงของธรณีหน้าต่างด้วย ก็จะสามารถคำนวณได้อย่างง่ายดายว่าหากมือปืนอยู่ที่ชั้นสี่ ระยะห่างระหว่างเขากับซางเจี้ยนเย่านั้นจะเป็นเส้นตรงยาวประมาณ 12-13 เมตร ซึ่งยังอยู่ในขอบเขตของพลัง ‘พันธนาการมือ’
ทว่าชั้นห้าและหลังคานั้นอยู่นอกระยะทำการ
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบคำ
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทันคิดถึงจุดนี้
“ภายในเมืองที่มีสิ่งกีดขวางอยู่เต็มไปหมด รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ทำให้ต้องต่อสู้อยู่บนท้องถนน นี่น่าจะมีประโยชน์มากกว่าที่ฉันคาดไว้เยอะเลย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหญ้าไพรซึ่งอาคารแต่ละหลังนั้นไม่ได้สูงมากนัก
“น่าเสียดาย…” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจอีกครั้ง
“น่าเสียดายที่ไม่มีศัตรูมาให้ทดลองงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับ
“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าตอบตามตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่เตือนเขาอย่างจริงจัง
“ที่นี่ก็เหมาะกับผู้ตื่นรู้คนอื่นด้วยเหมือนกัน”
สถานที่นี้ ระยะห่างของผู้คนจะถูกอาคารโดยรอบกระชับพื้นที่ให้เข้ามาใกล้กัน
* * * * *
[1] ทฤษฎีบทพีทาโกรัส (勾股定理) เป็นทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เรขาคณิตเพื่อคำนวณความสัมพันธ์ของความยาวแต่ละด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก