ไป๋เฉินไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับความใฝ่ฝันเล็กๆ น้อยๆ เรื่องนี้ของหลงเยว่หง เธอหาเก้าอี้ที่อยู่ริมๆ จัตุรัสนั่งลงไปแล้วมองดูชั้นฝึกนี้อย่างเงียบๆ
หลังจากกลับไปที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ และได้พบกับเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าแล้ว เธอก็ไม่ได้รอให้ฟ้ามืด แต่พาหลงเยว่หงไปที่ไนต์คลับ ‘วันนี้’ ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพื่อไปดูว่าตลาดใต้ดินเปิดหรือเปล่า
บ้านของ ‘ลุงซุน’ ซุนเฟยนั้นไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกับไนต์คลับ ‘วันนี้’ แต่อยู่ที่ถนนเหนือ ทว่าในตอนนี้เขามาถึงตรอกหมาป่าไพรและอยู่ในห้องทำงานของเขาเรียบร้อยแล้ว
เป็นเพราะเหตุการณ์ของยูจีนในวันนั้นจึงทำให้ซุนเฟยจำไป๋เฉินได้ หลังจากได้รับข้อความแล้ว เขาก็ให้ผู้คุ้มกันพาคนทั้งสองไปที่ลิฟต์ที่สร้างเพิ่มเป็นพิเศษ ขึ้นไปยังชั้นบนสุด
“เถ้าแก่ พวกเขามาแล้ว” เมื่อเปิดประตูห้องทำงานออก คนคุ้มกันก็พูดด้วยความเคารพ
ห้องทำงานของซุนเฟยนั้นแตกต่างไปจากที่หลงเยว่หงคาดไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีโต๊ะทำงาน ไม่มีชั้นวางหนังสือ ไม่มีเก้าอี้ มีเพียงฉากสีดำซึ่งดูแล้วไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ และมีแท่นบูชางามสง่าในสีเดียวกัน
ด้วยการทุบผนังของห้องเล็กๆ สองสามห้องให้รวมเป็นห้องใหญ่ห้องเดียวและการตกแต่งอย่างชาญฉลาด จึงทำให้ห้องดูโล่งกว้างและเงียบสงบ
ซุนเฟยซึ่งมีจอนผมสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะวางพื้น ด้านหลังเขานั้นเป็นแท่นบูชาสูง ส่วนด้านหน้าเป็นชุดโต๊ะน้ำชาที่ทำจากไม้มะเกลือ
มือข้างหนึ่งของเขาถือพวงลูกประคำข้อมือ ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นหยิบกาใบเล็กๆ รินน้ำชาสีอำพันลงในถ้วย
กลิ่นหอมลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบทั้งกายและใจ
“ลุงซุน” ไป๋เฉินทักทาย
“นั่งสิ” ซุนเฟยวางกาน้ำชาแล้วยิ้มให้
เขาสวมชุดแบบโบราณสีดำ รอบกายเขามีหม้อหลายใบตั้งไว้ เผาด้วยถ่านไร้ควัน
นี่ทำให้ทั้งห้องทำงานนั้นมีความอบอุ่น
ไป๋เฉินไม่มัวแต่เกรงใจ ดึงหลงเยว่หงให้นั่งคุกเข่าลงบนเบาะฝั่งตรงข้ามกับซุนเฟย
เธอไม่ได้นั่งขัดสมาธิ เพราะหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาจะลุกขึ้นไม่สะดวก
ซุนเฟยใช้นิ้วนับลูกประคำในขณะที่ยิ้มให้พวกเขา
“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของยูจีน”
หมายความว่ายังไง… หลงเยว่หงรู้สึกจิตใจเขม็งเกลียวขึ้นมาเล็กน้อย แต่พยายามไม่แสดงออกมาให้เห็น
เขารู้สึกว่าถ้อยคำของลุงซุนนั้นพูดเป็นนัยว่าพวกเขาเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการโจมตียูจีน
“เขาตายแบบนี้มันง่ายดายไปหน่อย” ไป๋เฉินตอบอย่างสงบเยือกเย็น
ขณะที่พูดประโยคนี้เธอก็เจตนาดึงผ้าพันคอสีเทารอบคอเธอ
“ไม่ว่ายังไงนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ฉันกับน้องชายรู้สึกซาบซึ้งใจต่อผู้ที่ลงมือมาก” ซุนเฟยพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง “นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในเขตอิทธิพลของ ‘ปฐมนคร’ และมีครอบครัวมีธุรกิจที่ต้องดูแล ทำให้ถูกมัดมือมัดเท้า ลงมือไม่สะดวก ยูจีนไม่มีทางมีชีวิตจนมาถึงปีนี้ได้หรอก ฮ่า ฮ่า จะว่าไปแล้ว องค์พุทธโพธิมีจิตเมตตา ให้โอกาสเขาได้สำนึกผิดกลับตัวกลับใจ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมคว้าเอาไว้”
พูดแบบนี้หมายความว่าต่อให้ครั้งนี้ยูจีนไม่ตาย แต่ก็ไม่มีทางออกจากเมืองหญ้าไพรไปได้อย่างมีชีวิตงั้นเหรอ เดี๋ยวนะ ฉันจะคิดแบบนั้นไม่ได้ เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘นิกายจิตกระจ่าง’ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้ตื่นรู้ อาจมีพลัง ‘ประสานใจ’ ก็ได้… หลงเยว่หงรีบเบี่ยงเบนความคิดไปเป็นเรื่องอื่นทันที
จากนั้นสิ่งที่แว่บเข้ามาในหัวของเขาก็คือเรื่องที่ประทับอยู่ในใจเขาอย่างลึกซึ้งมากที่สุด
เป็นบุคคลที่ใช้สีหน้าน่ารังเกียจพูดประโยคว่า
“เฮ้อ ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วก็ยังสูงแค่ 175…”
เฮ้อ… หลงเยว่หงถอนใจ แล้วพยายามนึกว่าในช่วงสองสามวันมานี้เขากินอะไรไปบ้าง
แล้วในขณะนี้เขาก็มองเห็นว่าลุงซุนมองมา หลังจากสบตากันลุงซุนก็คลี่ยิ้มให้
“คุณศรัทธาในองค์พุทธะโพธิงั้นเหรอ” ไป๋เฉินจับใจความสำคัญที่อยู่ในคำพูดของซุนเฟยได้
ซุนเฟยตอบด้วยน้ำเสียงไร้กังวล
“ยิ่งฉันมีอายุนานขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น ก็ยิ่งเชื่อการดำรงอยู่ของผู้ครองกาลมากขึ้น
“อายุฉันก็ปูนนี้แล้ว ร่างกายก็เสื่อมถอยลงไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตใจและควบคุมอารมณ์มากขึ้นเป็นธรรมดา”
ถ้าซางเจี้ยนเย่าอยู่นี่ มั่นใจได้เลยว่าเขาต้องพูดว่า คุณไปหาชุมนุมหลวงจีนให้พวกเขาช่วยย้ายจิตเพื่อเปลี่ยนไปเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นได้นะ… หลงเยว่หงพูดพึมพำอยู่ในใจ
ซุนเฟยกวาดสายตามองเขาและไป๋เฉิน สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“วิถีแห่งชุมนุมหลวงจีนนั้นผิด
“กายสังขารเป็นเลือดเนื้อ จิตสำนึกดำรงชั่วนิรันดร์ นี่ไม่ได้บอกให้แทนที่ร่างเนื้อกายสังขารด้วยสิ่งอื่น แต่หมายถึงว่าให้จิตสำนึกนั้นแม้ว่าจะออกจากร่างกายไปแล้วก็ยังสามารถดำรงคงอยู่ได้ ไม่สูญสลายหายไป นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิถีพุทธอันเที่ยงแท้ ผู้ใดเห็นจิตได้กระจ่าง ผู้นั้นย่อมเห็นองค์ตถาคต
“นี่ก็คือรูปแบบการดำรงอยู่ของเหล่าผู้ครองกาล”
อาจเป็นเพียงแค่รูปแบบการดำรงอยู่ของผู้ครองกาลตามความเชื่อของนิกายคุณก็ได้… ว่ากันตามตรง หากเทียบกับแนวคิดของซุนเฟยแล้ว หลงเยว่หงเชื่อใน ‘วิถีแห่งเทคโนโลยี’ มากกว่า และรู้สึกว่าคำอธิบายของอาจารย์เซนจิ้งฝ่านั้นมีความสมเหตุสมผลมากกว่า มีความตระหนักรู้ในเส้นทางที่ชัดเจนกว่า
หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าหลวงจีนจักรกลพวกนี้พอได้ยินอะไรผิดหูนิดเดียวก็เข้าโหมดคลั่ง หรือว่ามีการกระทำบางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขบขันแล้วละก็ หลงเยว่หงก็คงจะเชื่อมั่นหมดใจไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แย้งซุนเฟยออกมาตรงๆ นั่งฟังไปเงียบๆ อย่างรักษามารยาทไว้
“อย่างนี้เอง…” ไป๋เฉินไม่ได้แสดงความเห็นอะไรต่อแนวคิดของซุนเฟย
ในฐานะเพื่อนร่วมทีมที่ได้มาตรฐาน เธอจำต้องเอ่ยปากถามออกมาด้วยความลังเลเล็กน้อย
“นิกายที่คุณศรัทธามีศีลมหาสนิทหรือเปล่า มันเป็นอะไรเหรอ”
ซุนเฟยนิ่งอึ้งไป
“ศีลมหาสนิทของพวกเราคืออาหารมังสวิรัติ ไม่ได้หรูหราอะไร แค่เอาหัวไชเท้าต้มน้ำเปล่าก็ได้แล้ว”
“คุณไม่กินเนื้องั้นเหรอ” หลงเยว่หงถามอย่างแปลกใจ
ซุนเฟยส่ายหน้า
“นั่นเฉพาะศีลมหาสนิทน่ะที่ไม่มีเนื้อไม่มีปลา แต่ในเวลาปกติแล้วขอเพียงไม่ใช่สัตว์ที่ลงมือฆ่าเอง เนื้ออะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละ”
ดูแล้วพวกคุณกับซางเจี้ยนเย่าคงไม่มีวาสนาต่อกัน… หลงเยว่หงถอนหายใจพลางรู้สึกยินดีแทนพวกเขา
หลังจากคุยสัพเพเหระกันไป ไป๋เฉินก็เข้าประเด็นสำคัญ
“ลุงซุน คุณมีพวกอาวุธควบคุมหรือเปล่า อย่างพวกเกราะเสริมแรงทางทหาร หรือไม่ก็ชุดเกราะไบโอนิกน่ะ”
“ของพวกนั้นหามาได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน” ซุนเฟยสั่นศีรษะ “ถึงแม้ว่าบางครั้งจะหามาได้สักชุดสองชุด แต่ก็ขายหมดในพริบตาเลยแหละ”
เขาครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะพูดเสริม
“แต่ถ้าพวกคุณต้องการจริงๆ ก็ลองมุ่งหน้าลงใต้ ไปที่ชุมชนศิลาแดงดูว่ามีหรือเปล่า”
สำหรับไป๋เฉินแล้ว ชุมชนศิลาแดงไม่ใช่สถานที่แปลกอะไร
มันอยู่ใกล้กับทะเลสาบพิโรธ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองกำลังใดๆ ทั้งสิ้น
บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ รวมกับข้อที่ว่ามีการพึ่งพาใกล้ชิดสนิทแน่นกับ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ และอยู่บนเส้นทางสัญจรหลักเพื่อไปยัง ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ ‘สวรรค์จักรกล’ และสถานที่สำคัญอื่นๆ มันจึงค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าของเถื่อน
หรือพูดได้อีกอย่างว่ามันค่อนข้างวุ่นวายสับสน ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ความแข็งแกร่งของสมาคมนักล่าก็สู้เมืองหญ้าไพรไม่ได้
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงดูงุนงงอยู่บ้าง ซุนเฟยจึงอธิบายให้ฟัง
“ที่นั่นค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เป็นจุดขนถ่ายของเถื่อนขนาดใหญ่
“สินค้าของฉันส่วนใหญ่ก็มาจากที่นั่นแหละ”
มันอยู่ในเขตอิทธิพลของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ งั้นสินะ มิน่าล่ะ… หลงเยว่หงเข้าใจได้ในทันที
‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เป็นกองกำลังใหญ่ซึ่งอยู่ในลุ่มแม่น้ำแดง เพียงแต่ว่าไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่หลักของแม่น้ำแดง แต่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำทองคำ
มันตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ‘ปฐมนคร’ ในช่วงแรกๆ หลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลง มันถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยโรงงานและฟาร์มต่างๆ ในสังกัดของกองกำลังขนาดเล็กจำนวนมาก
ภายใต้แรงกดดันและการรุกรานจาก ‘ปฐมนคร’ พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์แบบห่วงโซ่อุตสาหกรรม และค่อยๆ พัฒนาเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างแบบบริษัทอย่างหลวมๆ ซึ่งแตกต่างไปจากโครงสร้างของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เป็นอย่างมาก
ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของพวกเขาก็คือ ‘ทำเนียบอธิบดี’ ซึ่งมีบริษัทย่อยและบริษัทลูกอยู่ในสังกัดมากมาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเต็มเวลา มีการผลิตอาวุธ มีอุตสาหกรรมเบา มีบริษัทพี่น้องที่สามารถผลิตเหล็กกล้าได้เพียงพอต่อความต้องการและค่อนข้างครอบคลุมทุกหมวดหมู่ เรียกได้ว่าเป็นระบบอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในแดนธุลี
อาวุธหนักของพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักกันดีในแดนธุลี เป็นกำลังหลักที่ส่งออกชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงเข้าใจแล้ว ซุนเฟยก็พูดต่อ
“ถ้าหากพวกคุณต้องการชุดเกราะเสริมแรงทางทหารจากชุมชนศิลาแดง จะให้ดีก็ควรมีเงินสกุลแข็งอยู่บ้าง
“พวกคุณก็รู้ สิ่งที่จำกัดการพัฒนาและการขยายตัวของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เอาไว้ก็คือของจำพวกน้ำมันเชื้อเพลิง ถ่านหิน เกลือ ชิปสมองกล แล้วก็แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ทางที่ดีก็ควรใช้ของพวกนี้เป็นเงินตรา
“ฮ่า ฮ่า อย่าไปจำกัดตัวเองแค่เรื่องอาวุธควบคุมเท่านั้น มีของดีๆ อยู่ในชุมชนศิลาแดงอยู่เต็มไปหมด ใบชาพวกนี้ก็มาจากทางตอนใต้ของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ พวกกองกำลังอย่าง ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ ในภูเขาโบราณมีความต้องการสูงมาก”
ราวกับว่าเขากำลังชี้แนะให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงรู้วิธีสร้างรายได้
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋เฉินไม่ได้ถามอะไรต่อ
หลงเยว่หงคำนวณทรัพย์สินของทีมที่ยังเหลืออยู่ และพบว่ามีเหลือเพียงแค่ไว้ให้พอกินเท่านั้น นอกเสียจากว่าจะขายรถออฟโรดกันกระสุนที่สวี่ลี่เหยียนให้มา
* * * * *
วันถัดมา ซางเจี้ยนเย่าซึ่งแวะไปกินไปดื่มฟรีที่คฤหาสน์เจ้าเมืองเป็นประจำทุกวัน ก็ได้พบกับสวี่ลี่เหยียนอีกครั้ง
สวี่ลี่เหยียนไล่ผู้ช่วยออกไปหมด เหลือไว้เพียงแค่อาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนเท่านั้น
เขามองมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งอยู่ด้านข้างซางเจี้ยนเย่าแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย
“ผมได้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว สำหรับการพัฒนาเมืองหญ้าไพรในระยะยาวนั้นจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกัน
“แต่ว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องลงนามเซ็นสัญญากันหรอก ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
เขาไม่ต้องการให้ข่าวเรื่องการเซ็นสัญญาหลุดรอดออกไป แล้วชักนำให้ ‘ปฐมนคร’ มีข้ออ้างเข้ามาแทรกแซง
และก็ไม่แน่ว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ อาจยกเรื่องสัญญามาข่มขู่เขาก็ได้
“ไม่มีปัญหา” เจี่ยงไป๋เหมียนผู้ซึ่งมี ‘อำนาจตัดสินใจอย่างเต็มที่’ ตอบรับการเจรจาในทันที
“ถ้าอย่างนั้น… จะเริ่มกันเมื่อไหร่ดี” สวี่ลี่เหยียนเอ่ยปากถามเพราะทนรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ต่อให้ฉันรายงานเรื่องนี้กลับไปที่บริษัททันที และให้คนนำอวัยวะชีวภาพมาปลูกถ่ายให้คุณ คุณก็คงไม่กล้าใช้หรอก คุณไว้ใจพวกเรามากขนาดนั้นเลยหรือไง”
สวี่ลี่เหยียนถูกคำพูดนี้ทำให้เงียบไป
แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ไว้วางใจ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ อย่างเต็มที่
“พวกเราจะเริ่มต้นกันด้วยความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานที่สุดก็แล้วกัน ค่อยๆ สร้างความไว้วางใจขึ้นทีละน้อย” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกทบทวนเนื้อหาในโทรเลขแล้วพูดต่อ “จากนั้นเราจะจัดเตรียมยาปรับปรุงพันธุกรรมไว้ ให้ทางคุณเตรียมพวกโลหะและแร่ต่างๆ ในมูลค่าที่เทียบเท่ากันเพื่อแลกเปลี่ยน จะเป็นแร่อะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ถึงแม้ว่าคุณจะผ่านช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการปรับปรุงพันธุกรรมไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร คุณยังคงได้รับผลการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างและรับประกันความปลอดภัยได้ อ้อ คุณจะเตรียมยาพวกนี้เอาไว้ให้ทายาทในตระกูลก็ได้นะ”
สวี่ลี่เหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตกลง”
* * * * *
หลังจากรายงานเรื่อง ‘นิกายทอนปัญญา’ และเรื่องของสวี่ลี่เหยียนไปแล้วโดยใช้เครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ก็รอจนกระทั่งเกือบเวลาเย็นของวันถัดไปถึงจะได้รับคำตอบกลับมา
เนื้อหาที่ตอบกลับมาหลักๆ คือ
‘รับทราบ จะจัดพนักงานให้มาดูแลเรื่องนี้ต่อ ก้าวต่อไปของทีมคุณก็คือ
ให้ติดตามเบาะแสจาก ‘สวรรค์จักรกล’ ดำเนินการสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าอย่างเจาะลึก’