รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 185 แก่นแท้ของการซ่อน

วีล… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกแปลกใจ เหลือบมองไป๋เฉินและคนอื่นๆ

ภารกิจเพิ่งจะเริ่มก็จบลงแล้วเหรอเนี่ย

ซางเจี้ยนเย่าทุบกำปั้นขวาลงบนฝ่ามือซ้ายด้วยสีหน้าเสียใจ

ยังไม่ทันจะได้แสดงฝีมือ เป้าหมายก็โผล่ออกมาเองเสียแล้ว!

พวกเขาทุกคนเรียนภาษาแม่น้ำแดงกันมาแล้ว แม้แต่ไป๋เฉินเองก็ยังพอรู้ครอบคลุมในเรื่องที่จำเป็นต่อสถานการณ์ ถึงแม้ว่าระดับภาษาของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่อย่างน้อยการฟังพูดอ่านเขียนขั้นพื้นฐานก็ไม่มีปัญหา

วีลยิ้มแย้มแล้วตอบคำถามของมุขนายกเรนาโต้

“ผมอยู่ในช่องระบายอากาศน่ะครับ

“พวกคุณไม่เข้าใจแก่นแท้ของการซ่อน เอาแต่หาที่ซ่อนอยู่นิ่งๆ ส่วนผมจะย้ายตำแหน่งไปตามสถานการณ์ พอพวกคุณมาผมก็เปลี่ยนที่ พอพวกคุณไปผมก็กลับมา

“ปัญหาข้อเดียวก็คือต้องรู้จักอ้อมเป็นวง และอย่าให้พวกคุณได้ยินเสียงคลาน”

เรนาโต้ที่สวมหน้ากากนิ่งเงียบไปสองสามวินาที

“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว”

“ผมเตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าน่ะครับ” วีลยิ้มอย่างมีชัย “พอออกห่างจากพวกคุณไปไกลแล้ว ผมถึงจะไปห้องน้ำได้ ไปดื่มน้ำก๊อก ไปใช้ห้องส้วม”

เขาทำท่าโบกไม้โบกมือไปพร้อมกับพูดไปด้วย

“ที่นี่แหละถึงจะเป็นที่ซ่อนที่แท้จริง พวกเราอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่ราวกับว่าอยู่กันคนละโลก”

“เธอไม่ได้สวมหน้ากาก” ซางเจี้ยนเย่าระบุออกมาทันที

เขาพูดภาษาแม่น้ำแดงเช่นกัน

วีลตัวน้อยหันไปมอง ‘วานร’ ตัวสูงใหญ่

“ผมเชี่ยวชาญการปลอมตัวแบบจัดเต็มอยู่แล้ว อีกหน่อยถ้าคุณเจอผมอีกก็จำผมไม่ได้หรอก”

“ลักษณะของเธอมันเด่นเกินไป” ซางเจี้ยนเย่าเตือนเขาอย่างจริงใจ

รอยยิ้มบนใบหน้าของวีลมลายหายไปทันที

แต่เพียงแค่หนึ่งถึงสองวินาทีสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นเช่นเดิม

“ไม่มีเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้”

“มีสิ” ซางเจี้ยนเย่าชี้ที่ตัวเอง “ฉันแกล้งทำเป็นเตี้ยไม่ได้”

วีลหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วแนะนำเขาด้วยรอยยิ้ม

“หักขาทิ้งไปก็ได้นี่”

มุมปากของหลงเยว่หงกระตุก รู้สึกเหมือนว่ากำลังมองดูเด็กน้อยสองคนถกเถียงกันอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากปล่อยให้ทั้งคู่ทะเลาะกันต่อ จึงกระแอมสองครั้งแล้วส่งสัญญาณมือให้ไป๋เฉินขัดจังหวะ

ไป๋เฉินเข้าใจความคิดของเธอ รีบก้าวออกมาสองก้าวแล้วพูดกับมุขนายกเรนาโต้ของนิกายตื่นตัว

“ในเมื่อหาตัววีลเจอแล้ว อย่างนั้นภารกิจของพวกเราก็เสร็จสิ้นแล้วสินะ”

เธอไม่ได้ใช้คำพูดว่า ‘วีลออกมาเองแล้ว’ แต่เน้นว่า ‘หาตัวเจอแล้ว’

ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ตาม แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเธอรับภารกิจมาแล้ว ถึงแม้จะไม่มีผลงาน แต่ก็ได้ลงแรงไปบ้างแล้ว

นอกจากนี้เรนาโต้ก็อาจจะมอบหมายให้พวกเขาตรวจสอบสถานการณ์ว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ที่จริงแล้ววีลไปซ่อนตัวแบบไหนกันแน่

