แสงไฟถนนจากริมทางส่องเข้ามาในรถ แต่ถูกฟิล์มกรองแสงสีเข้มกรองจนทำให้แสงสลัวลงไปมาก
นี่ทำให้คนขับรถราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืด สร้างบรรยากาศน่ากลัวและเย็นยะเยือกอย่างอธิบายไม่ถูก
นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการต่อสู้ประชิดหรือยิงสู้กันอย่างสิ้นเชิง
แผ่นหลังของยูจีนขนลุกเกรียว ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวกว่าที่เคยเป็นมา
เขารีบเหยียดร่างขึ้น ระเบิดความแข็งแกร่งออกมาทันที เตรียมใช้จักรกลภายในร่างเพื่อโจมตีสวนกลับด้วยความเร็วเต็มพิกัด
แต่ทว่าในตอนนี้แขนของเขากลับไม่อาจยกขึ้นได้แม้แต่น้อย ราวกับว่านี่ไม่ใช่แขนของตนเองอีกต่อไป
การโจมตีสวนกลับที่เขาเตรียมลงมือพลันต้องชะงักตั้งแต่แรกโดยที่ยังไม่ทันจะเริ่มด้วยซ้ำ มันถูกขัดขวางโดยอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่เคยคิดฝันไม่เคยพบเจอมาก่อน
ตามติดด้วยปากกระบอกปืนสีดำปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเขา
หน้าผากของเขารับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบของกระบอกโลหะได้ในทันที
“เงียบหน่อยสิ” คนขับรถพูดด้วยน้ำเสียงปราศจากความผันผวนของอารมณ์แม้แต่น้อย
คนผู้นี้ย่อมเป็นซางเจี้ยนเย่า
หลังจากที่ได้เป็น ‘เพื่อน’ กับตาเฒ่าเกิ่งซึ่งเป็นคนขับรถของยูจีนแล้ว เขาก็เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายว่าจะแอบซ่อนตัวอยู่ด้านล่างที่นั่งคนขับ ครั้นพอยูจีนเข้ามาในรถ เขาก็ผุดขึ้นมานั่งประจำที่แล้วสตาร์ทรถทันที
การโจมตีจากระยะไกลของเจี่ยงไป๋เหมียนทำให้ตาเฒ่าเกิ่งคนขับรถเชื่อคำพูดของซางเจี้ยนเย่าอย่างสนิทใจว่านี่เป็นแผนลอบสังหารและมีคนทรยศหลายคนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้คุ้มกัน ดังนั้นในฐานะบริวารผู้ภักดี เขาจึงต้องฝากเจ้านายไว้ในมือของหัวหน้าผู้คุ้มกันลับที่สามารถไว้ใจได้มากที่สุดเท่านั้น และให้ช่วยพาเจ้านายหลบออกไปก่อน
เพื่อที่จะสกัดกั้นป้องกันคนทรยศ ตาเฒ่าเกิ่งก็ยังร่วมแสดงตามคำสั่งที่ให้เปิดปิดประตูรถ ทำทีว่าตนเองขึ้นรถไปแล้ว จากนั้นค่อยพุ่งม้วนตัวกลิ้งไปหลบอยู่ด้านหลังรถอีกคันที่อยู่ใกล้กัน
ในสภาพแวดล้อมที่มืดสลัวและวุ่นวายโกลาหล ไหนเลยจะสามารถแยกแยะใครต่อใครได้
เมื่อกดปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ลงบนหน้าผากของยูจีนแล้ว ซางเจี้ยนเย่าซึ่งใช้มือเพียงข้างเดียวควบคุมพวงมาลัยก็พูดออกมาอย่างใจเย็น
“หันหน้าไป หันหลังมา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของยูจีนก็หรี่ลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ขยับไปด้านข้างอย่างช้าๆ หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ
ในระหว่างนี้เขาก็ยังคงจับจ้องมองดูมือของอีกฝ่ายที่ถือปืนอยู่ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือนั่นนิ่งมาก ไม่มีสั่นไหวแม้แต่น้อย นิ้วที่วางอยู่บนไกปืนก็เห็นได้ชัดว่าหากพบอะไรผิดปกติก็พร้อมจะเหนี่ยวไกได้ตลอดเวลา
นี่ทำให้ยูจีนไม่อาจหาโอกาสจะขัดขืนดิ้นรนได้
ซางเจี้ยนเย่ายังคงอยู่ในท่านี้ไปอีกระยะหนึ่งถึงจะเหยียบเบรคหยุดรถ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ก็มีร่างหนึ่งพรวดพราดออกมาจากรั้วลานจอดรถแล้ววิ่งต่ออีกสองสามก้าวมาที่ด้านข้างรถออฟโรด จากนั้นก็เปิดประตูที่นั่งด้านหลังแล้วกระโดดเข้ามานั่ง
คนผู้นี้ก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนที่ไม่รู้ว่าไปสวมถุงมือสีดำมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอเหลือบมองยูจีนแล้วพูดอย่างแปลกใจ
“นี่นายยังไม่ได้ฆ่าเขาอีกเหรอเนี่ย”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ยูจีนก็ฉวยโอกาสระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ รีบไถลตัวลงไปพร้อมกับเบี่ยงศีรษะหลบปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่ที่หัวตนเอง
และในเวลาเดียวกันก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังออกมาจากภายในร่างเขา
ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รีบเอนตัวไปข้างหน้าทันทีเช่นกัน เธอเหยียดมือซ้ายออกไปกดไว้ที่แผ่นหลังของยูจีน
กระแสไฟฟ้าเส้นโค้งสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาแล้วกระโดดเข้าใส่ร่างของยูจีน ทำให้ภายในรถสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน
เสียงเครื่องยนต์ภายในร่างของยูจีนพลันเงียบหายไป แม้แต่หัวใจเทียมเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย มันเกิดความผิดปกติจนถึงระดับที่ไปกระตุ้นระบบการป้องกันความเครียดของตัวเอง
ดวงตาของชายหัวล้านค่อยๆ กลายเป็นเหลือกขาว บนร่างมีกลิ่นเหม็นไหม้และควันสีฟ้าลอยออกมา
ซางเจี้ยนเย่าเห็นเช่นนี้ก็เก็บปืนกลับไปแล้วเหยียบคันเร่งทำให้รถยนต์พุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง
ประกายไฟฟ้าค่อยๆ ดับลง ร่างของยูจีนทรุดฮวบกองอยู่กับเบาะที่นั่ง ร่างกายส่วนล่างมีปัสสาวะไหลเรี่ยราด
“คนที่ดัดแปลงร่างกายเป็นจักรกลจะค่อนข้างกลัวไฟฟ้า…” เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บมือซ้ายกลับมาแล้วสะบัดมือ
นี่เป็นเพราะว่ามันต้องเชื่อมต่อกับระบบประสาทของมนุษย์ กลายเป็นเส้นทางส่งไฟฟ้าไปทั่วร่าง
แล้วเธอก็หันมาตะคอกใส่ซางเจี้ยนเย่า
“พอเขาขึ้นรถแล้ว นายควรจะยิงซะตอนนั้นเลย แล้วค่อยขับฝ่าวงล้อมออกมา
“นายไม่กลัวว่าเขาจะต่อสู้ขัดขืนหรือไง
“ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ดัดแปลงทางจักรกลมานะ!”
รอจนเจี่ยงไป๋เหมียนหยุดพูดแล้ว ซางเจี้ยนเยาก็ตอบออกมาในขณะที่ขับรถไปด้วย
“จับเป็นน่ะ”
“…ทีหน้าทีหลังอย่าตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงขนาดนี้อีกนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกจนใจ
จากนั้นเธอก็หยิบลำโพงตัวเล็กสีดำที่มีก้นสีน้ำเงินซึ่งขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ของตน แล้ววางลงบนที่พักแขน
“จะว่าไป ไอ้เจ้าฟังก์ชันบันทึกเสียงแล้วเปิดเล่นซ้ำๆ นี่ก็มีประโยชน์จริงๆ ช่วยฉันประหยัดกระสุนไปได้เยอะเลยล่ะ”
พูดถึงตรงนี้เธอก็เน้นประโยคหนึ่งเป็นพิเศษ
“แต่ว่านะ ถ้าหากว่าไม่มีกระสุนจริงผสมอยู่ด้วย มีแค่เสียงปลอมๆ เจ้าพวกนั้นก็คงไม่ถูกปั่นหัวหรอก
“อืม ปฏิบัติการแบบนี้ยังไงก็ต้องมีคนช่วยแหละ”
เธอคิดไม่ถึงว่าซางเจี้ยนเย่าที่ออก ‘ปฏิบัติการมืด’ ยังจะอุตส่าห์พกเอาเจ้าลำโพงตัวเล็กนี่มาด้วย
นั่นก็เพราะลำโพงนี้ตัวค่อนข้างเล็กพกพาสะดวก แต่ถึงแม้จะเป็นลำโพงแบบที่คารานการค้า ‘ถิ่นกำเนิด’ ใช้อยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงจะแบกมาอยู่ดีนั่นแหละ
ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะพูดต่อ รถออฟโรดก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกใกล้จัตุรัสกลาง และหยุดลงในบริเวณที่ไม่มีกล้องวงจรปิด
“ช่วยปลุกเขาขึ้นมาทีสิ” ซางเจี้ยนเย่าปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วขอความช่วยเหลือ
“นี่นายคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยเหรอเนี่ย” เมื่อเห็นภาพนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมา
หนึ่งนักฆ่ามือสังหารกับหนึ่งผู้ร้ายลักพาตัว เมื่อทั้งสองบรรลุภารกิจ กลับออกจากสถานที่เกิดเหตุ ก็ยังคง ‘ปฏิบัติตามกฎหมาย’ อย่างเคร่งครัดโดยคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ด้วย!
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย… เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำในขณะที่เหยียดมือซ้ายออกไปเพื่อใช้กระแสไฟฟ้าช็อต ‘ปลุก’ ยูจีนให้ตื่น
ทันทีที่ยูจีนลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นดวงตาดำมืดคู่หนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว
“แกถูกฉันจับตัวมา
“ร่างกายของแกถูกฉันควบคุมไว้แล้ว
“ดังนั้น…”
จิตใจของยูจีนที่แต่เดิมนั้นมีความมึนงงอยู่บ้างก็ยิ่งค่อยๆ สับสนขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ก้มศีรษะพูดออกมาเสียงดัง
“นายท่าน”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าแล้วกดปีกหมวกให้ต่ำลงไปอีก จากนั้นก็หันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“ช่วยเอาเสื้อผ้าที่ท้ายรถมาให้เขาเปลี่ยนทีสิ”
เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าเกิ่งคนขับรถยืนยันมา
เป็นเพราะในบางครั้งพวกเขาทำงานลักพาตัว ดังนั้นท้ายรถของยูจีนจึงมีเสื้อผ้าอยู่สองสามชุดเพื่อเอาไว้ปลอมตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ตรวจสอบตั้งแต่แรกแล้วว่าเสื้อผ้าที่ยูจีนสวมอยู่ รวมถึงที่เก็บไว้ท้ายรถด้วย ไม่มีอุปกรณ์ติดตามตำแหน่ง เธอสุ่มหยิบออกมาสองสามชิ้นแล้วโยนไปที่เบาะที่นั่งข้างคนขับ
เพียงไม่นานนัก ยูจีนก็เปลี่ยนชุดอย่าง ‘เชื่อฟัง’ เขาสวมกางเกงขายาวสีดำเสื้อคลุมสีน้ำเงิน หมวกชาวประมงสีน้ำตาล และสวมแว่นกันแดดธรรมดา ทำให้เขาไม่ได้ดูเด่นสะดุดตาเหมือนก่อนหน้านี้
ผัวะ!
เจี่ยงไป๋เหมียนตบบ่าซางเจี้ยนเย่าด้านหลัง พูดอย่างโมโหปนขบขัน
“ทำไมนายถึงให้เขาสวมแว่นกันแดดด้วย
“นี่มันดึกดื่นค่อนคืนแล้วนะ! คิดว่าคนอื่นจำไม่ได้หรือไงว่าเห็นคนท่าทางน่าสงสัยน่ะ”
บ้าหรือเปล่า ใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนเนี่ยนะ!
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ก็ตาเขามันน่าเกลียดนี่นา”
“งั้นก็ให้เขาก้มหัวไว้ก็พอแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบบอกเขา
ในตอนที่ยูจีนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น เธอก็ได้เปิดถังน้ำมันรถแล้วใช้อุปกรณ์ช่วยสูบน้ำมันออกมาบางส่วนให้ไหลนองถนนแล้ว
หลังจากที่ยูจีนถอดแว่นกันแดดแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เก็บลำโพงตัวเล็กไป เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูรอบๆ เพื่อจำแนกทิศทางก่อนจะพูดขึ้นมา
“ไป!”
คนทั้งสามเดินออกจากมุมเงียบสงัดแห่งนี้ไปยังตรอกอื่นที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ท่าทางดูเหมือนเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่เพิ่งออกมาจากไนต์คลับหลังจากไปเต้นรำกันมา
เมื่อเดินมาใกล้กับปากตรอก เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบลูกระเบิดมือสีเขียวแก่ออกมา ดึงสลักนิรภัยออกแล้วใช้มือซ้ายโยนกลับหลังไปแบบส่งๆ
ลูกระเบิดร่วงไปตกในรถออฟโรดซึ่งเปิดประตูคาไว้อย่างแม่นยำ
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นอยู่ภายในรถ เปลวเพลิงที่แผ่ออกมานั้นลุกไหม้น้ำมันที่ไหลนองอยู่โดยรอบทำให้เกิดการระเบิดต่อเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
* * * * *
ตูม!
บรรดาคนคุ้มกันของยูจีนที่กำลังตามรอยรถมาต่างก็มองหน้ากัน ชักปืนออกมาถือพลางวิ่งตรงไปยังจุดที่เปลวเพลิงพวยพุ่งลุกโชน
หลังจากการยิงต่อสู้ก่อนหน้านี้จบลง พวกเขาก็พบว่าตาเฒ่าเกิ่งคนขับรถที่เข้าใจกันว่าจากไปพร้อมกับเจ้านายแล้ว ที่จริงยังคงซ่อนตัวอยู่หลังรถในลานจอด
บรรยากาศในตอนนั้นพลันกลายเป็นตึงเครียดอย่างมาก ทุกคนพากันตื่นตระหนก เดิมทีต้องการจะจับตัวตาเฒ่าเกิ่ง ‘คนทรยศ’ แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นกลับเริ่มเปิดฉากยิงขึ้นมาก่อนพร้อมกับตะโกนว่าคนทรยศ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ต้องยิงตอบโต้กลับไปจนเขาเสียชีวิต
ในตอนที่ตาเฒ่าเกิ่งตายนั้น สีหน้าเขาเจ็บปวดและเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมทุกคนถึงกลายเป็นคนทรยศกันไปหมด ไม่มีใครช่วยเขาแม้แต่คนเดียว
หลังจากที่วิ่งกันมาเป็นระยะทางไกล ในที่สุดพวกคนคุ้มกันก็มองเห็นรถออฟโรดสีดำที่มีไฟลุกท่วมคัน
จบสิ้นแล้ว… ความคิดเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของทุกคน
* * * * *
บนชั้นสองของ ‘ร้านปืนอาฝู’ ไป๋เฉินกลับเข้ามาในห้องของตนเองพร้อมกับหลงเยว่หงแล้ว เธอนอนอยู่บนเตียงชั้นบน ลืมตามองดูเพดาน
เดิมทีนั้นเธอคิดจะนอนหลับ แต่ทันทีที่หลับตาลง ภาพเหตุการณ์ที่ไม่อาจทนได้เหล่านั้นก็พลันปรากฏเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่จบสิ้น
ดวงตาที่ดุร้ายของยูจีน ร่างกายหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันเครื่องที่ทาบทับอยู่บนตัวเธอ การเฆี่ยนตีลงโทษที่ได้รับเมื่อเธอไม่เชื่อฟัง ความเจ็บปวดที่ถูกกระชากผมลากไปตลอดทาง ทั้งหมดนี้ล้วนจารึกอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ประสบการณ์อันเลวร้ายของช่วงเวลานั้นทำให้เธอเกิดปฏิกิริยาตอบสนองไปตามจิตใต้สำนึก ในชั่วขณะที่มองเห็นยูจีนจึงทำเธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและไม่อาจฝืนต้านทานความกลัวนั้นได้
แล้วทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูห้อง
“นั่นใคร” หลงเยว่หงถามขึ้นอย่างกังวล
“พวกเราเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบเสียงดัง
หลงเยว่หงถอนใจโล่งอกแล้วเดินไปที่ประตู ไป๋เฉินเองก็พลิกตัวลุกจากเตียง รอฟังว่าหัวหน้าทีมได้พบเบาะแสอะไรใหม่บ้าง
หลังจากปิดประตูลงแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็รีบเดินผ่านหลงเยว่หงไปหยุดยืนอยู่หน้าไป๋เฉิน
หมวกแก๊ปบนศีรษะเขานั้นไม่รู้ว่าถอดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อผ้าก็กลับมาสวมตามปกติโดยไม่ได้กลับด้านในด้านนอกอีก
ไป๋เฉินเห็นว่ามีคนอื่นยืนอยู่ข้างหัวหน้าทีม แต่มองเห็นหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก เห็นเพียงแค่ว่าเป็นชายในเสื้อคลุมสีน้ำเงินและสวมหมวกชาวประมง
“นี่คือ…” เธอถามด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มสดใสราวกับแสงอาทิตย์
“พาเพื่อนเธอมาหาน่ะ”
ไป๋เฉินพลันมึนงงไปชั่วขณะ
เธอรู้ดีว่าซางเจี้ยนเย่านั้นมักจะพูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่บ่อยครั้ง วิธีคิดของเขาค่อนข้างชวนให้งุนงงยากทำความเข้าใจได้ แต่โดยปกติแล้วเวลาแบบนี้หัวหน้าก็มักจะต้องพูดเสริมขึ้นมาอีกสองสามคำเพื่อไม่ให้คนอื่นเดาความหมายผิดจนเข้ารกเข้าพงไป ทว่าในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกลับไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ แม้เพียงครึ่งคำ
ครั้นพอซางเจี้ยนเย่าเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เธอจึงมองเห็นได้เต็มตาว่าคนที่เขาบอกว่า ‘เพื่อน’ นั้นคือใคร
ยูจีนร่างกำยำยืนอย่างขลาดเขลาอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาซึ่งแต่เดิมนั้นดุร้ายเกรี้ยวกราดก็กลับกลายเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและวิงวอน ราวกับเป็นทาสที่ถูก ‘สอน’ มานานกว่าหนึ่งปีโดยที่ยังไม่ตกตาย