เป็นไปได้ยังไง… แม้กระทั่งความเข้มแข็งทางจิตใจในระดับของเจี่ยงไป๋เหมียน ตัวเธอเองยังแทบไม่เชื่อสายตาตนเองในตอนนี้เลย
หากว่าเหลยอวิ๋นซงนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในเมืองหญ้าไพร เธอก็ยังพอรับได้ ทว่าปัญหาก็คือหัวหน้าทีมผู้นี้เห็นได้ชัดว่ายังคงคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงและเกี่ยวข้องกับการยิงสังหาร ทว่ากลับไม่รายงานกลับไปให้บริษัทรับรู้สถานการณ์…
ต่อให้เครื่องรับส่งสัญญาณเสียหายหรือสูญหายไปก็เถอะ แต่ก็ยังสามารถหาใหม่ได้ หรือแม้แต่เช่าจากตลาดมืดก็ยังได้!
หรือว่าพวกเขากำลังสืบสวนเรื่องอะไรอยู่ หรือว่าทรยศหลบหนี ไม่สิ… ถ้าหากทรยศหลบหนีก็คงไม่อยู่ในเมืองหญ้าไพรต่อหรอก เขาต้องรู้ว่ายังไงทางบริษัทก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว… นอกเสียจากว่ากำลังสมรู้ร่วมคิดกับทางบริษัท…
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา แล้วมองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกถึงสายตาที่มองมา จึงพูดขึ้น
“…เขาใช้การฆาตกรรมเพื่อส่งสัญญาณเตือนบริษัทหรือเปล่า”
“…ไม่น่าจะซับซ้อนแบบนั้น แล้วก็นะ นายนี่จินตนาการเรื่องอันตรายไปหน่อยแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ฉันกำลังสงสัยว่าพวกเขาอาจจะถูกใครควบคุมอยู่ โดยใช้ชีวิตของสมาชิกทีมคนอื่นมาข่มขู่ให้เหลยอวิ๋นซงช่วยทำงานสกปรกให้ แบบนี้ก็จะอธิบายได้ว่าทำไมเฉินซวี่เฟิงถึงได้รับข้อมูลว่ามีคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยอยู่ในเมือง แต่ไม่ได้พูดถึงอีกสามคนที่เหลือ”
อีกสามคนนั้นถูกจับเป็นตัวประกันอยู่!
“คิดซับซ้อนเกินไปแล้วล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าย้อนคำพูดก่อนหน้านี้
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ก็จริง
“ถ้าเพียงแค่ต้องการหาคนมาทำงานสกปรกให้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรซับซ้อนขนาดนี้ แรงจูงใจก็ไม่มากพอ
“หรือว่าจะเป็นการแก้แค้น คนที่หลิวต้าจ้วงออกหน้าให้อาจจะลงมือกับทีมของเหลยอวิ๋นซง ทำให้พวกเขาเสียหายอย่างหนักจนเหลือกันแค่สองคน แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็ควรต้องติดต่อบริษัทก่อนอยู่ดี เพราะถ้ามีความช่วยเหลือจากบริษัท อะไรอะไรก็จะง่ายขึ้น…”
เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มัวแต่คิดอยู่แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไปลงมือทำงานกันก่อนดีกว่า ไม่ว่ายังไงก็น่าจะได้เบาะแสอะไรกลับมาบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าใช้การกระทำแทนคำพูด เขาเดินไปยังโต๊ะที่ใกล้ที่สุด กดที่ด้านบนเครื่องแล้วเอาตรานักล่ารูดเพื่อตอบรับภารกิจ
นี่คือภารกิจที่ไม่จำกัดเงื่อนไขของผู้รับงาน แม้แต่นักล่ามือใหม่ก็สามารถทำได้
รอจนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนกดรับภารกิจเสร็จเรียบร้อย คริสติน่าผู้มีผมสีบลอนด์ดวงตาสีฟ้าก็เดินกลับมาที่ชั้นหนึ่ง
คราวนี้เธอไม่มีผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเธอก็คลี่ยิ้มให้
“วันนี้คงไม่ได้แล้วล่ะ มีเรื่องด่วนต้องทำ”
เมื่อพูดเสร็จ รองประธานนักล่าผู้นี้ก็รีบเดินไปยังประตูด้านข้างแล้วออกจากห้องโถงไป
“เรื่องด่วนงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้ามาใกล้ซางเจี้ยนเย่าพลางพูดพึมพำ
แล้วเธอก็รีบพูดต่ออย่างยิ้มแย้มโดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“ดูเหมือนว่านายไม่ต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงแล้วสินะ
“อ้อ… เหตุการณ์เมื่อตะกี้ นายเห็นรายละเอียดอะไรบ้างล่ะ”
“มีเธอแค่เพียงคนเดียว” ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนชม “สำหรับคนที่โดยปกติต้องมีผู้คุ้มกันติดตามสามคน แต่กลับกล้าออกไปคนเดียวแบบนี้ก็หมายความว่าเธอนั้นไม่ได้อ่อนแอ หรือไม่ก็คนที่เธอจะไปพบนั้นเป็นคนที่เธอไว้ใจและน่าจะอยู่ไม่ไกล อืม น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับหลายเรื่อง”
และตอนนี้จากหางตาเธอก็มองเห็นว่าไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็กดรับภารกิจด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ชี้ไปที่ประตูเข้าออก
“ไปกันเถอะ ไปดูสถานที่เกิดเหตุกัน”
เมื่อออกมาจากสมาคมนักล่าและย้อนกลับไปยังถนนใต้กันแล้ว สิ่งแรกที่เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นนั้นไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุ แต่เป็นฝูงชน
กลุ่มนักล่าซากอารยะล้อมรอบจุดที่หลิวต้าจ้วงถูกยิงเสียชีวิตราวกับว่าต้องการพลิกถนนเพื่อหาเบาะแส
“ทำแบบนี้จะได้อะไร ที่สำคัญคือตำแหน่งของมือปืนกับของที่อยู่ในตัวหลิวต้าจ้วงต่างหาก ไม่ใช่ที่ที่เขาล้มลงสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูแล้วก็ส่ายหน้า
ร่างของหลิวต้าจ้วงนั้นถูกทางกองกำลังป้องกันเมืองนำไปตั้งนานแล้ว
หลังจากระบุได้แล้วว่าอาคารที่ยิงลูกกระสุนออกมาคือหลังใด เจี่ยงไป๋เหมียนก็พาซางเจี้ยนเย่าเดินไปทางลานอาคารนั้น
และวินาทีถัดมาเธอก็ตะลึงงันไปในทันทีที่เห็นภาพเบื้องหน้า
มีคนต่อแถวกันยาวเหยียดมาตั้งแต่บันได!
“มาทำอะไรกันเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ซางเจี้ยนเย่าตั้งใจมองสำรวจอยู่หลายวินาทีก่อนจะตอบ
“มาเที่ยวชม”
“ต่อแถวเพื่อเที่ยวชมดาดฟ้าเนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าภาพที่เห็นในขณะนี้มันช่างเหลวไหลและน่าขันอยู่บ้าง
มีนักล่าที่ตอบรับภารกิจนี้มากมายจนคาดไม่ถึง!
เธอรีบเดินก้าวไปพรวดไปที่ท้ายแถว สะกิดแขนผู้ชายที่อยู่ท้ายสุดแล้วยิ้มให้
“เอ่อ… มาต่อแถวทำอะไรกันเหรอคะ”
ชายคนนั้นหันหน้ามาก่อนจะยิ้มตอบ
“รอคิวคุยกับพยานน่ะ ดูว่าจะพบเบาะแสใหม่ได้บ้างไหม”
เบาะแสที่มีค่าอย่างน้อย 10 ออเรย์
“อ๋อ… ขอบคุณค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกสนใจสถานการณ์อันแปลกประหลาดนี้อยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกน่าขบขันเช่นกัน
เธอขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่าแล้วพาเดินขึ้นบันไดไปพลางตะโกนไปพลาง
“ขอทางหน่อย เราพักอยู่ที่นี่ ขอทางหน่อย เราพักอยู่ที่นี่…”
จากนั้นก็มีเสียงดังรอบข้างเป็นระยะ เป็นคำพูดประมาณว่า ‘รับงานหรือเปล่า’ ‘คืนละเท่าไหร่’ ในระหว่างทางที่พวกเขาเดินขึ้นชั้นสี่ไป
‘หัวแถว’ ของขบวนนักล่าซากอารยะมาสิ้นสุดที่นี่ อยู่ที่หน้าประตูซึ่งเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองสำรวจดูเห็นว่ามีข้อความที่เขียนด้วยถ่านเอาไว้ เป็นตัวหนังสือโย้ไปเย้มา
‘พยานคนเดียวที่เห็นการยิง
‘จ่าย 2 แคส คุยได้หนึ่งนาที’
1 ออเรย์เท่ากับ 10 ดราส และ 1 ดราสเท่ากับ 10 แคส
“โห… มีหัวการค้าซะด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์อันซับซ้อน
จะว่าไปแล้วราคานี้ก็ถือว่าเป็นราคาที่ดี พวกนักล่าจะพิจารณากันเองว่าคุ้มค่าหรือไม่ หรืออาจจะจับกลุ่มใหญ่ชั่วคราวเพื่อสอบถามข้อมูล
สำหรับราคาในตอนนี้ พวกเขาเชื่อว่าตนเองสามารถดึงเบาะแสพิเศษออกมาได้ด้วยการถามคำถามที่แตกต่างไปจากคนอื่น
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจเช่นกัน
“ทำไมถึงไม่ขอเป็นซาลาเปาครั้งละลูกล่ะ จะได้กินได้ทั้งเดือนเลย”
“กินจนเลี่ยนเลยนะสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ แล้วก็มองไปยังห้องอื่นในชั้นนี้
มีหลายคนที่เปิดประตูแง้มออกมามองดูคนต่อคิวยาวเหยียดด้วยความอิจฉา บางครั้งบางคราวก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เขาไม่ได้เป็นพยานที่เห็นเพียงแค่คนเดียวซักหน่อย!”
“ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะเห็นด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าลืมไปแล้วแค่นั้นเอง…”
หลังจากที่ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตกใจ แปลกใจ และถอนใจ ในที่สุดเธอก็ค่อยๆ ปรับตัวกับสถานการณ์ได้ จึงหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่าดวยความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
“การสร้างนิคมที่ปกครองโดยสมาคมนักล่าเนี่ย ด้านวัฒนธรรมพื้นเมืองเองก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปด้วย ถ้าหากว่าพวกเขาถูกจัดว่าเป็นชนพื้นเมืองล่ะ”
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เจี่ยงไป๋เหมียนสนใจศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้อยู่เฝ้าสังเกตต่ออีก เดินนำซางเจี้ยนเย่าขึ้นไปที่ชั้นห้า จากนั้นก็รีบปีนขึ้นไปบนหลังคาต่อ
ที่นี่มีแทบไม่มีนักล่าซากอารยะอยู่เลย แต่มีกองกำลังป้องกันเมืองที่คอยเฝ้าระวังอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครไปทำลายพื้นที่เกิดเหตุโดยไม่ตั้งใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนสบตาไป๋เฉินซึ่งติดตามมาทัน จากนั้นก็เดินไปยังแนวรั้วของหลังคา มองดูถนนแล้วก็พูดพึมพำกับตัวเอง
“มือปืนน่าจะลงมือที่นี่”
เธอเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์การลอบยิงต่อหน้าต่อตา
ไป๋เฉินเอนกายมาทางเจี่ยงไป๋เหมียน ทำท่าถือปืนไรเฟิลยกขึ้นมาเล็ง
“มีอะไรแปลกๆ นิดหน่อย” เธอแสดงความคิดเห็น
ในตอนที่หลิวต้าจ้วงถูกยิง ตอนนั้นเขาเดินมาจนเกือบจะถึงกลางถนนใต้แล้ว อยู่ห่างจากอาคารเพียงแค่สามสี่เมตรเท่านั้น
จากมุมนี้ การที่จะยิงให้โดนเป้าหมายได้นั้น มือปืนจะต้องยื่นตัวให้พ้นขอบชายคาออกไปพอสมควร และต้องเอี้ยวตัวเพื่อเล็งยิง
“ถ้าเป็นฉัน จะลงมือยิงก่อนที่หลิวต้าจ้วงจะออกจากตรอกแพรแดง” ไป๋เฉินละสายตากลับมาก่อนจะพูดเสริม
พื้นที่ทางด้านซ้ายของหลังคานั้นสามารถมองเห็นได้ตลอดทั้งตรอกแพรแดง การซุ่มยิงศัตรูที่อยู่ในตรอกจะสะดวกกว่ามาก
“นี่หมายความว่าตอนที่หลิวต้าจ้วงยังอยู่ในตรอก มือปืนยังไม่ได้อยู่ตรงนี้สินะ เขารีบวิ่งมาเพื่อยิงปิดฉากเก็บงาน” เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่าแกล้งทำทีเป็นว่ากำลังปรึกษากับเขาอยู่
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหว เลยรีบไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“…ก็พอนับว่าเป็นเหตุผลได้อยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม “ไว้ทีหลังนายก็ลองตรวจสอบดูก็แล้วกัน ดูว่ามีร่องรอยการขับถ่ายบนหลังคาหรือที่ชั้นห้าบ้างหรือเปล่า”
แน่นอนว่าร่องรอยนี้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดสายตาของนักล่าซึ่งมีจำนวนมหาศาลไปได้
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
“หากว่าลองมองจากอีกมุมหนึ่งดูนะ มือปืนรู้ได้ยังไงว่าหลิวต้าจ้วงจะออกมาจากตรอกแพรแดง และถ้าเขารู้ก่อนอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องรีบวิ่งมาด้วยล่ะ”
หลังจากยกคำถามขึ้นมาแล้ว เธอก็ตอบออกมาเอง
“เป็นไปได้ไหมว่ามือปืนจะมีผู้ช่วย พวกเขารู้เพียงแค่ว่าหลิวต้าจ้วงอยู่แถวๆ นี้ แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้นจึงต้องแยกย้ายกันไปตามตรอกต่างๆ เพื่อค้นหาเป้าหมาย
“และเมื่อพบร่องรอยของหลิวต้าจ้วง ก็รีบแจ้งให้มือปืนรู้ทันทีโดยใช้วิทยุสื่อสารหรือไม่ก็อุปกรณ์อย่างอื่น จากนั้นมือปืนซึ่งอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบนหลังคาก็ค่อยรีบรุดมาที่จุดนี้”
ในตอนนี้ไป๋เฉินเดินสำรวจแนวชายคาที่หันหน้าไปทางถนน เธอเดินกลับไปกลับมารอบหนึ่ง
จากนั้นเธอก็เหมือนกำลังพูดกับหลงเยว่หง
“อีกฝั่งหนึ่งสามารถสอดส่องได้ทั่วทั้งตรอกเขาเหลือง แต่มองเห็นตรอกแพรแดงไม่สะดวก”
ตรอกเขาเหลืองกับตรอกแพรแดงนั้นอยู่ติดกัน
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็กระจ่างในทันที
“ตอนแรกมือปืนกำลังเฝ้ามองอยู่ทางตรอกเขาเหลือง ส่วนผู้ช่วยนั้นอยู่ที่ตรอกแพรแดง หลังจากที่ได้รับข้อมูลมาแล้ว เขาจึงรีบเปลี่ยนตำแหน่งซุ่มยิงทันที…”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปที่ด้านขวาสุดของหลังคา จากนั้นก็นั่งยองลงสำรวจอย่างละเอียด
“มีคนเหยียบ แล้วก็ย่ำไปย่ำมา ร่องรอยยังใหม่มาก” เขารายงานตามความเป็นจริง
นักล่าซากอารยะหลายคนมองมาทางนี้ บางคนยังงุนงง บางคนเริ่มครุ่นคิด
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ลงไปกันเถอะ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขาตามหัวหน้าทีมลงไปข้างล่างแล้วกลับไปยังถนนใต้
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“พวกเราไปตรอกแพรแดงกันเถอะ ดูว่ามีเบาะแสที่ผู้ช่วยของมือปืนทิ้งไว้บ้างไหม”
ตรอกแพรแดงนั้นมีความกว้างเพียงสองเมตร ชั้นล่างมีร้านรวงมากมาย จำพวก ‘ร้านรับซ่อม’ กับ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’
ในเวลานี้มีพวกนักล่าหลายคนกำลังถือภาพถ่ายของหลิวต้าจ้วงเดินสอบถามร้านค้าต่างๆ ว่ามีใครเห็นบ้างหรือเปล่าว่าเขาคุยกับใครก่อนจะถูกยิงเสียชีวิต
คำตอบที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเห็นก็คืออาการส่ายหน้าสั่นศีรษะ
“จะหากันยังไงดี” หลงเยว่หงซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตรเปิดปากถามไป๋เฉินออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยขณะที่ยิ้มให้กับซางเจี้ยนเย่า
“แหงล่ะ ก็ต้องถามด้วยรูปถ่ายอยู่แล้วนะสิ”
รูปภาพที่เธอนำออกมานั้นไม่ใช่ภาพถ่ายของหลิวต้าจ้วงหรือเหลยอวิ๋นซงซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นมือปืน ทว่าเป็นภาพของบุคคลอื่น
นั่นคือภาพถ่ายของสมาชิกอีกคนหนึ่งของทีมสำรวจเก่า หลินเฟยเฟย