เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าสภาวะของอานหรูเซียงตอนนี้ไม่ได้กำลังพูดอยู่กับเธอหรือซางเจี้ยนเย่า แต่กำลังใช้โอกาสอันเนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้มาสะสางความรู้สึกอันยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในใจโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา ไม่ได้เห็นพ้อง ไม่ได้เห็นแย้ง
อานหรูเซียงจมอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมา
“ฉันไม่เคยเห็นแสงแบบนี้จากดวงตาของตัวเอง ฉันอยากเห็นแสงพวกนี้ให้มากกว่านี้อีก”
แล้วเธอก็ถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนหรือซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร
“พวกคุณหนีออกมาจากคนที่ใช้พลังทำเสน่ห์นั่นได้แล้วใช่ไหม”
“เขามีหนี้ที่ต้องจ่ายพวกเราเยอะเลยล่ะ” เมื่อพูดถึงเฉียวชู ทำให้ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“หลังจากตอนนั้นพวกเราบังเอิญไปเจอกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่คุณเคยเจอมาน่ะ ช่วงเหตุการณ์วุ่นวายเลยทำให้พวกเราหนีออกมานอกระยะการทำเสน่ห์ได้
“แต่ว่าถึงยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับคำเตือนในตอนนั้น ไม่งั้นเรื่องราวก็คงไม่ราบรื่นแบบนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว” อานหรูเซียงพูดสั้นๆ
อานหรูเซียงหันหน้าไปมองห้องเรียนเฉพาะกิจอีกครั้ง
“พวกคุณกำลังสืบสวนเรื่องอะไรอยู่ล่ะ คือฉันต้องไปเข้าสอนแล้วน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าเธอต้องการรวบรัดตัดความ จึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม
“พวกเรากำลังสืบสวนเกี่ยวกับองค์กรที่แจกใบปลิวเพื่อเผยแพร่แนวคิดที่ว่าความรู้คือยาพิษ
“ช่วงที่คุณเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ นี่ เคยถูกข่มขู่คุกคามบ้างไหม”
อานหรูเซียงตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ไม่กี่วันก่อนมีกระดาษสอดมาทางใต้ประตูห้อง มันเขียนเอาไว้ว่า ‘หยุดวางยาพิษมนุษย์ ไม่อย่างนั้นจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์’ พวกเขาเขียนคำว่า ‘สวรรค์-ลง-ทัณฑ์’ เป็น ‘สะหวัน-ลง-ทัน’ ฉันต้องอ่านจากข้อความก่อนหน้าถึงจะเข้าใจความหมาย
“แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นนะ ทั้งสัญชาตญาณและประสบการณ์ในเรื่องนี้ของฉันยังอยู่ครบถ้วนหมด”
“นี่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของพวกเขาจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงทีท่าว่าไม่ผิดตัวแน่นอน
ซางเจี้ยนเย่าเองก็เห็นด้วย
“ระดับสติปัญญาค่อนข้างต่ำ”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่
“ช่วงสองสามวันนี้คุณก็ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรผิดปกติก็มาหาเราได้ พวกเราพักอยู่ที่นี่ กู่ฉางเล่อเป็นเพื่อนเรา”
“ได้” ตอนนี้อานหรูเซียงมีเพียงตัวคนเดียว เมื่อเจอกับเหตุการณ์ไม่ปกติ เธอจึงไม่ปฏิเสธความร่วมมือ
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ คุณกลับไปสอนเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะพูดขาดคำก็พลันนึกรายละเอียดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดพึมพำกับตัวเอง “ตั้งแต่ที่พวกเราแยกจากกันที่ซากปรักบึงหมายเลข 1 นี่ยังผ่านมาไม่ถึงสองเดือนใช่ไหม”
“ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนดี” อานหรูเซียงตอบ
“งั้นคุณมาเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“ก็ราวๆ สามสัปดาห์” อานหรูเซียงตอบอย่างละเอียด
“พูดอีกนัยหนึ่งก็คือก่อนหน้านี้เคยมี ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ อยู่ใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนจำได้ว่าเด็กสาวที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้เล่าว่าเธอเรียนที่นี่มาเกือบสองเดือนแล้ว
“ใช่” อานหรูเซียงตอบอย่างสงบ “เป็นเพราะเขาลาออกกะทันหัน ฉันถึงได้รับภารกิจนี้มา”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงลาออก” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ไม่รู้หรอก ฉันไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใคร” แล้วอานหรูเซียงก็ชี้ไปยังห้องเรียนเฉพาะกิจ “ลองไปถามพวกเธอดูก็ได้”
“ตกลง” ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปยังห้องที่ใช้เป็นห้องเรียนเฉพาะกิจแล้ว
เขาเดินไปหน้ากู่ฉางเล่อ นั่งยองลงไปมองอีกฝ่าย
“ขอถามอะไรหน่อยสิ”
กู่ฉางเล่อได้ยินแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“อะไรเหรอ”
“ทำไม ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ คนก่อน จู่ๆ ก็ลาออกล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามเข้าประเด็นทันที
“เขาไม่ได้บอกน่ะ” กู่ฉางเล่อมองดูผู้หญิงที่อยู่รอบตัว “แต่ว่าเขาก็ยังดีนะ เขาคืนเงินค่าเรียนล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ของพวกเรากลับมาให้ด้วย”
“คุณรู้ไหมว่าเขาพักที่ไหน หน้าตาเป็นไง” เจี่ยงไป๋เหมียนที่เดินตามเขามา ถามต่อ
กู่ฉางเล่อตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมถึงถามคำถามพวกนี้
“ก็เป็นผู้ชายธรรมดาน่ะ ชื่อเจิงกว่างวั่ง บ้าผู้หญิงนิดหน่อย แต่เขาก็ตั้งใจสอนมากนะ”
“ส่วนที่ว่าเขาพักที่ไหน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แล้วในตอนนี้เด็กสาวที่พูดคุยกับซางเจี้ยนเย่าก่อนหน้านี้ก็พูดขึ้นมาด้วยความลังเล
“ฉันรู้”
“ที่ไหน” ซางเจี้ยนเย่าหันขวับมาถามอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเขากับเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นค่อนข้างดูดี จึงได้รับความเป็นมิตรจากคนอื่นๆ โดยปริยาย เด็กสาวเล่าอย่างไม่ค่อยเต็มปากนัก
“ฉันเคยเจอเขาที่ตรอกเขาเหลืองก่อนที่เขาจะลาออก
“เขา… เขาอยากจะนอนกับฉันสักครั้ง ตอนนั้นฉันเองก็เงินขาดมือ พอคิดว่าเป็นคนรู้จักกัน ไม่ต้องกลัวถูกจี้ปล้น ก็เลยตกลง จะไปนอนกับใครก็ไม่ต่างกันใช่ไหมล่ะ เขายังใจกว้างให้เงินมาไม่น้อย
“เขาพักที่ลานซึ่งอยู่ระหว่างตรอกเขาเหลืองกับตรอกแพรแดง เป็นอาคารที่ตรอกเขาเหลือง ตึกฝั่งซ้ายมือ โซนสอง ชั้นสี่ ห้อง… 406… ใช่แล้ว… 406 นั่นแหละ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นลานที่อยู่ระหว่างตรอกเขาเหลืองกับตรอกแพรแดง เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกใจเต้น
นั่นเป็นสถานที่ซึ่งหลินเฟยเฟยเคยเช่า!
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเด็กสาว บรรดาหญิงสาวรอบๆ ก็หัวเราะแล้วพูดหยอกล้อ
“ทำไมเธอไม่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ล่ะ”
“เขาแสดงฝีมือไม่ดีหรือเปล่า ก็เลยไม่กล้าสู้หน้าเธอ เลยรีบลาออกไปเลย”
“เขาเป็นไงบ้าง ใช้ได้ไหม”
* * * * *
ซางเจี้ยนเย่ารีบกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจสวนคำพูดที่เปิดเผยของสาวๆ เหล่านี้ จากนั้นก็รีบออกจากสถานที่ตั้งของ ‘ร้านปืนอาฝู’ พร้อมกับเจี่ยงไป๋เหมียน ตรงไปยังตรอกแพรแดง
ผู้ที่เฝ้าทางเข้าลานยังคงเป็นชายสูงวัยคนเดิม คราวนี้ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรสักคำ ยัดถุงบิสกิตอัดแข็งไปให้ทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายซักถามอะไร
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในอาคารตามที่อยู่ที่ได้ฟังมา ขึ้นไปที่ชั้นสี่
เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่าที่ข้างกาย
“มีคนอยู่ในห้อง”
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทางว่ารับรู้ได้เช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าจับด้ามปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ รอไว้
เมื่อเตรียมตัวเสร็จเธอก็เดินมาที่ประตูหน้าห้อง 406 ยกมือขึ้นมาเคาะสองสามครั้ง
“นั่นใคร” เสียงดังออกมาจากภายในห้องเหมือนกับว่าเพิ่งจะตื่น
“พ่อแกไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างคล่องปาก
นี่ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งเตรียมคำพูดเอาไว้ถึงกับพูดต่อไม่ออก
คนที่อยู่ในห้องดูจะโกรธขึ้นมาทันที ลืมระวังตัวไปโดยสิ้นเชิง รีบวิ่งพรวดเปิดประตูออกมาอย่างไม่ลังเล
เขาเป็นชายอายุราวสามสิบปี ดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรโดดเด่น
สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกก็คือเจี่ยงไป๋เหมียน นั่นทำให้เขาถึงกับตกตะลึงค้างแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวทันที
“มะ… มีอะไรเหรอครับ”
เมื่อเห็นลักษณะนิสัยบ้าผู้หญิงเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มั่นใจมากขึ้นว่าเขาคือเจิงกว่างวั่ง
เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณคือเจิงกว่างวั่งใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ผมเอง” ในที่สุดเจิงกว่างวั่งก็มองเห็นซางเจี้ยนเย่าเสียที
เนื่องจากความสูงที่ด้อยกว่า ทำให้เขาเริ่มระวังตัวขึ้นมาโดยพลัน
เจี่ยงไป๋เหมียนนำตรานักล่าออกมาแสดงให้ดู
“พวกเรารับภารกิจการสืบสวนมาน่ะ มีอะไรบางอย่างอยากถามคุณนิดหน่อย”
“ถ้าหากจะถามละก็…” เจิงกว่างวั่งถูปลายนิ้วเบาๆ
เนื่องจากมีซางเจี้ยนเย่าอยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าเรียกร้องมากกว่านี้
เจี่ยงไป๋เหมียนโยนธัญพืชอัดแท่งไปให้เขาทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายต่อรอง แล้วถามเข้าประเด็นโดยไม่รอช้า
“ก่อนหน้านี้คุณทำงานเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ใช่ไหม แล้วทำไมถึงลาออกเสียล่ะ”
สีหน้าของเจิงกว่างวั่งซีดเผือดลงในฉับพลันราวกับว่านึกถึงเรื่องที่เลวร้ายขึ้นมาได้
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าเขามีอาการเหมือนจะปฏิเสธ ไม่อยากตอบคำถาม จึงรีบพูดต่อ
“เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าความรู้คือยาพิษหรือเปล่า”
เจิงกว่างวั่งตะลึงไปหลายวินาทีถึงได้จะรู้สึกตัวแล้วตอบออกมา
“พวกคุณรู้อะไรมาใช่ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบ ทำเพียงแค่มองเขาเท่านั้น ส่วนซางเจี้ยนเย่าพยายามจ้องตาโดยไม่ปล่อยให้เขาหลบสายตาไปไหน
“เข้ามาคุยข้างในเถอะ” เจิงกว่างวั่งเหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางลุกลี้ลุกลน
หลังจากปิดประตูเสร็จเขาก็เดินไปเดินมาสองสามก้าวก่อนจะเอ่ยปาก
“ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ให้กับหลายครอบครัว ก็แค่คิดว่าอากาศหนาวขึ้นทุกที เลยไม่อยากออกไปเสี่ยงภัยข้างนอก
“ในระหว่างนั้นผมก็ได้รับใบปลิวมาเรื่อยๆ เนื้อหาก็คล้ายๆ กับใบปลิวที่กระจายอยู่ตามถนนนั่นแหละ มันเขียนเอาไว้ว่าความรู้คือยาพิษ ความคิดคือกับดัก
“ผมไม่ได้ไปใส่ใจอะไร แค่คิดว่าเป็นฝีมือพวกโง่ปัญญาอ่อนที่ไม่มีอะไรจะทำ
“หลังจากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง ตอนที่ผมกลับมาจากถนนตะวันออก เข้ามาในตรอกเขาเหลือง แต่ก่อนที่จะเข้ามาในลานก็เจอกับใครคนหนึ่งเข้า…”
พูดไปพูดมา สีหน้าของเจิงกว่างวั่งก็แสดงความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นทีละน้อย
“คนนั้นสูงกว่าฉันนิดหน่อย น่าจะพอๆ กับคุณ สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำ ใช่… เสื้อเทรนช์โค้ท” เขามองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดพลางทำไม้ทำมือ “เขาผอมมาก สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูซีดเซียวมาก เหมือนกับกำลังป่วยหนัก”
เจิงกว่างวั่งหยุดชั่วครู่ สูดหายใจเข้ายาว
“เขาเดินมาข้างหน้าผม มองผม แล้วพูดกับผมว่า ‘คุณผู้ชาย ความรู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้โลกเก่าถูกทำลาย การกระทำของคุณเป็นพิษเป็นภัยต่อมวลมนุษยชาติ ได้โปรดหยุดมือเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นพันธการแห่งผู้ครองกาลจะมาเยือน”
เมื่อพูดจบ เจิงกว่างวั่งก็เสมือนกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
“ดวงตาเขาน่ากลัวมาก มันเป็นสีดำ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติหรอก แต่ว่ามันน่ากลัวมาก จนทำให้ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง
“ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเขา คิดว่าเป็นแค่คนเสียสติ แต่พอตกดึกผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกแขวนคออยู่ในตู้เสื้อผ้า เกือบจะตายอยู่รอมร่อ
“ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็นอนอยู่แท้ๆ!
“ผมพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด โชคยังดีที่คานตู้มันผุมากแล้ว ไม่นานก็เลยพังลงมา ในห้องนั้นนอกจากผมแล้วก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีก!
“ผมนี่โคตรจะกลัวสุดๆ ไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังด้วย จากนั้นก็เลยรีบยกเลิกภารกิจ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ทันที เสียรายได้ไปก้อนใหญ่เลย…”
ในตอนที่เล่าถึงเหตุการณ์นี้ เจิงกว่างวั่งค่อนข้างกระสับกระส่าย เขาดึงบานประตูตู้เสื้อผ้าสีแดงแก่ที่อยู่ข้างเตียงให้เปิดออก
คานกากบาทด้านในนั้นมีรอยหักอย่างเห็นได้ชัด
สะกดจิตงั้นหรือ… เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
เธอหันหน้าไปชำเลืองมองดูซางเจี้ยนเย่าแล้วเห็นว่าหมอนี่เข้าไปใกล้เจิงกว่างวั่งแล้วพูดออกมาจากใจจริง
“คนถูกผีหลอกน่ะ”
“เป็นไปไม่ได้…” ตอนแรกเจิงกว่างวั่งปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องนี้ แต่แล้วก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง “งั้น… งั้นผมควรทำไงดี”
ในช่วงนี้ที่ผ่านมาเขากลายเป็นคนวิตกจริต เห็นอะไรก็กลัวไปหมด กระสับกระส่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีแก่ใจจะไปรับภารกิจอะไรทั้งนั้น ได้แต่ใช้เงินออมเพื่อประทังชีวิต
“ย้ายบ้านด่วนเลย” ซางเจี้ยนเย่าแนะนำอย่างจริงจัง
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะหยุดเขาก็พลันเงียบลงทันที
เธอคิดว่านี่เป็นคำแนะนำที่ดีเหมือนกัน
การหนีไปให้พ้นจากการจับตามองของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ก็ดี หรือออกไปจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยก็ดี ไม่ว่าแบบไหนก็เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดแล้ว
“ได้…” เจิงกว่างวั่งพูดอย่างลังเล
หลังจากบอกลาเขาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เดินลงบันไดมา
เมื่อมาถึงชั้นล่างสุด เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยปากขึ้น
“นายคิดว่าใครเป็นคนไปเตือนเจิงกว่างวั่ง”
ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมา
“‘บาทหลวง’
“‘บาทหลวง’ ที่ผมอยากจะอัดนั่นแหละ”