เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“ดูเหมือนนายจะมั่นใจเต็มร้อยเลยสินะ”
จากนั้นเธอก็เสริมอีก
“นี่เป็นสิ่งดีนะ อย่างน้อยเมื่อตอนที่พวกเราอับจนหมดหนทาง ท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจต่อสู้ นายก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจและทำให้พวกเราพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
“นี่แหละที่เรียกว่าการมองโลกในแง่ดีตามอุดมคติเลยล่ะ
“เอ๊ะ… นายเคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อนใช่ไหม”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ผมไม่ได้ว่าอะไรที่คุณอ้างอิงคำพูดผมหรอก”
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาแล้วเดินออกจากบันได
จากนั้นกวาดสายตามองดูโดยรอบพลางครุ่นคิด
“ในลานนี้อาจจะมีสาวกของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อยู่ก็ได้ คนที่มาเตือนเจิงกว่างวั่งอาจจะซ่อนตัวอยู่แถวนี้เหมือนกัน”
หลินเฟยเฟยที่ถูก ‘ควบคุม’ อยู่นั้นพักอยู่ในบริเวณนี้ เจิงกว่างวั่งที่ถูกเตือนและเกือบจะผูกคอตายก็พักอยู่แถวนี้ หากว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ งั้นก็แสดงว่ามีพวกหูตาของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อยู่ที่นี่กันไม่น้อย
ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะเสนอ ‘คำแนะนำ’ ออกมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจเสียก่อน
“น่าเสียดายที่ไม่มีรูปถ่าย ไม่งั้นจะได้ไปถามพวกยามดู
“ถ้าจะให้ไปเคาะประตูถามทุกบ้านแบบนั้นมันก็กินแรงกินเวลามากไปหน่อย นี่ไม่ใช่เรื่องที่อาศัยแค่แรงของพวกเราแล้วจะทำได้สำเร็จ แถมยังอาจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนเกิดเหตุไม่คาดฝันอีกด้วย”
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าเป็นประกาย รีบพูดขึ้นมาทันที
“ผมวาดภาพจากคำบอกเล่าของเจิงกว่างได้นะ”
“ช่างมันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงภาพที่ซางเจี้ยนเย่าเคยวาด จึงปฏิเสธการเสนอตัวของเขาออกมาตรงๆ
เธอขบคิดก่อนจะพูดต่อ
“ไปหาโอดิคที่สมาคมนักล่าก่อนละกัน เขาอาจจะมีวิธีดึงภาพของคนคนนั้นออกมาจากความฝันของเจิงกว่างวั่งก็ได้”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยท่าทีเศร้าสร้อย
คนทั้งคู่ออกมาจากประตูในตรอกเขาเหลืองแล้วเลี้ยวไปทางถนนใต้ จากนั้นก็เดินไปที่จัตุรัสกลาง
ขณะที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวไปทางถนนตะวันตก ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทิศทางข้างหน้า
ตูม!
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่ามีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติทันที คนหนึ่งม้วนตัวกลิ้งไปหลบอยู่หลังม้านั่ง ส่วนอีกคนหนึ่งพุ่งตัวลงไปกับพื้นแล้วแกล้งตาย
นี่ไม่ได้หมายความว่าวิธีนี้จะสามารถป้องกันกระสุนได้ แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้อยู่ในทัศนวิสัยของผู้ที่อาจจะมาโจมตี
หลังจากการระเบิดก็มีเสียงอึกทึกเสียงกรีดร้องดังมาจากจัตุรัสกลาง ตามด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นตามมา เจี่ยงไป๋เหมียนจึงออกมาจากที่กำบังแล้วมองไปยังจุดที่เกิดการระเบิด
นั่นคือห้องสมุดสาธารณะเมืองหญ้าไพร!
กระจกหน้าต่างของอาคารหลังนั้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีควันสีดำกับเปลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งออกมาจากตัวอาคาร
หน่วยดับเพลิงซึ่งอยู่ออกไปไม่ไกลนักรีบกรูเข้าไปและใช้สารพัดวิธีเพื่อดับไฟให้ได้
ร่างโชกเลือดหลายร่างถูกทยอยนำออกมาคนแล้วคนเล่า บ้างก็ร้องครวญคราง บ้างก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่ลุกขึ้นมายืนเรียบร้อยแล้ว มีคำคำหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเธอ
‘นิกายทอนปัญญา’ !
เธอละสายตาออกจากห้องสมุดซึ่งไม่ได้เสียหายร้ายแรงนัก กวาดสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบตามความคุ้นชิน
ทันใดนั้นสายตาของเธอก็ไปหยุด ณ ตำแหน่งหนึ่ง
ที่ทางแยกของถนนตะวันออกกับจัตุรัสกลางนั้น บรรดาผู้คนที่เห็น ‘สัญญาณเตือนภัย’ แล้วถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่นั่นต่างก็กำลังมองมา
ในกลุ่มคนเหล่านั้น มีชายสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำยืนปะปนอยู่ริมด้านนอกด้วย
เขามีความสูงเกือบเท่าเจี่ยงไป๋เหมียน ล้วงสองมือไว้ในกระเป๋าเสื้อ ผมสั้นที่ยุ่งเล็กน้อย ใบหน้าซูบตอบและซีดเซียวผิดปกติราวกับว่าเพิ่งหายจากการป่วยหนักหรือไม่ก็ยังไม่ฟื้นไข้
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงสายตาจ้องมองจากเจี่ยงไป๋เหมียนจึงหันหน้ามาดู
ดวงตาเขาเกือบจะดำสนิทดุจดั่งขุมนรกที่สามารถฝังกลบวิญญาณผู้คนเอาไว้
มุมปากชายผู้นั้นเผยอยกขึ้นเล็กน้อย ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่ยากอธิบาย
แล้วเขาก็แทรกตัวกลืนเข้าไปในฝูงชนก่อนจะหายลับไปจากสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียน
“นายเห็นไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งงันไปสองสามวินาทีก่อนจะหันไปถามซางเจี้ยนเย่า
“เห็น” แขนทั้งสองของซางเจี้ยนเย่าอยู่ในสภาวะเตรียมตั้งท่าออกวิ่ง ทว่าเท้าเขายังคงปักหลักอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมไม่ได้ขยับไปไหน
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มออกมา
“ฉันยังคิดว่านายจะรีบพุ่งเข้าไปอัดเขาเสียอีก”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ตามไม่ทันน่ะ”
“ดีแล้วแหละ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่านายรู้แล้วว่าเขาเป็นตัวอันตราย” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูห้องสมุดที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว เธอผ่อนลมหายใจช้าๆ “หวังว่าหนังสือข้างในคงจะเสียหายไม่มากนะ”
นี่เป็นความหวังของเด็กจำนวนมากในเมืองหญ้าไพร
ถ้าเพียงแค่อ่านออกเขียนได้ การมี ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องการเรียนรู้ให้มากขึ้นก็จำเป็นต้องมีหนังสือ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจทำได้
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรให้มากความ เธอพาซางเจี้ยนเย่าไปที่ถนนตะวันตกแล้วเข้าไปในสมาคมนักล่า
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าหากไม่เจอโอดิคที่ห้องโถงแล้วจะฝากข้อความไว้ให้เขาได้ยังไง ก็พลันพบว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้นี้ไม่รู้ว่ากำลังนั่งรอใครอยู่ที่ริมขอบของบริเวณที่นั่งซึ่งเธอกับซางเจี้ยนเย่ามักจะนั่งอยู่ประจำ
“พวกเราเจอเบาะแสใหม่” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้าไปหาและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมก็เหมือนกัน” โอดิคที่คลุมร่างด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวหนาลุกขึ้นยืน
“คุณมารอพวกเรางั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะรู้ตัว
“ที่จริงน่าจะไปรอที่ประตูมากกว่านะ จะได้เห็นได้ง่ายๆ หน่อย” ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำอย่างกระตือรือร้นขึ้นทันที
โอดิคพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนโดยไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
“ผมไปถามมาแล้วว่าคนระดับสูงของสมาคมคนไหนที่ได้พบกับเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ”
ถามมาแล้ว… น่าจะถามในความฝันมากกว่าซะล่ะมั้ง… เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ใครเหรอ”
