กลิ่นอายของชายหัวล้านนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ละย่างก้าวของเขาที่เข้ามาใกล้ก็ราวกับก้อนหินใหญ่ที่กดทับหัวใจไป๋เฉินมากขึ้นทุกขณะ ทำให้เธอหวนนึกถึงฝันร้ายที่พยายามจะลืมเลือนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ร่างกายเธอสั่นเทาราวกับได้เผชิญสัตว์นักล่าแห่งพงไพร
แต่ในขณะนั้นก็พลันมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าเธอ ร่างนั้นสวมเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายสีดำ ตั้งท่าโค้งหลังเล็กน้อย
ร่างนี้ยืนบดบังร่างของชายหัวล้านจากครรลองสายตา ขจัดต้นกำเนิดแห่งความหวาดกลัวในใจเธอออกไป
หลงเยว่หงจ้องประสานสายตากับชายศีรษะล้าน หัวใจเขาเต้นระรัวราวกับกลอง
เขาพยายามสะกดจิตตัวเอง หลอกว่าตนเองนั้นคือซางเจี้ยนเย่าที่กำลังเล่นเกมแข่งจ้องตา ใครหลบตาก่อนคนนั้นแพ้
ชายหัวล้านหัวเราะ “ฮ่า” ออกมาคำหนึ่งและจ้องมองหลงเยว่หง
จากนั้นก็หัวเราะลั่น
“ทำไม อยากเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามอย่างนั้นเหรอ”
ขณะที่พูดเขาก็ยังคงสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งสร้างความกดดันมากขึ้นทุกขณะ
ผู้คุ้มกันทั้งสองของเขาเองก็อ้อมโซฟาสีแดงแก่และตามหลังเขามาติดๆ
หลงเยว่หงกลัวจนใจเต้นระรัวไม่หยุด ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น และรู้สึกอยากจะชักปืนออกมา
ขอเพียงแค่ฆ่าคนทั้งสามข้างหน้านี้ให้หมด ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย!
และในตอนนี้เองก็พลันมีเสียงผู้สูงวัยดังขึ้นมาจากด้านในของห้องโถง
“ยูจีน อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่”
ชายศีรษะล้านยูจีนค่อยๆ เอี้ยวตัวกลับไปมองคนที่พูดออกมา
เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายวัยห้าสิบปีสวมเสื้อขนเป็ดสีดำตัวหนาพองฟูราวกับว่าไม่อาจทนต่อความหนาวเย็นเปียกชื้นอย่างรุนแรงในฤดูหนาวได้
ใบหน้าเขาซูบผอม จอนผมมีสีขาวเล็กน้อย ข้อมือซ้ายมีนาฬิกาข้อมือเรือนสีทองสวมอยู่ ข้อมือขวาสวมประคำข้อมือแวววาว
ยูจีนหัวเราะ
“ไม่ได้เรียกว่าสร้างปัญหาสักหน่อย
“ฉันแค่พยายามเอาทรัพย์สินที่หายไปกลับมาเท่านั้นเอง”
ผู้สูงวัยอายุครึ่งร้อยพูดย้ำอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ว่าแกจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ไปจัดการที่ข้างนอกซะ อย่ามาวุ่นวายในที่ของฉัน”
ยูจีนจ้องมองเข้าไปในดวงตาของผู้สูงวัย แววตาแสดงความเกรี้ยวกราดดุร้าย
ชายสูงวัยไม่ได้หลบสายตา ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้
“ฮ่า ฮ่า ก็ได้ ก็ได้ นี่เห็นแก่หน้าลุงซุนหรอกนะ” สุดท้ายยูจีนก็ละสายตากลับมา
แล้วเขาก็มองมายังหลงเยว่หงกับไป๋เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลัง พูดกลั้วหัวเราะ
“หวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันตอนอยู่ข้างนอกนะ”
หลงเยว่หงอยากจะโต้ตอบกลับไปด้วยคำพูดข่มขวัญสักสองประโยค ทว่าด้วยความด้อยประสบการณ์จึงไม่อาจนึกเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ในเวลาจำกัด ทำได้เพียงแค่มองดูยูจีนหมุนตัวเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟาสีแดงแก่เท่านั้น
ในขณะนั้นเอง ไป๋เฉินก็สะกิดที่หลังของหลงเยว่หงและพูดออกมาเบาๆ
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก จากนั้นก็เบี่ยงตัวหลบเพื่อเปิดทางให้ไป๋เฉินเดินเข้าไปหาชายสูงวัยที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยว
“ลุงซุน” ไป๋เฉินทักทายออกมาคำหนึ่ง
ลุงซุนหรี่ตาลงเล็กน้อยมองดูไป๋เฉินอยู่สองสามวินาทีก่อนจะยิ้มเชิงขอโทษ
“ที่ของฉันแห่งนี้มีคนเข้าๆ ออกๆ มากไปหน่อย ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าเธอเป็นใคร”
คนที่เข้ามาในตลาดมืดแห่งนี้ต่างก็เรียกเขาด้วยความเคารพว่าลุงซุนกันทุกคน
“ไม่เป็นไรค่ะ” ไป๋เฉินกวาดสายตาเหลือบมองแถวขบวนคนคุ้มกันที่อยู่ด้านหลังลุงซุนอย่างไม่ใส่ใจ
จากนั้นเธอก็หยิบเอาภาพถ่ายของหลินเฟยเฟย เหลยอวิ๋นซง และคนอื่นๆ ออกมา แล้วก้มตัวลงไปพูด
“ฉันรับภารกิจมาจากสมาคมนักล่าค่ะ อยากจะถามหน่อยว่าพวกเขามีใครเคยมาที่บาร์นี้บ้างไหม”
ลุงซุนรับภาพถ่ายมาพลิกดูก่อนจะส่ายหน้าแล้วตอบอย่างยิ้มแย้ม
“มีนักล่าที่คุ้นเคยกับฉันหลายคนมาถามหาอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ทั้งที่บาร์ ร้านน้ำชา และไนต์คลับของฉัน ไม่มีพวกคนที่ว่านี้มาเลยสักคน
“คำตอบนี้ไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะมันไม่มีมูลค่า”
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋เฉินตอบอย่างสุภาพ
ลุงซุนถามอย่างยิ้มแย้ม
“สนใจอยากได้ของดีไหมล่ะ
“ช่วงนี้เพิ่งมีของเข้า มีรถจี๊ปรุ่นใหม่ที่เพิ่งผลิตจาก ‘ปฐมนคร’ ลุยทางวิบากและกันกระสุนได้ดีกว่าเดิม หรือจะเป็นอาวุธหนักสารพัดชนิด รวมทั้งบาซูก้าด้วย กัญชาจาก ‘เกาะวิญญาณ’ ก็มีนะ แล้วก็สิ่งละอันพันละน้อยที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกเพียบเลยล่ะ…”
ในฐานะที่เป็นคนเร่ร่อนซึ่งเคยมาตลาดใต้ดินเมืองหญ้าไพรหลายครั้งหลายครา ไป๋เฉินย่อมเคยได้ยินชื่อ ‘เกาะวิญญาณ’ มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเท่าไรนัก รู้เพียงแค่ว่าบางทีก็ถูกเรียกว่าเกาะสวรรค์ ตั้งอยู่รอบนอกของหมู่เกาะทองคำ เป็นนิคมขนาดกลาง ไม่ใหญ่นักแต่ก็ไม่เล็ก บนเกาะไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมแม้แต่แห่งเดียว แต่เหมาะสำหรับปลูกกัญชา ดอกป๊อปปี้ และพืชอื่นๆ มีผู้คนบนแดนธุลีอยู่ไม่น้อยที่ต้องพึ่งพาของพวกนี้ พวกเขาใช้มันเพื่อลดความกดดันของจิตใจ เพื่อเผชิญกับชีวิตอันมืดหม่นทนทุกข์ โดยเฉพาะคนที่ต้องพุ่งรบต่อสู้อยู่เป็นประจำ
“มีอาหารหรือเปล่า” ไป๋เฉินไม่ได้รีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเติมเสบียงให้ทีมด้วยเช่นกัน
“มีแป้งมาล็อตหนึ่ง แต่ถูกจองไว้แล้วล่ะ” ลุงซุนส่ายหน้า
ไป๋เฉินพูดขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาคนอื่นเพื่อถามคำถามเดิม
หลังจากไล่วนถามไถ่ไปหนึ่งรอบ เธอก็ยังคงไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับหลินเฟยเฟยและเหลยอวิ๋นซง จึงทำได้เพียงแค่พาหลงเยว่หงจากไป
ในระหว่างการสอบถาม หลงเยว่หงรับรู้ได้ว่าสายตาของยูจีนคอยจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกขนลุกเกรียวเสียวสันหลังวาบ
ครั้นพอออกจากไนต์คลับ ‘วันนี้’ แล้ว ไป๋เฉินก็กลับไปที่ถนนตะวันตกอย่างเงียบงัน
หลงเยว่หงซึ่งติดตามอยู่ด้านข้างรู้สึกคันปากอยากถามออกมา ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ปิดปากสนิท
ในบรรยากาศเงียบงันอย่างอธิบายไม่ถูกนั้น คนทั้งสองเดินอ้อมไปอยู่พักหนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ถูกสะกดรอย ก็กลับไปยัง ‘ร้านปืนอาฝู’ แล้วขึ้นชั้นสองไป
หลังจากที่เข้าไปในห้องที่ติดกับตรอก ขณะที่กำลังจะปิดประตู เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยถามออกมา
“เป็นไงบ้าง”
“ไม่มีใครเคยเห็นเลย” ไป๋เฉินตอบออกมาตามตรง “ฉันแอบสังเกตสีหน้าอยู่ แต่ไม่มีใครมีอาการผิดปกติ”
เธอรู้ดีว่าถ้ามีใครที่ ‘นำตัว’ หลินเฟยเฟยไป คนผู้นั้นย่อมไม่มีทางบอกว่าเคยเห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงประเมินจากปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายอย่างละเอียด
“ก็เป็นธรรมดาล่ะนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง “หวังว่าพวกนักล่าคนอื่นๆ จะสร้างความประหลาดใจให้เราได้บ้าง”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลงเยว่หงก็เหลือบมองไป๋เฉิน ครุ่นคิดอยู่ว่าจะบอกหัวหน้าทีมเรื่องยูจีนดีไหม
ขณะที่ยังสองจิตสองใจอยู่นั้นไป๋เฉินก็กระชับผ้าพันคอสีเทาที่พันรอบคอตนเอง นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ
“ฉันเจอศัตรูคนหนึ่งในตลาดมืด ทีหลังพวกคุณต้องระวังตัวกันไว้หน่อยนะ”
“ศัตรู…” เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้ว
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ให้ความสนใจขึ้นมาทันที
ไป๋เฉินเงียบไปอีกครั้ง สองสามวินาทีหลังจากนั้นก็แสดงรอยยิ้มที่ยากเข้าใจ
“เป็นศัตรูข้างเดียวน่ะ
“มีแค่ฉันที่มองว่าเขาเป็นศัตรู ส่วนในสายตาเขาน่ะ ฉันก็เป็นแค่เหยื่อเท่านั้นแหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะก่อนตัดสินใจยอมแพ้แล้วถามออกมาตรงๆ
“เขาชื่ออะไร มาจากกองกำลังไหน”
ไป๋เฉินถอนหายใจออกช้าๆ
“ชื่อยูจีน เป็นหัวหน้าทีมจับทาสของ ‘ปฐมนคร’”
พูดถึงตรงนี้ ไป๋เฉินก็เม้มปากก่อนจะเล่าต่อ
“ฉันเคยถูกเขาจับตัว…
“ต้องไปเป็นทาสอยู่ช่วงหนึ่ง…”
ถึงแม้ว่าจะเคยคาดเดามาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่งอยู่ดี
แล้วในตอนนี้ไป๋เฉินก็ยกมือขวาขึ้นมาคลายผ้าพันคอสีเทารอบคอออก
หลังจากผ้าพันคอหลุดออกมา ก็เผยลำคอของเธอออกมาให้เห็น
บางทีอาจเป็นเพราะแทบไม่ได้โดนแสงอาทิตย์เลย สีผิวรอบคอเธอจึงค่อนข้างขาวซีดกว่าบริเวณอื่น และมีรอยสักสีดำเหลือบเขียวอยู่ที่ด้านล่างลำคอทั้งสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นตัวหนังสือ อีกฝั่งเป็นตัวเลข
‘ทาสหญิง’ ‘105’
สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนฉายแววเห็นใจ แต่ก็รีบเก็บความรู้สึกนั้นไปทันที และแสร้งทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
“ไว้พอกลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ก็ค่อยสักลายอะไรมาทับไว้ก็แล้วกัน
“แต่ถ้าเธอไม่ไว้ใจให้คนอื่นสัก งั้นฉันจะไปเรียนแล้วมาช่วยสักให้”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็โพล่งถามขึ้นมาทันที
“ยูจีนหน้าตาเป็นยังไง”
ไป๋เฉินนั้นตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการให้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ คอยระวังยูจีนเอาไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันด้วย เธอจึงอธิบายออกมาอย่างไม่ลังเล
“เขาสูงร้อยเจ็ดสิบ โกนหัวล้าน มีรอยสักรูปหมาป่าที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ปฐมนคร’ บนหัว…
“ร่างกายมีการดัดแปลงด้านจักรกลบางอย่าง ว่ากันว่าแกนหลักของเขานั้นก็คือการปลูกถ่ายหัวใจเทียม ทำให้สามารถระเบิดพลังเหนือมนุษย์ออกมาได้ และก็มีวิธีบางอย่างที่ทรงพลังมาก ซึ่งเรื่องนี้เขาเก็บเป็นความลับสุดยอด แทบไม่มีใครรู้เลยว่ามันคืออะไร…
“เขากลัวความร้อนมาก ขนาดอากาศแบบนี้ก็ยังสวมแค่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้น นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการดัดแปลงทางด้านจักรกลก็ได้…”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเองในขณะที่กำลังครุ่นคิด
“หรือว่าเป็นเพราะไปหาชิ้นส่วนจักรกลมาจากโรงงานราคาถูก ก็เลยมีปัญหาเกี่ยวกับการระบายความร้อน…”
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ
“เขาพักที่ไหน ในทีมมีกี่คน”
อารมณ์ซับซ้อนของไป๋เฉินถูกเจือจางไปจนแทบไม่เหลือเมื่อเจอกับคำถามเป็นชุดของเขา เธอเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าด้วยความสงสัยก่อนจะตอบออกมา
“ฉันเพิ่งจะเจอเขาเมื่อสักพักนี่เอง
“แต่เขามีคนคุ้มกันคอยติดตามอยู่ตลอด”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เขานิ่งเงียบและอยู่ในภวังค์ เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วก็ยิ้มให้ไป๋เฉิน
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้เราแยกกันทำงาน เขาไม่น่าจะรู้ว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน แต่พักนี้เธอต้องระวังตัวให้มากเวลาออกไปไหนมาไหน
“อ้อ… ในเมื่อในตลาดมืดไม่มีใครเคยเห็นพวกเขา อย่างนั้นซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะไปหาตามบาร์กับไนต์คลับก็แล้วกัน ดูว่าจะเจอเบาะแสอื่นๆ บ้างหรือเปล่า จะได้เปิดโอกาสให้เขาออกไปเต้นตามใจอยากด้วย”
ไป๋เฉินผงกศีรษะแล้วพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความลังเลอยู่บ้าง
“ยูจีนอยู่ในเมืองนี้ เขามักจะจับ… จับตัวคนหนุ่มสาวหน้าตาดีไปขายให้กับพวกขุนนางใน ‘ปฐมนคร’ หรือไม่ก็พวกเจ้าของเหมือง…”
พูดไปพูดมา เธอก็หยุดชะงักไป
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตั้งใจฟังก็แตะไปที่เครื่องช่วยฟังโลหะที่หูตนเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกเราเป็นคนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เชียวนะ!”
ประโยคนี้ของเธอนั้นแฝงจิตสังหารอย่างเต็มเปี่ยม
พูดแล้วเธอก็ไม่รีรออะไรอีก รีบลากซางเจี้ยนเย่าออกจากห้องแล้วเดินลงบันไดไปยังลานทันที
หลังจากมองตามคนทั้งคู่ไปจนกระทั่งหายลับจากสายตา ไป๋เฉินก็ทรุดนั่งลงบนเตียงชั้นล่างราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว
เธอเอามือลูบเตียงเหมือนว่ากำลังคลำหาอะไรอยู่
แล้วในฉับพลันทันใดนั้น ผ้าพันคอสีเทาก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาเธอทันที
หลงเยว่หงเป็นคนหยิบขึ้นมาจากพื้นแล้วยื่นส่งให้เธอ
* * * * *
ที่ลานด้านหลัง ‘ร้านปืนอาฝู’ เจี่ยงไป๋เหมียนเดินตรงไปยังทางออกพลางเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วหัวเราะออกมา
“ถ้าฉันไม่พานายไป นายจะหาข้ออ้างว่ายังไง”
“ไปห้องน้ำ” ซางเจี้ยนเย่าพูดประหนึ่งว่าเตรียมคำตอบนี้เอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
“นายจะไปเข้าห้องน้ำทีเป็นชาติเลยหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งโมโหทั้งขบขัน
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ท้องผูกไง”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกปิดปากอย่างไม่รู้ตัว
สองวินาทีถัดมาถึงจะหันมามองด้านข้างพลางกระแอม
“อ้อ ใช่ ตอนท้ายสุดนั่นเสี่ยวไป๋พูดอะไรเหรอ ฉันได้ยินแค่นิดหน่อย แต่ไม่กล้าถามออกมา”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ล้อเธอ เขาเล่าให้ฟังอย่างจริงจัง
ดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนหรี่ลงเล็กน้อย
จนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าเล่าจนจบ เธอก็ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง มุมปากเธอยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
“การลงมือต่อจากนี้ไป นายอยากทำอะไรก็ทำได้เลย
“แต่ฉันมีเรื่องจะขออยู่สองข้อ”