ซางเจี้ยนเย่าเห็นพ้องด้วยทันที ตบฝ่ามือลงที่ต้นขาแล้วพูดขึ้น
“ผมเกือบจะเชื่อสนิทเลยว่าผู้ร้ายตัวจริงไม่ใช่พวกเรา”
แหม… นายทำอย่างกับว่าเพิ่งจะได้ยินข่าวว่าตัวเองโจมตียูจีน จับเขาไว้แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นทาส จากนั้นก็พาตัวกลับมางั้นแหละ… หลงเยว่หงอดค่อนแคะเขาอยู่ในใจไม่ได้
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะไปต่อปากต่อคำกับผู้ป่วยทางจิตเวชคนนี้หรอก ไม่อย่างนั้นซางเจี้ยนเย่าก็คงจะพูดซ้ำคำพูดเดิมๆ อีก ‘เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วก็ยังสูงแค่ 175’
ในช่วงที่ไม่มีอะไรจะเล่าต่ออีกแล้ว หลงเยว่หงก็ซักถามรายละเอียดของการโจมตียูจีน หวังว่าจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะใส่ใจซางเจี้ยนเย่า เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ตอนนี้สถานภาพของพวกเรานับว่าดีทีเดียว แบบนี้ก็ไม่มีใครมาสงสัยแล้วล่ะ
“เรื่องที่น่ากังวลก็คือสถานการณ์อาจบานปลาย บรรดากองกำลังต่างๆ จะถือโอกาสจับปลาตอนน้ำขุ่น ฉกฉวยผลประโยชน์ของตนเอง แบบนี้จะทำให้เมืองหญ้าไพรกลายเป็นระเบิดเวลาที่สามารถระเบิดได้ทุกขณะ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดกับไป๋เฉินโดยไม่ได้รู้สึกว่าเธอเป็นคนนอกแม้แต่น้อย
“เธอเอาเงิน 20 ออเรย์ที่เพิ่งให้ไปนั่นไปซื้ออาหารมานะ มีอาหารในมือก็จะได้พอวางใจได้บ้าง”
“ทราบแล้ว” ไป๋เฉินที่นั่งอยู่บนม้านั่งฝั่งตรงข้ามผงกศีรษะ
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็นำกระดาษที่ได้รับมาจากเฉินซวี่เฟิงออกมายื่นให้ไป๋เฉิน
“พวกเธอเอาไปอ่านดูก่อน”
หลงเยว่หงผุดยืนขึ้นทันทีแล้วลากม้านั่งไปวางข้างไป๋เฉินเพื่ออ่านเนื้อหาพร้อมกับเธอ
“การสะกดจิต ความทรงจำ… มิน่าล่ะ…” ท้ายที่สุดหลงเยว่หงก็อุทานออกมาเพราะเริ่มกระจ่าง
เขาเคยเรียนมาแล้วว่าการสะกดจิตคืออะไร
“ถ้ามองในแง่นี้ หลินเฟยเฟยกับคนอื่นๆ นั้นก็น่าจะถูกพวก ‘นิกายทอนปัญญา’ ควบคุมไว้จริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้เป็นเพราะถูกคนใส่ร้าย” ไป๋เฉินเริ่มเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นขึ้นมาเอง แตกต่างไปจากในสมัยก่อนที่มักไม่พูดถ้าไม่ถูกถาม
“เรื่องถูกใส่ร้ายก็ยังตัดออกไปไม่ได้เสียทีเดียว ถึงแม้ว่าความน่าจะเป็นนั้นต่ำมาก ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้นหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็น
จากนั้นเธอก็นำเสนอประเด็น
“เมื่อดูจากการกระทำของ ‘นิกายทอนปัญญา’ แล้ว พวกเขาชอบทำเรื่องใหญ่โตและค่อนข้างสุดโต่ง
“จากมุมมองนี้ ทำให้พวกเราคาดเดาไปในแนวทางที่ว่าพวกเขากำลังเริ่มเคลื่อนไหวในเมืองหญ้าไพร นอกจากจะเผยแพร่ความเชื่อแล้วก็ยังเตรียมก่อการใหญ่อีกด้วย
“ซึ่งเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ที่มาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แม้แต่น้อย พวกเขาไม่มีอะไรที่จะส่งผลกระทบกับพวกนิกายนั่นเลยสักอย่าง นอกเสียจากว่า…”
เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วหลงเยว่หงก็โพล่งออกมา
“นอกเสียจากว่าพวกเขาจะไปทำลายแผนการของ ‘นิกายทอนปัญญา’ โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“และยังเป็นไปได้ว่าตรงกลางระหว่างนั้นมีเมืองหญ้าไพรเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วพวกเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย ก็เข้ามาเกี่ยวพัน นี่มันทำให้เรื่องซับซ้อนเข้าไปอีก” ไป๋เฉินคาดเดา
ซางเจี้ยนเย่าไม่ยอมถูกทิ้งให้รั้งท้าย พูดแสดงความคิดเห็นตนเองออกมาด้วย
“ยังมีความเป็นไปได้อีกเรื่อง
“เมื่อตอนที่พวก ‘นิกายทอนปัญญา’ กำลังแจกใบปลิวอยู่ พวกเขาก็บังเอิญเดินชนกับพวกเหลยอวิ๋นซง กระทบกระทั่งกัน อับอายกลายเป็นโทสะ ไม่ยอมรามือ ดังนั้นพวกเขาก็เลยไปหาคนที่แข็งแกร่งในนิกายมาลงมือจัดการเพื่อรักษาหน้าตนเอง”
“โกรธง่ายขนาดนั้นเลยเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธอย่างละมุนละไม “ถึงแม้ว่านี่ฟังดูแล้วจะเข้ากับระดับความโง่ของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ก็เถอะ แต่ว่าเท่าที่ดูจากคำสอนของพวกเขาแล้ว พวกผู้ถูกเลือกนี่ค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียวแหละ พวกเขาไม่หาเรื่องใส่ตัวกันหรอก”
เธอมองดูทุกคนแล้วพูดขึ้น
“ในตอนนี้เราจะสืบสวนไปในทิศทางนี้ก่อนก็แล้วกันว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน กับทิศทางว่ามีเหตุแทรกซ้อนทำให้พวกเขาเข้าไปพัวพันด้วย”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงยืดอกเชิดหน้าตอบอย่างมีความสุข เพราะความคิดของตนได้รับการยืนยัน
เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาพูดต่อ
“นับจากนี้ไปพวกเราจะเริ่มลงมือกับ ‘นิกายทอนปัญญา’ กันล่ะ หวังว่าจะเจอตัวพวกนั้นได้โดยเร็วที่สุด
“ต่อจากนี้ไม่มีใครสามารถรับประกันความปลอดภัยได้ พวกนายต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี เราไม่รู้ว่าจะถูกสะกดจิตตอนไหน สูญเสียความทรงจำที่สำคัญไปเมื่อไหร่ หรือจู่ๆ ก็มีความทรงจำที่ไม่ควรมีปรากฏขึ้น”
หลงเยว่หงรีบขอคำแนะนำ
“หัวหน้า งั้นควรทำยังไงดี”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“ไม่ต้องตระหนกเกินไปหรอก นายดูสิ… ขนาดคนแข็งแกร่งอย่างยูจีนก็ยังถูกพวกเราจัดการในพริบตาเลย”
“หัวหน้า ตอนที่คุณพูดว่า ‘นายดูสิ’ ทำเอาผมสงสัยตัวเองเลยว่ากำลังอยู่ในอิทธิพลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ อยู่หรือเปล่า ทำให้มองเห็นว่าคุณเป็นซางเจี้ยนเย่า และซางเจี้ยนเย่าเป็นคุณ…” หลงเยว่หงพูดเสียงอ่อยออกมาประโยคหนึ่ง
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนแตะเครื่องช่วยฟังในหูตนเอง
จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“อ้าว นี่ฉันไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่าเหรอเนี่ย”
“เอาละ เอาละ ล้อเล่นหรอกน่า” เธอกลั้นหัวเราะแล้วพูดความคิดตนเองออกมา “พวกนายเตรียมกระดาษโน้ตชิ้นเล็กๆ เก็บไว้กับตัวก็ได้ คอยจดบันทึกความทรงจำสำคัญเอาไว้ในรูปแบบที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เข้าใจได้ แล้วเขียนกำกับไว้ด้านล่างว่า ‘เอาไว้อ้างอิง’ หลังจากนั้นก็คอยดูเป็นระยะแล้วตรวจสอบกับสภาพการณ์ของตัวเอง”
“ได้” ไป๋เฉินเห็นด้วยหลังจากครุ่นคิดตาม
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเธอแล้วก็พลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“อ้อ ใช่แล้ว โอดิคเป็นคนสอบปากคำเธอใช่ไหม เขาใช้วิธีไหน ใช่การแทรกแซงความฝันหรือเปล่า”
“อืม ใช่ ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ดีที่เจอดาวกระดาษของซางเจี้ยนเย่าอยู่ในกระเป๋าก็เลยรู้ตัว” ไป๋เฉินอธิบายอย่างรวบรัด
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็น
ไม่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องใด
เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วขณะก่อนจะพูดเสริมให้เขา
“จากสถานการณ์ทั้งหมดที่เคยเผชิญมา นี่เป็นการใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ในรูปแบบที่ซับซ้อนที่สุด
“มันทำให้จิตใต้สำนึกของเธอเชื่อว่ามีดาวกระดาษพับอยู่กับตัวแล้วสะท้อนออกมาในความฝัน
“ซึ่งในโลกแห่งความจริงนั้น สสารต่างๆ ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏขึ้นมาได้ เธอจึงสัมผัสมันไม่ได้”
“ที่ทำให้ฉันไม่เข้าใจอยู่บ้างก็คือในตอนที่ฉันสัมผัสมันไม่ได้ในโลกแห่งความจริง ไม่ใช่ว่าผลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ นั้นควรต้องสลายไปหรอกเหรอ” ไป๋เฉินสงสัยอยู่เล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมา
“เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายมาก นั่นเป็นเพราะว่าฉันสร้างผลกระทบเอาไว้สามชั้นน่ะ ไม่ใช่แค่สอง
“ยังจำตอนที่ฉันพูดหลังจากที่โน้มน้าวเธอว่ามีดาวกระดาษอยู่ในกระเป๋าได้ไหมล่ะ นั่นก็เป็นการชักจูงด้วยเหมือนกัน”
ไป๋เฉินย้อนนึกทบทวน
“ใช่ที่นายบอกว่า ‘มันเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญมาก ลึกลับมาก และเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติ ตอนนี้ยังจับต้องมันไม่ได้ และสัมผัสมันไม่โดนด้วย’ หรือเปล่า”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือให้ทันที จากนั้นก็อธิบายอย่างตื่นเต้น
“ผลกระทบชั้นแรกคือทำให้เธอคิดว่าหัวหน้ากับฉันเป็นคนแปลกหน้า และไม่สนใจความทรงจำที่เกี่ยวข้อง
“ผลกระทบชั้นสองคือทำให้เธอได้รับอิทธิพลจากฉันซึ่งเป็นคนแปลกหน้า และเชื่อว่ามีดาวกระดาษอยู่ในกระเป๋าตัวเอง
“ผลกระทบชั้นสามคือทำให้เธอได้ข้อสรุปว่าตอนนี้ยังไม่สามารถจับดาวได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ตอนที่เธอไม่เจอมันในโลกแห่งความจริงก็ยังคงเชื่อว่ามันจะปรากฏขึ้นมาในความฝันอยู่นั่นเอง”
“งั้นถ้าหลังจากนั้นฉันไม่เจอกับโอดิค ผลกระทบนี้ก็จะไม่สลายหายไปงั้นเหรอ” ไป๋เฉินถาม
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“หลังจากเธอหลับไปแล้ว ไม่ว่าเธอจะฝันถึงอะไร หรือจะไม่ฝันอะไรก็ตาม ผลนี้จะสลายไปเองตามธรรมชาติ”
เมื่อเห็นว่าไป๋เฉินโล่งใจแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเริ่มสรุปผล
“จากมุมมองนี้ ก็แสดงว่าพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของโอดิคมีสองอย่างก็คือการบังคับให้หลับและแทรกแซงความฝัน
“เอ่อ… ตอนที่ฝันอยู่ เธอรู้สึกยังไงบ้าง”
“ก่อนที่ฉันจะได้สัมผัสกับดาวกระดาษ ตอนนั้นรู้สึกมึนงงเลอะเลือนอยู่บ้าง แทบจะเหมือนกับฝันตามปกตินั่นแหละ รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง” ไป๋เฉินเล่าตามความเป็นจริง
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วพึมพำกับตัวเอง
“ฟังแล้วรู้สึกว่าต่างจากฝันร้ายที่กลายเป็นจริงของม้าฝันร้ายมากเลย”
“ตอนนั้นที่กำลังฝันอยู่ ผมมีสติสัปชัญญะชัดเจน และรู้สึกว่ากำลังอยู่ในโลกความจริง” ซางเจี้ยนเย่าช่วยเสริมให้อย่างกระตือรือร้น
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ
“เพราะว่ามันเหมือนจริงมาก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในความฝันจึงสะท้อนออกมาในความจริงด้วย
“อืม… พลังพิเศษของโอดิคที่ส่งอิทธิพลต่อความฝันกับม้าฝันร้ายน่าจะแตกต่างกัน อย่างหนึ่งนั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘ความฝันที่แท้จริง’ ส่วนอีกอย่างเพียงแค่เรียกได้ว่า ‘ควบคุมความฝัน’
“ดูแบบนี้อาจเหมือนว่าพลังความฝันของโอดิคนั้นอ่อนแอกว่าม้าฝันร้าย แต่เขาก็ยังมีพลังพิเศษที่ ‘ทำให้หลับ’ อยู่ด้วย จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
ถ้าหากเข้าไปอยู่ในระยะขอบเขตของพลังและใช้ร่วมกับปืนเมื่อไหร่ นี่มันเป็น BUG[1] ชัดๆ
เมื่อสนทนาเรื่องนี้กันจบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ย้อนกลับไปหัวข้อก่อนหน้า
“ตอนนี้คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะหาพวกคนของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ได้ยังไง”
“เอาไว้ให้ไฟฟ้าดับก่อนแล้วก็รอคนพวกนั้นออกมาก้มๆ เงยๆ แจกใบปลิวดีไหม เอ่อ… สถานการณ์เมืองหญ้าไพรตอนนี้น่าจะมีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตอนกลางคืนเดินตรวจอยู่ บางทีพวกนั้นคงไม่กล้าออกมา…” หลงเยว่หงเสนอความคิดออกมาแต่ก็รีบปัดทิ้งไป “ไปหาแถวๆ ห้องสมุดกันไหมล่ะ พวกนั้นไม่แน่ว่าจะอาศัยช่วงที่กำลังวุ่นวายแบบนี้ไปเผาห้องสมุดอีกก็ได้”
“หลังจากถูกเผาไปครั้งหนึ่ง ที่ห้องสมุดก็มีกองกำลังป้องกันเมืองถืออาวุธคอยคุ้มกันไว้แล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าๆ ออกๆ ห้องสมุดมาหลายครั้งแล้ว จึงรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าลำบากใจ
“ข้อมูลยังมีรายละเอียดไม่มากพอ
“นี่ถ้ารู้ว่าศีลมหาสนิทของ ‘นิกายทอนปัญญา’ คืออะไร เราก็ไปสืบหาจากร้านค้าและตลาดได้”
“…นี่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนต้องยอมรับว่าผู้ป่วยจิตเวชนั้นสามารถคิดไปในทิศทางที่คนปกติไม่มีทางคิดถึงเด็ดขาด “เรื่องนี้เราถามโอดิคหรือไม่ก็ส่งโทรเลขไปถามบริษัทก็ได้ อืม… พวกเราคงต้องไปหาเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายมาเป็นของตัวเองแล้วล่ะ จะเอาแต่คอยพึ่งเฉินซวี่เฟิงตลอดก็คงไม่ได้ ด้านหนึ่งก็คือจะทำให้เขามีโอกาสถูกเปิดโปง อีกด้านหนึ่งก็คือมันมีขั้นตอนมากเกินไป ถ้าหากเป็นช่วงเวลาคับขัน อาจจะทำให้เราตอบโต้วิกฤตไม่ทันการ”
เธอมองไปรอบๆ แล้วพูดต่อ
“นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีทิศทางอื่นอีก
“พวกนายลองคิดดูนะ ‘นิกายทอนปัญญา’ ต้องการทำลายความรู้ นอกจากห้องสมุดซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ถ่ายทอดความรู้แล้ว ยังมีกลุ่มไหนที่ตกเป็นเป้าหมายอีก”
“กลุ่มอาจารย์!” หลงเยว่หงซึ่งได้รับการศึกษาตามแบบแผนมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ในเมืองหญ้าไพรนั้น ถึงแม้ว่าอาจารย์ของโรงเรียนอย่างเป็นทางการจะอาศัยในย่านถนนเหนือซึ่งค่อนข้างปลอดภัยก็ตาม แต่อย่าเพิ่งลืมคนอื่นไป
“ในนิคมของคนเร่ร่อนแดนร้างหลายแห่งนั้นไม่มีโรงเรียนรัฐ อย่างเช่นเมืองน้ำล้อม แต่ก็มีผู้คนบางส่วนปรารถนาให้ลูกหลานตนสามารถอ่านออกเขียนได้ ดังนั้นเมื่อยามที่มีพอจะมีกำลังอยู่บ้าง ครอบครัวสิบกว่าบ้านก็จะรวมตัวลงขันเชิญให้อาจารย์สักหนึ่งคนสองคนมาสอนให้สองสามเดือน หลังจากนั้นก็ค่อยดูสถานการณ์อีกทีว่าจะเอายังไงกันต่อ
“อย่างที่พวกนายก็เห็นอยู่ว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองหญ้าไพรนั้นดีกว่านิคมคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนใหญ่มาก จำนวนประชากรก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีเด็กบางคนที่ไม่สามารถไปเรียนที่ถนนเหนือได้ และผู้สูงอายุในบ้านก็ไม่มีเวลาหรือไม่มีความรู้พอที่จะสอน เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะรวมตัวกันเชิญอาจารย์สองสามคนมาให้ความรู้ในช่วงสั้นๆ
“เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนเช่นนี้ ที่ใช้ทักษะพิเศษมาหาเลี้ยงชีพ”
ไป๋เฉินตอบทันที
“มีสิ
“นักล่าซากอารยะจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ ทำให้รับภารกิจของสมาคมนักล่าไม่สะดวก เลยต้องเสียเวลาไปกับการฟังแล้วซักถาม ถ้าคนพวกนี้พอจะเหลือเงินอยู่บ้างและมีเวลาว่างพอ พวกเขาก็จะรวมกลุ่มกันสิบกว่าคนบ้างยี่สิบคนบ้างเพื่อเชิญอาจารย์มาสอนคำทั่วไปที่ใช้บ่อย
“ในเมืองหญ้าไพรจะเรียกคนแบบนี้ว่า ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“อย่างงั้นพวกเราแยกกลุ่มกันไปเยี่ยมเยียน ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ดูว่าช่วงที่ผ่านนี้พวกเขาถูกข่มขู่คุกคามอะไรบ้างหรือเปล่า และการคุกคามนั่นมาจากที่ไหน”
* * * * *
[1] BUG หมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในโปรแกรมหรืออุปกรณ์ ส่งผลทำให้โปรแกรมหรืออุปกรณ์นั้นๆ ทำงานไม่ถูกต้อง เกิดข้อผิดพลาด