“ชุยเอิน รองประธานชุยเอินที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ในสมาคมน่ะ” โอดิคพูดพลางชี้นิ้วไปที่บันไดขึ้นชั้นสอง “ผมจะพาพวกคุณไปหาเขาเอง”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีบร้อนเล่าเรื่องผู้ชายที่สวมเสื้อเทรนช์โค้ท เธอขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่าเพื่อให้เขาเตรียมตัว
จากนั้นทั้งหมดก็มุ่งหน้าขึ้นชั้นสองไปด้วยกันเพื่อไปพบกับรองประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น ชุยเอิน ซึ่งนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีเพียงโต๊ะยาวกับเก้าอี้สองสามตัว
ชุยเอินนั้นรูปร่างผอมสูง จมูกโต ถึงแม้ว่าจะมีผมหร็อมแหร็ม แต่ก็ยังคงเป็นสีดำอยู่
ซางเจี้ยนเย่ามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“คุณเคยย้อมผมบ้างหรือเปล่า”
ชุยเอินอ้าปากค้าง ลืมคำพูดที่เตรียมไว้จนหมดสิ้น
ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเขาก็ยกมือเสยผมด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่เคย”
“อย่างนั้นเหรอ…” ซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางเศร้าใจเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าที่เขาเสียใจคงเป็นเพราะไม่สามารถแนะนำลูกค้าย้อมผมให้กับเฟอร์ลิน พี่น้องร่วมสาบานของเขา และยังเป็นหัวหน้าคาราวานการค้าอีกด้วย
โอดิคไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีก เขาพูดทำลายความเงียบอันกระอักกระอ่วนนี้
“ผมเพิ่งคุยกับประธานชุย เขาได้พบกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย รวมทั้งคนอื่นๆ เมื่อราวเดือนครึ่งที่ผ่านมา”
ชุยเอินไว้ใจโอดิคมาก ข้างกายจึงไม่มีผู้คุ้มกันแม้แต่คนเดียว เขาชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะยาว
“นั่งสิ”
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่านั่งลงอย่างรวดเร็วแล้วชุยเอินก็ถอนหายใจ
“ที่จริงตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงเรื่องนี้หรอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เข้าไปพัวพันปัญหาที่ไม่จำเป็น แต่สุดท้ายโอดิคกลับเจอเรื่องนี้เข้าจนได้”
“น่าจะราวๆ เดือนครึ่งที่ผ่านมา” รองประธานผู้นี้ทบทวนความจำ “เช้าวันหนึ่ง ผู้ช่วยมาบอกผมว่ามีคนขอเข้าพบ ต้องการปรึกษาเรื่องภารกิจใหญ่ ตอนนั้นผมว่างอยู่และผู้ช่วยก็บอกว่าคนที่มา น่าจะมีกองกำลังหนุนหลังอยู่ ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยให้พวกเขาเข้าพบ
“จากนั้นผมก็ได้เจอกับเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ในห้องทำงาน
“ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีภารกิจใหญ่อะไรหรอก จุดประสงค์ที่มาหาผมเพราะต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ น่ะ”
“สวรรค์จักรกล…” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจอยู่บ้าง
นี่เป็นกองกำลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งควบคุมเทคโนโลยีการผลิตหุ่นสมองกลและโรงงานต่างๆ มากมาย ตั้งอยู่ที่ตอนใต้สุดของชายฝั่งของเทือกเขาภูโบราณ
ตัวตนของที่แห่งนั้นค่อนข้างลึกลับ การทำการค้ากับโลกภายนอกจะจัดการผ่านกองทัพหุ่นจักรกล ไม่มีกองกำลังใดๆ สามารถล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตได้
‘ผานกู่ชีวภาพ’ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของเทือกเขาภูโบราณ
“ถูกต้อง” ชุยเอินตอบด้วยท่าทีสงสัย “ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงอยากรู้เกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ นัก แถมยังเสนอว่าจะจ่ายให้อย่างงามด้วย น่าเสียดายที่ผมเองไม่ได้ติดต่อกับ ‘สวรรค์จักรกล’ มากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพวกเครื่องมือเครื่องใช้ในห้องโถงมาจากที่นั่นทุกชิ้นก็เถอะ แต่ว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ก็คือประธานสมาคมกับประธานท้องถิ่นต่างหาก ดังนั้นผมก็เลยบอกให้พวกเขาลองไปติดต่อที่ถนนเหนือเพื่อขอเข้าพบกับท่านประธานดู”
ประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่นก็คือเจ้ามืองสวี่ลี่เหยียน
“อย่างนี้นี่เอง…” ในที่สุดคำถามคาใจของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้รับคำตอบเสียที ว่าทำไมเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนอื่นๆ ถึงเข้าไปในถนนเหนือ
ที่แท้เป็นเพราะพวกเขาไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองเพื่อขอเข้าพบสวี่ลี่เหยียน ซึ่งเป็นเจ้าเมืองและประธานสมาคมนักล่านั่นเอง
ชุยเอินยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีขาวที่วางอยู่เบื้องหน้าขึ้นมาจิบ
“จากนั้นผมก็ไม่เห็นพวกเขาอีกเลย แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือพวกเขากลับออกมาจากถนนเหนือหลังจากนั้น
“เพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นกับท่านประธาน ผมก็เลยกำชับผู้ช่วยและคนที่เกี่ยวข้องว่าอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าโอดิครู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
เห็นได้ชัดว่าชุยเอินนั้นค่อนข้างขัดเคืองอยู่บ้างที่จู่ๆ โอดิคเกิดรู้ความลับนี้เข้า
โอดิคผงกศีรษะเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าชุยเอินไม่ได้โกหก
เจี่ยงไป๋เหมียนมองชุยเอินแล้วยิ้มให้
“พวกเราพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้วค่ะ
“รบกวนคุณมากแล้วล่ะ ประธานชุย”
“ไม่เป็นไร ถ้าหากนี่สามารถช่วยเรื่องการสืบสวนการตายของหลิวต้าจ้วงได้ ผมจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” ชุยเอินลุกขึ้นยืนส่งเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ออกจากห้อง
เมื่อออกมาข้างนอกและเดินมาถึงบันไดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มมองตรงไปข้างหน้า
“สนใจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอีกครั้งไหม”
“สนสิ” โอดิคไม่ปฏิเสธ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“พวกเราเจอ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ คนหนึ่งที่ถูกคุกคามโดย ‘นิกายทอนปัญญา’”
เธอข้ามไปไม่พูดถึงที่มาที่ไป เริ่มเล่าให้ฟังเรื่องที่อยู่ของเจิงกว่างวั่งกับเรื่องที่เขาประสบพบเจอ และเน้นเรื่องที่ว่าหลังจากเกิดการระเบิดที่ห้องสมุด มีชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อเทรนช์โค้ทคล้ายกับลักษณะที่ได้ฟังจากปากคำของเขาปรากฏตัวอยู่ในฝูงชนด้วย
“ลักษณะแบบนี้…” สีหน้าของโอดิคค่อยๆ กลับกลายเป็นเคร่งขรึม “คล้ายกับ ‘บาทหลวง’ ที่เคยลงมือใน ‘ปฐมนคร’ เมื่อก่อนหน้านี้มาก”
ซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขาเพื่อปรามให้เขารู้จักสงวนท่าทีไว้บ้าง จากนั้นก็หันมาพูดกับโอดิคต่อ
“ตาคุณล่ะ”
โอดิคมองดูบันไดเบื้องหน้าก่อนจะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“ที่ผมมาเมืองหญ้าไพร ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะถูกเชิญมา
“ที่ผมตามสืบเรื่องการตายของหลิวต้าจ้วง ไม่ใช่เพราะคดีมาหล่นมาต่อหน้าต่อตา และไม่ได้เป็นเพราะเขาเป็นพ่อค้าข่าวด้วย”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ โอดิคก็เดินลงบันไดไปเหลือเพียงคำพูดทิ้งท้ายไว้
“แต่เป็นเพราะเขาทำงานลับๆ ให้เจ้าเมือง”
เมื่อได้ฟังดังนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกว่าเบาะแสทั้งหมดในสมองได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ราวกับว่าคำตอบนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว