นับว่าเป็นโชคดีของเจี่ยงไป๋เหมียน เนื่องจากคนเร่ร่อนแดนร้างปิดกั้นจัตุรัสกลางเอาไว้และบุกเข้าโจมตีถนนเหนือ ดังนั้นโอดิคจึงไม่สามารถกลับไปที่สมาคมนักล่าได้ ทำได้เพียงรออยู่ในคฤหาสน์เจ้าเมืองเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะคืนรถให้ได้ ทั้งไม่จำเป็นต้องติดต่อไปเพื่อหาโอกาสสอบปากคำ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมอีก
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยใช้ใบผ่านทางพิเศษ
“‘บาทหลวง’ ปลอมนั่นฟื้นหรือยัง”
ความหมายแฝงของเธอก็คือ ‘คุณสอบปากคำรอบแรกเสร็จไปแล้วหรือยัง’
โอคิดผงกศีรษะเบาๆ
“เขาเชื่อหมดใจว่าตัวเองเป็น ‘บาทหลวง’ แผนการที่เขาเตรียมไว้คือล่อพวกเราไปติดกับแล้วหาโอกาส ‘สะกดจิต’ ผม เพื่อทำให้ผมกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในระหว่างนี้เขาก็อาศัยเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไว้ล่วงหน้าทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ เพื่อสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงมือลอบสังหารในตอนท้ายสุด”
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเจ้าเมืองสวี่เกือบตายตอนที่อยู่สมาคมนักล่าละก็ แผนนี้ก็สมจริงมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็น
ซางเจี้ยนเย่ากล่าวเสริม
“น่าเสียดายที่เขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะแบกรับแผนนี้ได้”
คำพูดนี้ทำให้โอดิครู้สึกอับอายอยู่บ้าง เนื่องจากเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่ ‘อ่อนแอ’ เช่นนี้ เขาแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย เพิ่งจะลงสนามก็ตกลงไปในขุมนรกจามไม่หยุดเสียแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เสียเวลาไปถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า เธอถามต่อ
“คุณพอจะรู้ที่อยู่ที่ชัดเจนของพวกเพื่อนๆ ของเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยหรือเปล่า”
นี่คือเรื่องที่เธอเป็นกังวลที่สุด
โอดิคส่ายหน้า
“เจ้า ‘บาทหลวง’ ปลอมนั่นส่งพวกเขาให้กับคนที่มีฉายาว่า ‘เจ้าใบ้’ และเตรียมใช้พวกเขาเป็นแพะถ้าหากการลอบสังหารสัมฤทธิ์ผล
“เขาไม่รู้ว่า ‘เจ้าใบ้’ มีหน้าตายังไง พักอยู่ที่ไหน เขาอาศัยรูปแบบวิธีการสื่อสารที่ตกลงกันไว้ใน ‘นิกายทอนปัญญา’ เพื่อติดต่อกัน ตอนนี้ด้านนอกถนนเหนือนั้นปั่นป่วนวุ่นวายเกินไป เราไม่สามารถใช้วิธีนั้นเพื่อติดต่ออีกฝ่ายได้”
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบแล้ว เธอก็พูดอย่างครุ่นคิด
“‘เจ้าใบ้’ คนนี้จะใช่ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงหรือเปล่านะ
“การที่เขาติดต่อสื่อสารกับ ‘บาทหลวง’ ปลอม นั่นก็เป็นการ ‘สะกดจิต’ อีกรูปแบบหนึ่งใช่ไหม”
“ก็เป็นไปได้” โอดิคเองก็คาดเดาไปในทำนองนี้เช่นกัน
พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า…
‘บาทหลวง’ ตัวปลอมเป็นผู้ตื่นรู้ที่ถูก ‘บาทหลวง’ ตัวจริงสะกดจิต หรือไม่ก็ถูกฝังความทรงจำปลอม ดังนั้นเขาจึงเชื่อหมดใจว่าตัวเองเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริง และทำภารกิจต่างๆ ตามคำสั่งของคนระดับสูงในนิกาย
และคนระดับสูงคนนั้นก็คือ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงนั่นเอง
ในขณะเดียวกันเขาก็อาจจะเป็นผู้ช่วยที่ชื่อ ‘เจ้าใบ้’ นั่นด้วย
จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้น
“ทำไม ‘บาทหลวง’ ปลอมถึง ‘สะกดจิต’ เป็นด้วยล่ะ”
“‘บาทหลวง’ ตัวจริงเฟ้นหาผู้ตื่นรู้ที่ ‘สะกดจิต’ ได้มาเป็นการเฉพาะเลยหรือเปล่า เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเป็นตัวแทนได้อย่างสมบูรณ์” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดา
หากว่า ‘บาทหลวง’ ปลอม ‘สะกดจิต’ ไม่เป็น ไม่เพียงแต่คนอื่นจะไม่เชื่อว่าเขาเป็น ‘บาทหลวง’ ตัวจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะสงสัยและสั่นคลอนการรับรู้ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โอดิคพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมเขาถึงหาผู้ตื่นรู้ที่สามารถ ‘สะกดจิต’ มาอย่างเจาะจงแบบนี้ได้นะ…”
ผู้ตื่นรู้ไม่เพียงแต่จะมีจำนวนน้อยเท่านั้น แต่ยังมักจะปกปิดลักษณะพลังพิเศษของตนเองไว้อีกด้วย
แต่ก่อนจะพูดจบเขาก็หยุดพูดไปทันที เพราะเขานึกคำตอบออกมาได้แล้ว
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างตื่นเต้น
“ทุกครั้งที่ ‘นิกายทอนปัญญา’ สร้างพวกผู้ตื่นรู้ขึ้น แล้ว ‘บาทหลวง’ ก็ถูกเลือกออกมาจากคนพวกนั้น”
เขตพลังของผู้ครองกาล ‘ปัจฉิมมรรตัย’ ที่ควบคุมเดือนสามก็คือด้านการสะกดจิตและความทรงจำ ดังนั้นผู้ศรัทธาก็ต้องอยู่ในนิกายของพระองค์ ผู้ตื่นรู้ก็ต้องอยู่ในเขตพลังนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นรับรองได้ว่าจำนวนคือจุดได้เปรียบ แต่ย่อมต้องมีส่วนบ้างไม่มากก็น้อย
“เมื่อจำนวนผู้ตื่นรู้ที่มีพลังด้าน ‘สะกดจิต’ มีมากถึงระดับหนึ่งก็รวบรวมพวกเขาไว้ด้วยกันแล้วจับขังไว้ที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ปล่อยให้ ‘ฆ่า’ กันเอง จนกระทั่งสุดท้ายแล้วก็จะมี ‘บาทหลวง’ จริงหนึ่งคน กับ ‘บาทหลวง’ ปลอมหลายคนเดินออกมา อย่างนั้นนะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามถอดความหมายจากคำพูดของซางเจี้ยนเย่า
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแนวคิดนี่มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว
นี่สอดคล้องกับหลักคำสอนของ ‘นิกายทอนปัญญา’ อย่างสมบูรณ์!
“คนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีสมอง เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดสำหรับใช้งาน เรื่องที่ต้องใช้สมองก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ถูกเลือก…” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์ทั้งพูดอย่างรู้สึกขบขัน “ความรู้ความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับ ‘นิกายทอนปัญญา’ ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่หางอึ่งจริงๆ นี่พวกเขาถึงกับทำกับผู้ตื่นรู้ที่เป็นกระดูกสันหลังของนิกายแบบเดียวกับที่ตัวเองเทศน์สอนไว้จริงๆ ด้วย”
นี่มันเป็นจิตใจความมุ่งมั่นแบบไหนกัน!
ในขณะที่ทอดถอนใจ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นจากหางตาว่าซางเจี้ยนเย่ามีความกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย
เธอมีเหตุผลที่ทำให้รู้สึกสงสัยว่าหมอนี่กำลังคิดอยากจะแข่งขันกับ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงอยู่แน่นอน
แต่เจี่ยงไป๋เหมียนไม่คิดว่าเขาจะสามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อรับมือกับ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงได้หรอก ดีไม่ดีอาจจะถูก ‘สะกดจิต’ หรือไม่ก็ถูกแก้ไขความทรงจำเสียด้วยซ้ำ
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะกลับกลายเป็นว่า ‘บาทหลวง’ ตัวจริงจะต้องเหนื่อยมากเพราะต้องคอยตามล้างตามเช็ดความวุ่นวายปั่นป่วนที่ ‘บาทหลวง’ ปลอมคนนี้ทำเอาไว้ และหลังจากที่ต้องเจอเรื่องราวปวดหัวซ้ำๆ ซากๆ หลายครั้งหลายครา ในที่สุดก็จะตัดสินใจเตะเขาออกจากทีม ‘บาทหลวง’ ด้วยความรู้สึกรังเกียจจนเข้าไส้ ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าเจ้าหมอนี่ได้ขนเอา ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมไปจนหมดนิกายแล้ว และสร้าง ‘ภาคีภราดรภาพแห่งบาทหลวง’ ขึ้นมาใหม่ ปล่อย ‘บาทหลวง’ ตัวจริงทิ้งเอาไว้ให้อยู่ตามลำพัง
เฮ้อ… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจและรีบสลัดความคิดนี้โยนทิ้งไป
ในเมื่อไม่มีทางได้รับข้อมูลจาก ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมว่า ‘บาทหลวง’ ตัวจริงและพวกเว่ยอวี้นั้นอยู่ที่ไหน เธอจึงทำได้เพียงถามคำถามอื่นต่อ
“คุณไปเจอเจ้าเมืองสวี่หรือยัง ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับการโจมตีหรือเปล่า”
เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเบาะแสโดยตรวจสอบจากเรื่องนี้ได้หรือเปล่า
โอดิคไม่ได้ปิดบัง เขาอธิบายรายละเอียดของการโจมตีทุกอย่างที่ได้ยินมาจากสวี่ลี่เหยียน แต่แน่นอนว่าไม่รวมถึงพลังพิเศษของหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน เพราะสวี่ลี่เหยียนเจตนาไม่เอ่ยถึง
ในตอนนี้เขาชื่นชมความสามารถของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่ามาก และรู้สึกว่าเหมือนสมองพวกเขาจะมีปัญหานิดหน่อย อาจจะเป็นสิ่งที่สละไป
และในทำนองเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกเชื่อใจเขาเกี่ยวกับพลังสร้างอิทธิพลต่อความฝันเพื่อให้ได้คำสารภาพด้วยเช่นกัน เธอจึงไม่ได้เอ่ยปากขอสอบปากคำ ‘บาทหลวง’ ปลอมด้วยตนเอง
เมื่อได้ฟังไปเรื่อยๆ สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนก็เคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ ทว่าสีหน้าของซางเจี้ยนเย่ากลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
จนกระทั่งโอดิคพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามอย่างตื่นเต้น
“อาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนรู้จักอาจารย์เซนจิ้งฝ่าหรือเปล่า”
“น่าจะรู้นะ…” โอดิคตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจนัก
ถึงแม้จะมีหลวงจีนจักรกลอยู่ไม่มาก และส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักกัน แต่เพราะเขาเองไม่ใช่หลวงจีนจักรกลจึงไม่กล้าฟันธงลงไปอย่างแน่นอน
หลังจากสนทนาในหัวข้อนี้ไป เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“ฉันรู้สึกว่าการโจมตีครั้งนี้มีอะไรผิดปกติอยู่นะ อย่างน้อยก็มีสามจุดล่ะ”
“สามจุดไหน” โอดิคเองก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง แต่ก็มองไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน
“จุดแรก ดูจากช่วงเวลาการโจมตีและสถานการณ์ในขณะนั้น สิ่งที่ ‘บาทหลวง’ ปลอมทำ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการกันให้คุณออกห่างจากสมาคม หรือกระตุ้นให้พวกคนเร่ร่อนก่อจลาจล เรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการโจมตีเลยแม้แต่น้อย ไม่มีส่วนช่วยเหลือเลยสักนิดเดียว
“คุณลองคิดดูสิ ต่อให้เป็นสถานการณ์ปกติ คุณก็ไม่ได้อยู่ในสมาคมตลอดเวลาเสียหน่อย ต้องวิ่งเร่ไปหาเบาะแสข้างนอกตลอด
“ส่วนการจลาจลก็ส่งผลกับกองกำลังป้องกันเมืองกับยามคฤหาสน์เท่านั้น เรื่องนี้แค่สร้างความตึงเครียดให้กับอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนกับผู้คุ้มกันทั้งสี่คนเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้พวกเขาตระหนกแม้แต่นิดเดียว พวกเขาต่างก็ไม่ได้วอกแวกหรือกระจายกำลังออกไปเลย”
“อืม ใช่” โอดิคเห็นด้วยกับเรื่องนี้
แผนการของ ‘บาทหลวง’ ทั้งตัวจริงตัวปลอมดูเผินๆ ก็เหมือนจะแยบยลลึกซึ้ง แต่ถ้าพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วจะเห็นว่าแผนของ ‘บาทหลวง’ ปลอมนั้นไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนชูอีกนิ้วขึ้นมา
“จุดที่สอง หลังจากที่ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงและพลังพิเศษของอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนผ่านทาง ‘มายาแท้จริง’ แล้ว การลงมือของ ‘บาทหลวง’ ต่อจากนั้นมันช่าง… ช่าง…”
ซางเจี้ยนเย่าเห็นอย่างนี้ก็เลยช่วยเสริมให้
“ช่างเหมือนกับไม่ได้ใช้สมองคิด”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แย้ง แล้วพูดต่อไป
“ในตอนที่เจ้าเมืองสวี่เปิดประตูออกมา ‘บาทหลวง’ นั่นไม่เห็นจำเป็นต้องตอบเลย แกล้งทำเป็นผู้คุ้มกันตัวจริงต่อไปก็ได้ และควรใช้ ‘มายาแท้จริง’ เพื่อโน้มน้าวอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนอีกครั้ง โดยปล่อยให้ผู้คุ้มกันทั้งสี่คนที่ถูก ‘สะกดจิต’ อยู่เป็นคนจัดการกับเจ้าเมืองสวี่ แต่นี่ตัวเองกลับทิ้งคนที่จะเป็นภัยคุกคามมากสุดแล้วไปช่วยรุมเป้าหมายแบบนั้น
“ถ้า ‘บาทหลวง’ ทำตามวิธีนี้ หลังจากนี้คุณก็ได้เห็นเพียงแค่รูปภาพงานศพของเจ้าเมืองสวี่แล้วล่ะ”
โอดิคครุ่นคิดก่อนจะพูด
“บางทีการ ‘สะกดจิต’ อาจจะส่งผลไม่มากพอเพราะตอนนั้นค่อนข้างฉุกละหุก เขาจึงต้องทำเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ละทิ้งหน้าที่ตัวเอง แล้วลงมือยิงเจ้าเมือง”
นี่คือคำอธิบายของอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะนั้น
“นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกัน” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกนิ้วที่สาม “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคริสติน่าของสมาคมนักล่านั่นเป็นเพื่อนเขาหรือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องนะ เอาแค่เรื่องทรัพยากรที่ ‘บาทหลวง’ ถือครองและกองกำลังที่หนุนหลังเขาอยู่ การที่เขาเลือกใช้ปืนยิงเพื่อสังหารแบบนั้น เหมือนทำลวกๆ ไปหน่อย
“ทั้งๆ ที่สามารถใช้การขว้างระเบิด ปล่อยแก๊สพิษ หรือไม่ก็ระเบิดแรงสูงควบคุมระยะไกลซึ่งผลิตโดย ‘ออเรนจ์คอมพานี’ โจมตีในระยะห่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเจอแบบนี้เข้า ถึงอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนอยากจะปกป้องเขาก็ยากที่จะทำได้ หรือไม่ก็ช่วยได้ไม่ทันการ”
ความหมายของเธอก็คือ ไม่จำเป็นที่ ‘บาทหลวง’ จะต้องเข้าไปแฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มผู้คุ้มกันด้วยตนเอง เขาสามารถใช้คนอื่นที่ถูก ‘สะกดจิต’ แล้วก็พลีชีพแทนได้ เพราะไม่ว่ายังไงผู้คุ้มกันทั้งสี่คนนั่นก็เชื่อสนิทใจไปแล้วว่าในทีมมีอยู่ห้าคน ที่จำเป็นก็มีเพียงแค่ให้คนที่จะพลีชีพนั้นปรากฏขึ้นในอิทธิพลของ ‘มายาแท้จริง’ แทนที่จะเป็นรูปลักษณ์ของตัว ‘บาทหลวง’ เอง
“นี่มันผิดปกติจริงๆ” โอดิคใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนและพบว่าหากให้นักล่าหญิงเบื้องหน้าผู้นี้เป็นคนวางแผนแล้วละก็ เจ้าเมืองสวี่คงจะตายแล้วตายอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พลันตบมือขึ้น พูดราวกับว่าในที่สุดทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว
“ผมเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นโอดิคมองมาที่ตนเอง เขาก็พูดอย่างจริงจัง
“‘บาทหลวง’ กำลังเล่นกับเจ้าเมืองสวี่อยู่!”
มุมปากของโอดิคกระตุกเล็กน้อย ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
“ดูเหมือนว่า ‘บาทหลวง’ ไม่ได้ต้องการฆ่าเจ้าเมืองสวี่
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงต้องพยายามลงแรงถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งเปิดเผยตัวจริง ทั้งโจมตีเจ้าเมืองสวี่ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่”
แล้วในตอนนี้ ในใจของโอดิคก็มีคำหนึ่งผุดขึ้นมาทันที
‘สะกดจิต’ !
‘บาทหลวง’ พยายามเต็มที่เพื่อจะเข้าใกล้สวี่ลี่เหยียนและสบตาอีกฝ่ายเพื่อ ‘สะกดจิต’
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ราวกับได้ข้อสรุปเช่นนี้เหมือนกัน เธอรีบถามขึ้น
“ตอนนี้เจ้าเมืองสวี่อยู่ไหน”
“ในห้องประชุมสภาขุนนาง กำลังหารือเกี่ยวกับการรับมือการก่อจลาจลของคนเร่ร่อนแดนร้างกับพวกขุนนางทั้งหมด…” โอดิคเพิ่งจะพูดถึงตรงนี้ก็พลันเข้าใจเรื่องราวอย่างกระจ่างแจ้งทันที
นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม ‘บาทหลวง’ ถึงชักนำให้พวกคนเร่ร่อนแดนร้างก่อจลาจล
“ไป!” โอดิคกลับหลังหันรีบพุ่งออกไปจากห้องโถงด้านข้างอย่างไม่รอช้า
ในขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วย