เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับความคิดที่กระโดดไปมาในบางครั้งบางคราวของซางเจี้ยนเย่าแล้ว
เธอไม่ได้พูดอะไร รีบไปที่ถนนตะวันออกกับเขาต่อทันที
ในระหว่างทางพวกเขาก็พบกับไป๋เฉินและหลงเยว่หง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันเช่นเดิม
ถนนตะวันออกในขณะนี้มีบรรดานักล่าซากอารยะมาค้นหาเบาะแสเพิ่มเติมอยู่เต็มไปหมด
พื้นที่ที่สำคัญที่สุดอย่างโกดังหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 3 ถูกกองกำลังป้องกันเมืองกั้นเอาไว้เป็นเขตหวงห้ามชั่วคราว
เจี่ยงไป๋เหมียนแหงนหน้ามองอาคารที่อยู่รายรอบ เมื่อเห็นว่าในตำแหน่งสำคัญล้วนมีพลซุ่มยิงประจำอยู่ก็ผงกศีรษะเบาๆ
“มืออาชีพจริงๆ”
ถึงแม้ว่ากองกำลังป้องกันเมืองจะไม่ทราบว่า ‘บาทหลวง’ เป็นผู้ตื่นรู้ แต่ก็เตรียมการรับมือกับบุคคลดังกล่าวโดยแปะป้ายเอาไว้ว่าเป็น ‘บุคคลอันตรายอย่างยิ่ง’ อย่างเต็มที่
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่คลังสินค้าได้ในตอนนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงทำแต่เพียงยืนพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามซางเจี้ยนเย่า เฝ้ารอไปเรื่อยๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีนักล่าซากอารยะสองสามคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองกำลังป้องกันเมืองได้รับข่าวสารก่อนคนอื่น
จากนั้นข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วห้องโถงสมาคม
“พบห้องใต้ดินที่โกดังหมายเลข 2 มีร่องรอยของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต เป็นร่องรอยใหม่ และมีอุปกรณ์การพิมพ์เก่าๆ หลายเครื่อง พร้อมกับใบปลิวจำนวนมาก”
ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากถามใคร ก็ยังเดาออกว่าในใบปลิวนั้นเขียนอะไรไว้
คงไม่พ้นข้อความทำนองว่า ‘ความคิดคือกับดัก’ ที่เขียนผิดๆ ถูกๆ นั่นแหละ
“มันตั้งอยู่ทนโท่แบบนั้นมาตั้งกี่ปีมาแล้ว คนในเมืองหญ้าไพรไม่ได้รู้ระแคะระคายบ้างหรือไงเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนอด ‘บ่น’ ให้ซางเจี้ยนเย่าฟังไม่ได้ “ทุกวันนี้พลังงานมีค่าขนาดไหน พวกเขาไม่เคยรู้หรือไงว่าแถวนี้น่ะกินไฟเพิ่มขึ้นมาฮวบฮาบ”
ไม่ว่าโกดังหมายเลข 2 จะเป็นของเอกชนหรือของเมืองหญ้าไพรก็ตาม ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้
ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน
“สมควรจับไปยิงเป้าด้วยปืนใหญ่”
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ทุกคนจะมีไฟฟ้าให้ใช้ได้ตามจำนวนโควต้าพลังงานของตนเองเท่านั้น จึงต้องคำนวณอย่างละเอียด วางแผนใช้งานอย่างรอบคอบ เพราะถ้าใช้จนตัวเลขมิเตอร์เกินขึ้นมาแม้เพียงหนึ่งหน่วยก็จะถูกตรวจพบได้ในทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะเอ่ยปากถามซางเจี้ยนเย่าว่าเขาประทับใจการ ‘ยิงเป้าด้วยปืนใหญ่’ นักหรือไง ก็พลันเห็นโอดิคซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาเดินมา
‘นักล่าชั้นสูง’ ผมดำตาฟ้าผู้นี้พูดออกมาตรงๆ ทันที
“พวกยามที่เฝ้าประตูเมือง มีคนจำได้
“ราวหนึ่งชั่วโมงก่อน มีชายหน้าซีดเซียวสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำออกจากเมืองไป”
พูดถึงตรงนี้ โอดิคก็เสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค
“เขาป่วยจนดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ เลยทำให้ยามจำได้น่ะ”
รู้แล้วน่า รู้แล้ว… ที่จริงแล้วนายมองเห็นจากความฝันต่างหาก… เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วเข้าใจได้ในทันที จึงถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณอยากจะหาผู้ช่วยสักสองคนใช่ไหมล่ะ”
ในเมื่อ ‘บาทหลวง’ ออกนอกเมืองไปพักใหญ่แล้ว จะถามไถ่อีกสองสามประโยคก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากนัก
“ความสามารถของพวกคุณทำให้วางใจได้” โอดิคกล่าวออกมาอย่างสงบนิ่ง
พวกเราไปแสดงความสามารถให้นายเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนวิจารณ์อยู่ในใจ
“เป็นเพราะพวกเราตัวสูง เลยน่าจะต่อสู้เก่งงั้นเหรอ”
ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้ ทั้งเธอและซางเจี้ยนเย่าถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคนเพศเดียวกัน
โอดิคตอบอย่างกระชับ
“ความมั่นใจน่ะ พวกคุณมีความมั่นใจมาก”
ในเรื่องนี้ เขาไม่มีทางมองผิดไปแน่
หลังจากผ่านพ้นจากการเป็นมือใหม่มาแล้ว การที่มีความมั่นใจเช่นนี้ได้ย่อมต้องมีความสามารถอยู่บ้าง
“ผมทนรอไม่ไหวแล้วล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วยกับคำอธิบายของโอดิค
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดให้มากความอีก เธอผงกศีรษะ
“นำทางไปเลย”
โอดิคกลับหลังหันแล้วเร่งฝีเท้าตรงไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นก็ขับรถออฟโรดคันสีแดงออกมา
รถคันนี้ผ่านการดัดแปลงมาอย่างเห็นได้ชัด มีทั้งเกราะหุ้มที่หนาเตอะและกระจกกันกระสุน ประกาศความอหังการเป็นอย่างยิ่ง
“โอ้… สาวงาม” เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะผิวปากออกมา
ในยามที่เธอรู้สึกอะไรก็จะไประบายกับซางเจี้ยนเย่า
นี่เป็นนิสัยเสียที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาใช้เวลาสองวันพักอยู่ในค่ายคาราวาน ‘คนไร้ราก’
“คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เยือกเย็นสุขุมอย่างโอดิคจะขับรถแบบนี้ จุ๊ จุ๊ สงสัยว่าในใจลึกๆ เขาคงจะป่าเถื่อนน่าดู” เจี่ยงไป๋เหมียน ‘พูดเบาๆ’ กับซางเจี้ยนเย่า
โอดิคลดกระจกหน้าต่างลงพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขึ้นรถสิ”
พูดจบเขาก็มองไปข้างหน้า
“ตอนที่ยังแข็งแกร่งไม่มากพอ มีรถแบบไหนให้ก็ต้องใช้รถแบบนั้นไปก่อนนั่นแหละ”
แล้วหลังจากที่ลงทุนดัดแปลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ยากจะตัดใจทอดทิ้งรถคันนี้ไปได้
“ถ้าคุณไม่ชอบ งั้นก็ขายให้ผมเถอะ ผมมีเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาต้องชอบมากแน่ๆ” ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่าเปิดประตูเบาะหลังก็แนะนำอย่างจริงใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ในรถแล้วพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไมฟังดูแปร่งๆ แฮะ…”
โอดิคพลันรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาทันทีว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ชวนให้สองคนนี้มาเป็นผู้ช่วย
หากไม่เป็นเพราะว่าคนทั้งคู่เข้ามาพัวพันถลำลึกขนาดนี้แล้ว เขาก็คงไม่เลือกวิธีนี้หรอก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าเมือง มีคนรู้น้อยลงไปหนึ่งคนก็เป็นการดีกว่า
รถออฟโรดสีแดงคันใหญ่ย้อนกลับมาที่จัตุรัสกลางแล้วเลี้ยวเข้าถนนใต้ จากนั้นก็ขับออกไปจากประตูเมือง
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้ยินหลงเยว่หงกับไป๋เฉินบรรยายสถานการณ์นอกเมืองให้ฟังบ้างแล้ว ทว่าเมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าได้เห็นด้วยตาตนเองว่ามีคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมากมายสุดคณานับคุกเข่าบ้างนั่งบ้างอยู่เต็มสองฟากฝั่งถนนก็ถึงกับเงียบงันไป
ภายใต้สายลมหนาว ใบหน้าพวกเขาซีดเผือดเขียวคล้ำ แทบจะไร้ประกายแสงในดวงตา
เต็นท์และหลุมที่ขุดไว้ไม่ไกลนัก มีคนนอนอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
รถออฟโรดสีแดงคันใหญ่ก็พลันหยุดลง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมองกันมาในตำแหน่งเดียวกัน
โอดิคผลักประตูเปิดลงรถมา เดินมาที่เบื้องหน้าของชายวัยสามสิบปีที่ยังดูมีสติอยู่ เขาหยิบภาพเหมือนของ ‘บาทหลวง’ ออกมาแล้วถาม
“เคยเห็นคนนี้หรือเปล่า”
ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าที่อยู่บนรถต่างก็ชักปืนพกของตนออกมา คอยเฝ้าระวังคนละฝั่งไว้
ในขณะที่ชายวัยสามสิบปีกำลังมองดูภาพเหมือนของ ‘บาทหลวง’ อยู่นั้น ชายที่อายุมากกว่าเล็กน้อยที่อยู่กับกลุ่มคนด้านหลังก็ยืนขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้ ราวกับว่าต้องการฉกฉวยงานนี้ไว้เสียเอง
แต่แล้วเขาก็เซและล้มลงไปกับพื้น แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีก
ใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกกว้างไร้ชีวิตชีวา
จากการตรวจจับของซางเจี้ยนเย่า จิตสำนึกของคนผู้นี้สลายหายไปแล้ว
เพียงแค่ล้มลงเบาๆ เขาก็ตายไปเช่นนี้แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็เห็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่กำลังนั่งอยู่ บางคนเอนล้มไปด้านข้างแล้วไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก
ท่ามกลางลมหนาวโหมกระหน่ำ วัชพืชใบเหลืองที่อยู่รายรอบนั้นบ้างก็เอนล้มอย่างอ่อนแรง บ้างก็ถูกพัดปลิวไปในอากาศ
ในตอนนี้ชายวัยสามสิบก็ตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“เคยเห็น
“วันนี้แทบไม่มีใครออกมานอกเมือง เขาเดินไปจนสุดทาง”
โอดิคพยักหน้าแล้วหยิบธัญพืชอัดแท่งออกมายื่นให้ชายคนนั้น
เกือบในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตาหลากหลายคู่ซึ่งแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดและความกระหายที่ไม่อาจอธิบายได้พากันจ้องมองมา
หลังจากที่ชายวัยสามสิบรับธัญพืชอัดแท่งมาก็รีบแกะห่อแล้วหักออกครึ่งหนึ่ง
เขาคิดไปคิดมาแล้วก็หักที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกเป็นสองส่วน
จากนั้นก็เขย่าปลุกเด็กหญิงตัวน้อยที่เอนพิงเขาอยู่ให้ตื่นขึ้นมา แล้วยัดธัญพืชอัดแท่งสามในสี่ส่วนนั้นใส่ในมือเธอก่อนจะพูดเร่ง
“กินเร็ว! รีบกินเข้า!”
เด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบคนนั้นมีใบหน้าสกปรกมอมแมม มีเพียงดวงตาที่ยังเป็นประกายสดใส
เธอยังคงงัวเงียอยู่ แต่ก็เชื่อฟังมาก หยิบธัญพืชอัดแท่ง สั้นหนึ่งยาวหนึ่งรีบใส่ปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่รอช้า
ชายวัยสามสิบเห็นแล้วก็โล่งใจ จากนั้นก็กินธัญพืชอัดแท่งที่เหลืออยู่ในมือตนจนหมดในสองสามคำ
“ขอบคุณ… ขอบคุณมาก” เขาเงยหน้ามองโอดิคแล้วพูดอู้อี้
ในตอนนี้เองที่ซางเจี้ยนเย่าได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เขามีใบหน้าสี่เหลี่ยมดูสัตย์ซื่อ ผิวสีคล้ำ
โอดิคไม่ได้อยู่ต่ออีก เขารีบกลับไปที่รถแล้วขับต่อไปจนสุดทางของฝูงชน
หลังจากสอบถามต่ออีกสองสามครั้งก็ยืนยันได้ว่า ‘บาทหลวง’ เลี้ยวไปทางซ้าย
เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ขับตามไปช่วงหนึ่งก็สอบถามไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็พบว่า ‘บาทหลวง’ อ้อมเป็นรอบใหญ่ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ
ที่กำแพงเมืองด้านทิศเหนือนั้นมีทางเข้าออกไว้สำหรับขุนนางโดยเฉพาะ
“ใช่แล้ว มีคนหน้าตาแบบนี้แหละ” ยามที่ประตูเมืองมองภาพเหมือนที่โอดิคยื่นให้ดู แล้วพูดอย่างมั่นใจมาก “เขามีใบอนุญาตผ่านทางที่เจ้าเมืองรับรองให้เป็นพิเศษ พวกเราเลยไม่กล้ารั้งเขาไว้”
‘บาทหลวง’ ออกจากประตูเมืองทิศใต้ตั้งแต่เช้าตรู่ อ้อมครึ่งรอบเพื่อวกกลับเข้าเมืองมาทางประตูทิศเหนืองั้นหรือ… เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นตัวขึ้นทันที
พฤติกรรมแบบนี้มันผิดปกติเกินไป!
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าในที่สุดฉันก็เข้าใจหมดแล้ว
“นี่น่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
“หลังอาหารเดินร้อยก้าวจะอายุยืนเก้าสิบเก้าปี”
“เข้าประตูทิศเหนือไปก็เป็นถนนเหนือ” โอดิคไม่ใส่ใจมุกตลกของซางเจี้ยนเย่า เขาพูดความคิดของตนเองออกมา
“ทำไมเขาถึงไม่เข้าไปถนนเหนือทางสะพานที่อยู่ด้านหลังศาลาว่าการเลยล่ะ ถึงยังไงก็มีใบผ่านทางอยู่แล้ว หรือว่าอยากจะเพิ่มการอำพรางขึ้นอีกหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญแล้ว ‘พูดกับตัวเอง’
“ก็เป็นไปได้” โอดิคไม่พูดอะไรอีก เขาแสดงใบผ่านทางของตนเองแล้วเข้าไปในถนนเหนือ
ภาพที่เห็นในครรลองสายตาก็คือถนนกว้างขวาง สองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือน บ้างก็เป็นอาคาร บางหลังมีลานกว้างและภูเขาจำลอง บ้างก็เป็นกำแพงสูงตระหง่านล้อมสวนดอกไม้เอาไว้ แตกต่างไปจากถนนตะวันออก ถนนตะวันตก และถนนใต้ อย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับเหว
หลังจากสอบถามยามถืออาวุธที่หน้าคฤหาสน์หลังต่างๆ แล้ว โอดิค เจี่ยงไป๋เหมียน และซางเจี้ยนเย่า ก็เดินตามทางมาจนถึงประตูทางเข้าอาคารคอมเพล็กซ์[1]ที่กว้างขวางมาก
ที่นี่คือ ‘โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง’
ที่ถนนตะวันออกก็ยังมี ‘โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่สอง’ ด้วย
“เคยเห็นคนนี้หรือเปล่า” โอดิคหยิบภาพเหมือนของ ‘บาทหลวง’ ออกมาแล้วถามยามที่ป้อมหน้าโรงพยาบาล
ยามมองดูภาพใบนั้น
“เขาเหรอ มาที่นี่ประจำเลยล่ะ”
โอดิครีบถามต่อทันที
“แล้ววันนี้เขามาแล้วหรือยัง”
“มาแล้ว เมื่อสักยี่สิบสามสิบนาทีก่อนนี่เอง” ยามชี้ไปที่อาคารซึ่งอยู่ด้านในสุด “เหมือนว่าเขาจะรับผิดชอบเรื่องการปรับปรุงอาคารเก่าน่ะ ก็น่าจะไปที่นั่นแหละ”
หลังจากขอบคุณยามเสร็จ โอดิค เจี่ยงไป๋เหมียน และซางเจี้ยนเย่า ก็เข้าไปในโรงพยาบาล ตรงไปยังอาคารเก่าที่รอการปรับปรุง ซึ่งย้ายผู้คนออกไปหมดแล้ว
อาคารเก่าหลังนี้มีห้าชั้น ผนังด้านนอกทาด้วยสีขาวล้วน แสงภายในมีไม่ค่อยมากนัก ทำให้มองดูสลัวไปทั่วทุกที่ และเต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงปรารถนาของน้ำยาฆ่าเชื้อ
หลังจากเดินไปได้สักพัก บนผนังสีขาวทาสีเขียวด้านล่างข้างบันไดขึ้นลงซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในห้องโถงกว้าง ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก็เห็นภาพที่เหมือนกับเด็กวาดเอาไว้
เป็นรูปคนหัวไม้ขีดที่ไม่มีใบหน้า
‘คน’ คนนี้ยืนตรง ยกสองมือขึ้นระดับหน้าอก ในตำแหน่งนั้นมีตัวอักษรเขียนด้วยชอล์กกำกับเอาไว้
‘ขอให้พวกเจ้าสูญเสียสติปัญญาเช่นกัน”
* * * * *
[1] อาคารคอมเพล็กซ์ (建筑群) เป็นกลุ่มของอาคารซึ่งแต่ละหลังจะมีพื้นที่และลักษณะการใช้สอยแตกต่างกันไป