รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 139 คลาดกัน

เมื่อมองเห็นใบปลิวในมือซางเจี้ยนเย่า ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ

ระหว่างที่กำลังรอให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเข้าประจำตำแหน่งอยู่นั้น เธอได้คาดการณ์ไว้หลากหลายรูปแบบว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง ทว่ากลับไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาเห็นสิ่งที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเช่นนี้

“การหายตัวไปของเหลยอวิ๋นซงและทีมนี่มันเกี่ยวข้องกับพวกคนเสียสติที่คอยพร่ำสอนว่าความรู้คือยาพิษอย่างนั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ คนทั้งสองกลุ่มยังไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่เลยแม้แต่น้อย!

“เป็นเพราะพวกเขาเลิกคิดกันแล้วหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าถามแทนการตอบ ราวกับเป็นโจทย์สมการทางคณิตศาสตร์ที่มีคำตอบออกมาแต่ไม่มีวิธีทำแสดงให้เห็น

“…จากเท่าที่เห็น ก็เป็นไปได้นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อย

จากนั้นเธอก็เสริมขึ้นอีก

“แต่นี่ก็เป็นการเดาแค่นั้น เรายังไม่อาจยืนยันได้ว่าใบปลิวนี้ถูกหลินเฟยเฟยกับพวกทิ้งเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าเจตนาทิ้งไว้เพื่อเบี่ยงเบนการสืบสวนให้ไขว้เขวกันแน่”

“ขอเพียงแค่จับสมาชิกขององค์กรนั้นมาได้สักคน คำถามก็จะมีคำตอบ” ซางเจี้ยนเย่าเสนอแผนการอย่างจริงจัง

“หลังจากนั้นนายก็จะเข้าไปร่วมงานเลี้ยงกับคนพวกนั้น ไปดื่มไปกิน แล้วก็ค้นหาความจริงอย่างนั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนช่วยอธิบายแผนที่เหลือของซางเจี้ยนเย่า

เป็นแผนที่ฟังแล้วดูไร้สาระมาก เหมือนกับเด็กเล่นขายของ แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ด้วยพลังพิเศษของซางเจี้ยนเย่า

“จากสติปัญญาของพวกเขา ผมสามารถเป็นคนแจกอาหารได้” ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองใบปลิวพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปาก

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะพร้อมกับเตือนเขา

“อ่านหนังสือไม่ออก ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะโง่สักหน่อย”

“คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ได้ แสดงว่าหลอกได้ไม่ยาก” ซางเจี้ยนเย่าค่อนข้างมั่นใจ

“นั่นก็จริง คนที่สามารถเข้าร่วมองค์กรนี้ได้ก็ต้องผ่านการคัดกรองแล้วและถูกหลอกได้ง่าย อืม… และน่าจะต้องหวาดกลัวง่าย จูงจมูกได้ง่ายด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อยและยิ้มออกมา

“นายไม่กลัวว่าคนจัดงานของพวกเขาจะโกงเรื่องอาหารเหรอ เพราะคนพวกนี้น่าจะโกงง่ายอยู่นะ”

“ทำเกินไปแล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าพลันรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพูดต่อ

“ไม่ว่ายังไงก็ต้องระวังไว้ให้มาก

“เหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย ดูยังไงก็ไม่ใช่คนโง่แน่ๆ ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนั้นเลย แต่ทำไมถึงไปอยู่กับคนพวกนี้ได้ล่ะ

“ฉันเป็นห่วงว่าถ้านายไปเข้าร่วมกับคนพวกนี้จริงๆ ระดับสติปัญญาอาจจะถูกดึงลงไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกนั้นก็ได้

“นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ ทั้งแปลกทั้งน่ากลัว”

“พิษต้องแก้ด้วยพิษ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างเคร่งขรึม

เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

จากนั้นเธอก็เดินไปเปิดหน้าต่างแล้วโบกมือให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงด้านล่าง เพื่อส่งสัญญาณบอกว่าไม่ต้องคอยเฝ้าแล้ว

แล้วเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็ค้นหาทั่วห้องพักอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรอีก

ต่อมาเธอก็ใช้เครื่องมือเพื่อเปิดประตูห้องฝั่งตรงข้าม

ห้องนี้ก็น่าสงสัยว่าอาจเป็นห้องพักของหลินเฟยเฟยด้วยเช่นกัน

เมื่อเปิดเข้ามาก็เห็นว่าห้องนี้รกมาก ข้าวของสารพัดชนิดวางเกลื่อนระเกะระกะ ส่งกลิ่นเหม็นอับจางๆ

สิ่งที่ดูขัดแย้งกันก็คือมีเพียงโต๊ะเดียวที่สะอาดที่สุด บนนั้นมีหนังสือ กระดาษ และปากกาหมึกซึมที่ใช้เทปใสพันกลางด้ามหลายรอบวางอยู่

ในขณะที่ตรวจดูนั้น ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าหนังสือส่วนใหญ่ถูกประทับตราโดยห้องสมุดสาธารณะเมืองหญ้าไพร มีหนังสือสองสามเล่มที่ไม่ได้ประทับตรา ซึ่งให้ความรู้สึกอับชื้น สกปรก และเก่าคร่ำคร่า ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ใด

เพียงไม่นานก็พอจะประเมินได้ว่าคนที่พักอยู่ในห้องนี้มีลักษณะเช่นไร

เป็นครอบครัวเรียบง่ายซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่ลูก ผู้เป็นพ่อน่าจะเป็นกรรมกรใช้แรงงาน ส่วนแม่นั้นเย็บเสื้อผ้าอยู่บ้าน และลูกอายุราว 11-12 ปี เรียนหนังสือด้วยตัวเอง

“คนแบบนี้คงไม่น่าจะไปหลงเชื่อพวกเสียสติพวกนั้นหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนสรุปออกมา

พูดอีกอย่างก็คือที่นี่ไม่ใช่ห้องซึ่งเป็นเป้าหมาย

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ แล้วจู่ๆ ก็เดินไปที่โต๊ะพร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมา

“จะทำอะไรของนายล่ะนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะเดาความคิดของซางเจี้ยนเย่า

“ตรวจการบ้าน” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา

“…ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าเราพลาดเบาะแสต่อจากนี้ การสืบสวนอาจจะถึงทางตัน” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใช้อำนาจของหัวหน้าทีมเพื่อหยุดซางเจี้ยนเย่า แต่ใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เขารีบก้มลงไปและรีบเขียนอะไรบางอย่างสองสามคำลงไปบนกระดาษ

เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเขาก็วางปากกาลงแล้วหมุนกายกลับมา

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูที่โต๊ะและเห็นตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างเป็นระเบียบ

“ตั้งใจเรียนนะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา

หลังจากออกจากห้องไปและล็อกประตูคืนแล้ว เธอก็พูด ‘กระซิบ’

“ทำแบบนี้พวกเขาก็กลัวกันนะสิ”

“ความกลัวก็เป็นแรงจูงใจเช่นกัน” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างสงบนิ่ง

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองคนผู้นี้จากหางตาแล้วเดาะลิ้น “ไม่เห็นต้องคิดซับซ้อนอะไรขนาดนี้ก็ได้”

ระหว่างที่คุยกัน คนทั้งสองก็ออกจากอาคารมาถึงทางเข้าลานที่ตรอกเขาเหลือง

ที่นี่ก็มีป้อมยามเช่นกัน

ข้างในป้อมยามนั้นมีชายสูงอายุสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มนั่งอยู่

ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ผิวเหี่ยวแห้งราวกับเปลือกส้ม ทว่าไม่มีผมหงอกแม้แต่น้อย

นี่จึงทำให้ไม่อาจตัดสินอายุเขาจากลักษณะได้

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่ง ซางเจี้ยนเย่าก็เดินเข้าไปแล้วตะโกนทักทายอย่างยิ้มแย้ม

“คุณลุง”

ยามสูงวัยรีบหยิบหมวกผ้าฝ้ายสีเขียวขี้ม้าขึ้นมาสวมทันที

“ไม่ต้องมาตีสนิทเลย มีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าเป็นคำถามก็ต้องจ่ายมาก่อน”

ซางเจี้ยนเย่าพูดซ้ำคำเดิมอย่างใจเย็น “ลุงเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชาย”

คิ้วของชายชราขมวดขึ้นทันที แล้วรีบชี้ไปที่ตำแหน่งเยื้องจากเขา

“อ๋อ ที่ตึกนั้นน่ะ มีอยู่กันเยอะเลยแหละ”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แก้ ‘การอนุมานอย่างเข้าใจผิด’ ของอีกฝ่าย รีบหยิบภาพถ่ายของหลินเฟยเฟยออกมาทันที

“ลุงเคยเห็นคนนี้ไหม”

“เคยสิ” เสียงชายชราดังขึ้นเล็กน้อย “แต่เลิกคิดได้เลย เธอไม่ได้ขายบริการ”

จากนั้นก็ลดเสียงพูดกระซิบกระซาบ

“ฉันสงสัยว่าเธอน่าจะเป็นเมียเก็บของพวกขุนนางที่อยู่ถนนเหนือน่ะ เห็นทุกๆ สองสามวันจะมีผู้ชายแวะมาหาตลอด”

“ลุงรู้ได้ไง” ซางเจี้ยนเย่าสงสัย

ชายสูงวัยหัวเราะร่า

“ก็ฉันอยู่ตึกเดียวกับเธอ แถมยังอยู่ชั้นเดียวกันด้วย จะไม่รู้ได้ไง”

“แล้วลุงรู้จักตาเฒ่าเจิ้งหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเรื่องถาม

ชายชราชะงักไป

“ฉันนี่แหละ ตาเฒ่าเจิ้ง”

“อ๋อ งั้นไม่มีอะไรครับ” ซางเจี้ยนเย่ากลับมาที่เรื่องเดิม “เธออยู่ในห้องที่หันหน้าไปทางตรอกเขาเหลืองใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” ตาเฒ่าเจิ้งตอบอย่างมั่นใจ

ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ

“แล้วผู้ชายที่มาหาเธอบ่อยๆ นี่ หน้าตาเป็นยังไงเหรอ”

“ก็บอกไม่ถูกหรอก รู้แค่ว่าเขาสวมหมวกแล้วก็ยกปกเสื้อตั้งขึ้นทุกครั้งที่มา แถมยังสวมหน้ากากมาด้วยนะ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนในสังคมระดับสูง เลยไม่อยากให้ใครรู้ใครเห็น” เฒ่าเจิ้งย้อนนึกทบทวน “เขาค่อนข้างสูง อ้อ… เตี้ยกว่าคุณซักสองสามเซนติเมตรน่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ

“แล้ววันนี้ลุงเห็นผู้หญิงในรูปหรือเปล่า”

“เห็นสิ น่าจะสักแปดโมงเช้า” ตาเฒ่าเจิ้งหัวเราะ “เธอสวมหน้ากากด้วย แล้วก็หมวกแก๊ปกดเสียต่ำเลย ถ้าเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยก็คงจำไม่ได้หรอก แต่ว่าเธอเข้าออกที่นี่ทุกวัน ฉันก็เลยจำโครงร่างได้”

เห็นได้ชัดว่าชายสูงวัยผู้นี้ค่อนข้างให้ความสนใจหลินเฟยเฟยเป็นพิเศษ

“เธอออกไปไหนเหรอครับ” ซางเจี้ยนเย่าถาม

ตาเฒ่าเจิ้งส่ายหน้า

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง

“เห็นเธอเดินไปทางถนนใต้พร้อมกระเป๋าใบใหญ่

“กระเป๋าเดินทางสีดำ…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มั่นใจมากว่าหลินเฟยเฟยย้ายออกไปแล้ว

ไม่ว่าหลิวต้าจ้วงจะตายหรือไม่ เธอก็จะย้ายออกอยู่ดี

หลังจากถามไถ่รายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ซางเจี้ยนเย่าก็หยิบถุงบิสกิตอัดแข็งออกมาส่งให้เฒ่าเจิ้ง

“เจ้าหนุ่ม รู้ความเหมือนกันนี่!” คิ้วของเฒ่าเจิ้งคลายออกพลางออกปากชมเชย

หลังจากออกจากลานมาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน หลงเยว่หง ก็ได้มารวมตัวกันที่มุมอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในตรอกเขาเหลือง

เมื่อได้ยินหัวหน้าทีมเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้ว หลงเยว่หงก็พูดอย่างแปลกใจ

“ตกลงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรที่แจกใบปลิวไปทั่วนั่นด้วยเหรอ”

ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็รู้สึกว่าองค์กรแบบนี้ไม่น่าจะมีอยู่จริง รู้สึกเป็นเรื่องชวนหัวเสียมากกว่า

“ก็ยังยืนยันไม่ได้หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด “แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องติดต่อเฉินซวี่เฟิง บอกให้ส่งโทรเลขกลับไปที่บริษัทเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรจำพวกนี้ ไม่แน่ว่าต่อไปเราอาจจะต้องเผชิญกับคนเสียสติพวกนี้ก็ได้ เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ดีกว่า

“อ้อ… เดี๋ยวพวกนายเดินไปแถวๆ นี้ ถามว่ามีใครเห็นผู้หญิงที่มีกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่บ้างไหม แต่ไม่ต้องรีบร้อนนะ มุ่งความสนใจไปที่พวกนักล่า ดูว่าพวกเขาได้เบาะแสอะไรมาบ้างไหม ส่วนฉันกับซางเจี้ยนเย่าจะไปหาเฉินซวี่เฟิงก่อน”

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ไป๋เฉินและหลงเยว่หงตอบ

เนื่องจากข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม พวกเขาจึงไม่ได้ตอบรับเสียงดังมาก

ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะแนะนำเพิ่มอีกสองสามประโยค หลงเยว่หงก็ถามขึ้นมาเสียก่อนด้วยความสงสัย

“ในเมื่อหลินเฟยเฟยรู้จักปลอมตัวเมื่อตอนที่ออกมาจากลาน แล้วทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเห็นหน้าในระหว่างที่กำลัง ‘รอ’ หลิวต้าจ้วงล่ะ”

นี่มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่

เมื่อถามออกไปก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามองมาที่เขา ทำให้หลงเยว่หงขาดความมั่นใจไปบ้าง รู้สึกเหมือนตัวเองถามคำถามโง่ๆ ออกไปอีกแล้วหรือเปล่า

เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปสองวินาทีเต็มก่อนจะยิ้มออกมา

“ดีมาก ที่นายสังเกตเห็นเรื่องนี้

“ครั้งหน้าก็ลองคิดให้ลึกมากขึ้น ลองสมมติว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้วจะตัดสินใจยังไง”

หลังจากที่ชมเสร็จ เธอก็อธิบายต่อ

“ถ้านายเป็นนักล่าทั่วๆ ไป ตอนที่ไปถามร้านค้าแถวๆ ตรอกแพรแดงว่าเคยเห็นหลิวต้าจ้วงหรือเปล่า นายจะถามว่าอะไร”

หลงเยว่หงขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาอย่างระมัดระวัง

“ผมคงจะถามว่า… เห็นคนน่าสงสัยผ่านมาแถวนี้บ้างไหม”

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“แล้วนายคิดว่าระหว่างสาวสวยที่กำลังยืนรอใครสักคนอยู่ริมถนน กับคนที่ใส่หมวกแก๊ปบังหน้าเพื่อไม่ให้ใครจำได้ ใครจะน่าสงสัยกว่ากันล่ะ”

หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นทันที

“ซึ่งในสถานการณ์นี้ การปลอมตัวมากเกินไปกลับยิ่งทำให้คนจดจำลักษณะได้ง่ายขึ้นสินะ”

“ถูกต้อง และยิ่งกว่านั้นนะ ในช่วงนี้นอกจากพวกเราแล้วจะมีใครมาถามหาว่าเคยเห็นผู้หญิงอย่างหลินเฟยเฟยบ้างล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัย

“แต่หลังจากนี้ก็ไม่แน่”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset