ชายคนที่ถูกซางเจี้ยนเย่าใช้ปืนจ่อหน้าผากอยู่นั้นดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งแดนธุลีกับแม่น้ำแดง เขามีผมสีดำดวงตาสีน้ำตาล ดั้งจมูกโด่ง เบ้าตาลึก
เขาสวมเสื้อผ้าสีเทาคล้ายกับสภาพแวดล้อมภายในอาคารนี้ เหมือนจะได้พรางตัวได้ตลอดเวลา
เมื่อได้ยินคำถามของซางเจี้ยนเย่า เขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ พูดเน้นย้ำ
“โลกนี้อันตรายมาก ขนาดตอนที่อารยธรรมของมนุษย์แข็งแกร่งมากยังต้านไว้ไม่ไหวเลย นับประสาอะไรกับพวกเราในตอนนี้
“ถ้าหากไม่ตื่นตัวอยู่ตลอด ถ้าหากว่าไม่ซ่อนตัวอยู่เสมอ พวกเราก็คงถูกทำลายไปตั้งนานแล้วล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนที่เดินมาถึงแล้ว เธอหยุดไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าซักถามไต่สวนอะไรอีก
“คุณเป็นคนจากชุมชนศิลาแดงหรือเปล่า”
“ใช่” ชายผู้นั้นยืนยัน จากนั้นก็พูดต่อ “แต่พวกคุณห้ามเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ต้องคอยระวังไว้ด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคนพูดแบบนี้ ฟังแล้วก็รู้สึกตลก เธอพยักหน้าเบาๆ
“เราก็ระวังอยู่ตลอดนั่นแหละ
“อ้อ ใช่ ชุมชนศิลาแดงอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ที่ไหนสักแห่งในซากปรักนี้” ชายคนนั้นมองไปยังห้องโถงของอาคาร “ในเมื่อผมซ่อนตัวไม่สำเร็จ ถูกพวกคุณเจอตัว งั้นผมจะพาพวกคุณไปก็แล้วกัน”
“ได้สิ คุณชื่ออะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เป็นคนกล้าหาญชาญชัยไม่น้อย
“ผมชื่อเกาดี้” ชายคนนั้นตอบ “นี่อาจเป็นชื่อปลอมก็ได้ พวกคุณห้ามเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา”
ซางเจี้ยนเย่าซึ่งอยู่ข้างเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาราวกับได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
เขาเก็บ ‘มอสน้ำแข็ง’ กลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“นำทางไป พอไปถึงชุมชนศิลาแดง ผมสัญญาว่าจะคืนอิสรภาพให้คุณ
“แต่อาจจะโกหกก็ได้ คุณห้ามเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา”
เกาดี้ผงกศีรษะตอบรับ ก้าวนำไปทางห้องโถง เดินไปได้สองสามก้าวก็พูดขึ้น
“ห่างกันไว้คือสหายที่ดี”
เมื่อออกจากอาคารมา ซางเจี้ยนเย่าก็ให้เขาเข้าไปในรถจี๊ป นั่งที่เบาะหลังตรงกลาง ทำหน้าที่บอกทาง
ครั้งนี้ไป๋เฉินเป็นคนขับ
ในระหว่างที่รถเคลื่อนที่ไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถือโอกาสพูดคุยกับเขา
“คุณนับถือนิกายอะไรเหรอ”
“นิกายตื่นตัว” เกาดี้ตอบด้วยภาษาแดนธุลีคล่องปาก “แต่พวกคุณ…”
“พอแล้ว! พวกเราจำได้แล้วน่า” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดขัดจังหวะการพูดซ้ำของอีกฝ่าย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหน คำสอนว่าไงบ้าง พวกเรารู้สึกสนใจน่ะ”
“ศีลมหาสนิทคืออะไร” ซางเจี้ยนเย่าซึ่งอยู่อีกฝั่งเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม
สีหน้าของเกาดี้กลายเป็นสาวกผู้เคร่งขรึม
“พวกเราศรัทธาในผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบ องค์เทพี ‘ธชียมโลก’
“ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย พระองค์ก็เป็นที่เคารพสักการะอย่างแพร่หลายในบางพื้นที่แล้ว
“ที่พวกเราชื่อว่านิกายตื่นตัวก็เพราะองค์เทพี ‘ธชียมโลก’ บอกพวกเราว่าโลกนี้คืออันตราย การตื่นตัวจึงเป็นสัญชาตญาณที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคน หลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป คนที่ไม่มีจิตแห่งการตื่นตัวนั้นยากที่จะรอดพ้นจากพิบัติภัยไปได้ ยากจะอยู่รอดจนกระทั่งโลกใหม่มาถึง
“การตื่นตัวคือวิวรณ์จากองค์เทพี”
พูดมาถึงจุดนี้ เกาดี้ก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาไขว้ไว้ที่หน้าอกในท่าป้องกัน
“แล้วไงอีก” ซางเจี้ยนเย่าพูดกระตุ้น
เกาดี้หันไปมองเขา
“พวกเราไม่มีศีลมหาสนิท คุณกล้าดื่มน้ำ กล้ากินอาหารที่ไม่ได้เตรียมมาเองหรือไง
“เมื่อเราเข้าร่วมพิธีมิสซาและพิธีอื่นๆ แต่ละคนต่างก็นำน้ำต้ม นำอาหารที่ทำเองติดตัวกันไปเอง”
“ตื่นตัวกันตลอดจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นออกมาประโยคหนึ่ง แล้วเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้มยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
“พวกเราคงไม่มีวาสนาต่อกัน”
ในขณะที่เกาดี้กำลังมึนงงอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามคำถามอื่นต่อ
“พวกคนชุมชนศิลาแดงของคุณเป็นสาวกนิกายตื่นตัวกันหมดเลยเหรอ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ มีน้อยคนมากที่ไม่ได้เป็น คนนอกอย่างพวกคุณก็เป็นไม่ได้เหมือนกัน” เกาดี้พูดอย่างภาคภูมิใจ “ตั้งแต่ก่อตั้งชุมชนศิลาแดงเป็นต้นมา ที่นี่ก็ถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งมีคนบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย ในตอนนั้นมีคนมาเผยแพร่นิกายกันมากมายหลายคณะ แต่ละคนก็ศรัทธาแตกต่างกันไป แต่หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ พบว่าหลักคำสอนและแนวคิดของนิกายตื่นตัวนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด องค์เทพี ‘ธชียมโลก’ นั้นเป็นผู้ครองกาลที่ทรงเมตตาเวทนาชาวโลกมากที่สุด หลังจากนั้นทุกคนก็เลยเปลี่ยนมาศรัทธานิกายตื่นตัวกันโดยอัตโนมัติ จำนวนครั้งที่พวกเราถูกโจมตีก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้บาดเจ็บล้มตายก็เช่นเดียวกัน”
น่าจะเป็นเพราะหลังจากที่แดนธุลีค่อยๆ ฟื้นคืนระเบียบขั้นต้นขึ้นมาได้แล้ว สถานการณ์เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทาง ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เองก็จำเป็นต้องมีพวกลักลอบค้าของเถื่อนเพื่อเป็นตัวกลางสำหรับทำการค้าที่ไม่สะดวกออกหน้า… ในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนพบคำอธิบายอย่างอื่น
แต่เนื่องจากเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่นี้ เธอจึงไม่สามารถหักล้างเหตุผลของเกาดี้ในเรื่องนี้ได้
ก็เธอไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่าเสียหน่อย
ด้วยการ ‘สั่งการ’ ของเกาดี้ รถจี๊ปก็ขับอ้อมบริเวณที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เข้าไปยังบริเวณเปิดโล่งซึ่งมีต้นไม้สีเขียวอยู่มากมาย
“ที่นี่คือสวนสาธารณะของโลกเก่างั้นหรือ” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาจากความรู้ที่ตนมี
“ก็ประมาณนั้นแหละ พวกเราคิดว่าเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เกาดี้กำลังจะพูดประโยคติดปากออกมา แต่ก็มาถึงทางแยกด้านหน้าเสียก่อน
เขาจึงต้อง ‘สั่งการ’ ต่อ
“เลี้ยวขวา ไปจนสุดทาง”
ไม่นานนักไป๋เฉินก็ขับรถจี๊ปมาถึงเนินเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ที่นี่มีถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ปากถ้ำกว้างขนาดให้รถผ่านเข้าออกได้สี่คันพร้อมกัน
ถนนที่นำไปยังใต้ดินนั้นได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี พื้นผิวนั้นเรียบมาก
“ที่แท้ชุมชนศิลาแดงอยู่ใต้ดินนี่เอง…” หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นมาในทันที
เพราะเขาคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้
เพิ่งจะพูดขาดคำ กระบอกปืนก็โผล่ออกมาจากรูบนผนังทางเข้าถ้ำทั้งสองฝั่ง และดูเหมือนจะมีปืนใหญ่เล็งมาจากส่วนลึกของถ้ำอีกด้วย
“ผมจะลงไปทักทายพวกเขาก่อน” เกาดี้พูดมาประโยคหนึ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่งให้ไป๋เฉินถอยรถจี๊ปออกไปให้พ้นจากวิถีการยิงของปืนใหญ่ก่อนแล้วค่อยเปิดประตูให้เกาดี้ลงจากรถ
“ไม่เลว ระวังตัวดีมาก” เกาดี้ชมออกมาประโยคหนึ่ง
เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วโบกมือให้ ลำกล้องปืนที่ยื่นออกมาและปืนใหญ่ก็หดกลับเข้าไป
จากนั้นไป๋เฉินก็ขับรถไปรับเขาขึ้นมาแล้วเข้าไปในถ้ำ อ้อมผ่านถนนที่เปียกแฉะอย่างหนัก
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงลานจอดรถ
“ไปจอดตรงจุดที่ใกล้กับชุมชนศิลาแดงมากที่สุด” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ เพื่อจดจำสภาพภูมิประเทศ
“ทุกคนก็จอดที่นั่นกันหมดแหละ” เกาดี้แสดงท่าทีว่านิกายตื่นตัวเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
พวกเขาต่างก็เตรียมตัวสำหรับการออกจากชุมชนศิลาแดง พร้อมจะขับรถออกไปได้ทุกเมื่อ
“วีรชนมักคิดเห็นตรงกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ถ้างั้นก็หาที่ว่างใกล้ๆ ก็แล้วกัน”
หลังจากวนหาสักพักพวกเขาก็ได้ที่จอด จากนั้นก็เดินผ่านบานประตูไม้สองบานติดต่อกัน แล้วก็มองเห็นชุมชนศิลาแดง
ที่นี่นั้นราวกับว่าสร้างเลียนแบบอาคารที่อยู่ด้านนอก เพียงแค่ว่ามันถูกสร้างอยู่ใต้ดิน
ด้านล่างสุดเป็นลานจัตุรัสซึ่ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่อยู่ชั้นบนสุดก้มลงมาก็สามารถมองเห็นได้โดยตรง
ลานจัตุรัสถูกล้อมด้วยวงกลมขึ้นไปเป็นชั้นๆ และในตำแหน่งซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าของแต่ละชั้นนั้นเชื่อมต่อกันด้วยบันไดเลื่อน
พื้นที่ของแต่ละชั้นเปิดไฟฟ้าสว่างไสว มีร้านค้าตั้งแยกกันเป็นร้านแต่ละร้าน และมีร้านแขวนป้าย ‘ค้าอาวุธ’ ส่วนอีกร้านแขวนป้ายที่เขียนว่า ‘สำนักงานชุมชนศิลาแดงของบริษัทน้ำมันนอกชายฝั่ง’
เพียงแค่เหลือบมอง หลงเยว่หงก็เห็นว่าที่นี่มีข้าวของขายเกือบทุกชนิด แถมยังขายกันอย่างเปิดเผยยิ่งกว่าตลาดใต้ดินที่เมืองหญ้าไพรด้วย
ปัญหาเดียวก็คือในร้านพวกนี้ไม่มีสินค้าตัวอย่างตั้งแสดงให้เห็น มีเพียงแค่โต๊ะ เก้าอี้ และตู้เก็บของตั้งอยู่เท่านั้น แม้แต่คนขายก็ยังไม่มี!
“ถ้าต้องการทำการค้าในชุมชนศิลาแดง ก่อนอื่นก็ต้องหาเถ้าแก่ร้านให้เจอเสียก่อน” ในระหว่างที่เกาดี้แนะนำ เขาก็หยิบหน้ากากผ้าออกมาจากกระเป๋า คลี่ออกแล้วสวมไว้บนหน้า
นี่ทำให้เขาแลดู ‘ดุร้ายป่าเถื่อน’
“น่าสนใจ” ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าสดใสเจิดจ้ากว่าปกติ
เขาพรวดพราดออกไปก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะหยุดเขาได้ทัน เพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงร้านค้าที่ใกล้ที่สุดแล้ว เป็นร้าน ‘ใบชาแม่น้ำทองคำ’
จากนั้นเขาก็เคาะก๊อกๆๆ ที่ฝาตู้ไม้สองสามครั้ง
“คุณแพ้แล้ว!” พูดจบเขาก็วิ่งกลับมาอยู่ข้างเจี่ยงไป๋เหมียนเหมือนเดิม
ถัดมาไม่กี่วินาที ฝาตู้ไม้เปิดออกมาอย่างช้าๆ จากนั้นชายวัยกลางคนซึ่งมีความสูงไม่เกิน 160 เซนติเมตรก็มุดออกมาจากข้างใน
เขาลูบเคราสีดำของตนเอง มองไปรอบร้านด้วยความงุนงงสงสัย ไม่เห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นคนหาตัวเองเจอ
“นี่เป็นประเพณีของชุมชนศิลาแดงเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม ละสายตากลับมาแล้วพูดกับเกาดี้ “พาพวกเราไปที่สมาคมนักล่าของที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
“อยู่ชั้นล่างสุดน่ะ” เกาดี้เดินนำไปยังบันไดเลื่อนที่อยู่ด้านข้าง
ในระหว่างที่บันไดเลื่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวลง เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วถามขึ้นมา
“พวกคุณใช้อะไรผลิตกระแสไฟฟ้าให้ที่นี่กันหรอ”
“ก็ใช้พวกเครื่องปั่นไฟพลังดีเซล แผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ แล้วก็ไฟฟ้าพลังน้ำ” เกาดี้ตอบ
ซางเจี้ยนเย่าถามแทรกขึ้น
“มิสซาพวกคุณเป็นอะไร ใช่แข่งซ่อนหาว่าใครแอบได้เก่งกว่าหรือเปล่า”
เขาดูตื่นเต้นสนใจในเรื่องนี้มาก
เกาดี้พยักหน้า
“นั่นก็คือพิธีการ
“มิสซาครั้งก่อนผมถูกเจอตัวเป็นสิบคนสุดท้าย”
นี่มันเป็นนิกายเล่นซ่อนหาชัดๆ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบเสียดสีในใจ
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ
“แล้วใครเป็นอันดับหนึ่ง”
“วีล” เกาดี้พูดด้วยความชื่นชม “จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครเจอตัวเขาเลย”
“…มิสซาของคุณจัดมานานแค่ไหนแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งอึ้งไป
เกาดี้ตอบด้วยความสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมเธอถึงถามเช่นนี้
“ตั้งแต่สามวันก่อน”
“งั้นก็แล้วไป…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก
ไม่งั้นเธอคงคิดว่าวีลหายตัวไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นนักวิจัยซึ่งอ่านหนังสือจากโลกเก่ามามาก ทำให้เธออดนึกเชื่อมโยงถึงพิธีกรรมชั่วร้ายบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ แต่ละคนจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครเจอตัว ถ้าใครสามารถอยู่ได้จนจบก็จะได้รับการุณย์แห่งเทพ ได้เข้าสู่โลกใหม่โดยตรง
นี่เท่ากับว่าเป็นการบูชายัญอย่างแอบแฝง
ในอาคารใต้ดินว่างเปล่าแทบจะไร้ผู้คนเข้าออก ราวกับว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ แต่เมื่อลงมาถึงชั้นล่างสุดก็มองเห็นป้าย ‘สมาคมนักล่า’ และผู้คนประปราย
‘สมาคมนักล่า’ ที่นี่ไม่ได้ใหญ่นัก ขนาดยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของสาขาเมืองหญ้าไพรด้วยซ้ำ
และก็ยังไม่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีมากนัก มีเพียงหน้าจอขนาดใหญ่หนึ่งจอ กับหน้าต่างเคาน์เตอร์อีกหนึ่งแถวเท่านั้น
พนักงานที่อยู่ในเคาน์เตอร์สวมหน้ากากหลากหลายแบบ บ้างก็เป็นกระต่าย บ้างก็เป็นเสือ แม้แต่ถุงกระดาษเจาะรูก็ยังมี
“นี่มันก็ช่วยไม่ได้ สมาคมนักล่าไม่อนุญาตให้พนักงานซ่อนตัว ทุกคนทำได้แค่เพียงสวมหน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้าเท่านั้น” เกาดี้แนะนำ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชมออกมาจากใจ
“ดีแล้ว”
ถึงแม้ว่าการหาคนนั้นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเธอและซางเจี้ยนเย่า แต่ใครอยากจะหาเรื่องลำบากให้ตัวเองล่ะ
นอกจากว่างงานจนอยากหาเรื่องสนุกทำ
เพียงไม่นานพวกเขาก็เข้ามาข้างในสมาคมนักล่า แล้วตรงมายังเคาน์เตอร์หนึ่ง
พนักงานที่สวมหน้ากากรูปเสือรีบพูดขึ้นทันที
“ภารกิจทั้งหมดแสดงไว้ที่หน้าจอแล้ว บันทึกบนโต๊ะก็มีรายการทั้งหมดเช่นกัน
“แต่ถ้าคุณอ่านหนังสือไม่ออกก็ไปหา ‘คนนำทาง’ ได้ พวกเขาซ่อนอยู่แถวๆ นี้แหละ”