เรนาโต้ยกมือขึ้นมาลูบที่หน้ากาก

“ใช่ ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว

“แต่ในกรณีนี้ ค่าตอบแทนคงไม่มากเท่าไหร่นะ”

“ไม่เป็นไร แค่ทำตามสัญญาก่อนหน้านี้ก็พอแล้วล่ะ เรื่องเล่าเกี่ยวกับตระกูลดิมาร์โก้ถือว่าเป็นการชำระงวดสุดท้ายก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าฉันชอบฟังเรื่องเล่าพวกนี้มาก

การมีสัมพันธภาพกับนิกายตื่นตัวจะช่วยเรื่องการผจญภัยในชุมชนศิลาแดงของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้ไม่น้อย

ไป๋เฉินร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง เพื่อบ่งบอกว่าที่สมาชิกทีมคนนี้พูดออกมาก็คือความคิดของตน

“พวกคุณทั้งซื่อสัตย์ ยุติธรรม และถ่อมตัว ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมองเห็นนายอำเภอหานคนที่สอง” เรนาโต้ให้ค่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ เป็นอย่างมาก ที่ไม่พยายามดื้อดึงเรียกร้องค่าตอบแทน

“นายอำเภอหาน… ที่อยู่ สนง.รักษาความสงบฯ นั่นนะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกติดใจกับประโยคในครึ่งหลัง

เรนาโต้ผงกศีรษะ

“ถูกต้อง เขามีคุณธรรมของอัศวินส่วนใหญ่ในโลกเก่า

“ไม่อย่างนั้นแค่การเป็น ‘นักล่าอาวุโส’ ทั้งยังไม่ศรัทธาในเทพีของเรา ไม่ยอมซ่อนตัวตลอดเวลา ชาวชุมชนก็คงไม่มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์เพื่อจ้างเขามาเป็นนายอำเภอหรอก”

“น่าเหลือเชื่อชะมัด!” ซางเจี้ยนเย่ามักพูดในสิ่งที่คิดเสมอ

หลงเยว่หงพอจะคาดเดาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะตนเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน

นักล่าอาวุโสคนหนึ่งซึ่งถือกำเนิดมาเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง แต่กลับมีคุณธรรมเช่นเดียวกับอัศวินในโลกเก่า ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนน้อมถ่อมตัว เห็นอกเห็นใจ ซื่อสัตย์จริงใจ และกล้าหาญชาญชัย…

ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับหลวงจีนจักรกลที่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ตามกิเลสตัณหา โดยไม่สนหลักคำสอนใดๆ ในนิกายทั้งสิ้น

แม้แต่ไป๋เฉินซึ่งเป็นนักล่าชั้นกลางที่มีพื้นเพมาจากคนเร่ร่อนแดนร้างเองก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องตลก

เธอเองนั้นพอจะนับได้ว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมสูงส่งกว่าคนในกลุ่มนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากคุณธรรมระดับนั้นอีกมาก

หากให้ไป๋เฉินถามตัวเอง คำตอบก็คือในเรื่องความ ‘เห็นอกเห็นใจ’ เธอจะมีให้เฉพาะแค่บางคนเท่านั้น เรื่องความ ‘กล้าหาญชาญชัย’ เธอก็ยังพอจะผ่านได้แบบฉิวเฉียด

“โลกนี้มักจะมีกรณียกเว้นอยู่เสมอ” เรนาโต้ไม่ได้โต้เถียงในประเด็นนี้ “ต่อให้การกระทำของหานวั่งฮั่วจะเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง แต่ตราบใดที่เขายังแสดงต่อไปได้ เขาก็ยังคงเป็นอัศวินที่แท้จริง”

“ใช่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย

เธอสนใจในประเด็นอื่นมากกว่า

แม้ว่าคนที่นี่จะใช้ภาษาแดนธุลีกันไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของแม่น้ำแดงมากกว่า อย่างเช่นแนวคิดของอัศวิน

แน่นอนว่าหลังจากการล่มสลายของโลกเก่าและการอพยพครั้งใหญ่ของผู้คนจำนวนมหาศาล ทั้งสองวัฒนธรรมที่แพร่หลายไปทั่วโลกก็เหลือเพียงแค่ส่วนเล็กๆ แล้วก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน

เรนาโต้มองดูวีลซึ่งเตี้ยกว่าเขาค่อนข้างมาก

“เธอไปที่แท่นบูชาเทพี แล้วสวดภาวนาจนกว่าจะจบพิธีมิสซาครั้งนี้”

“ทราบแล้ว ท่านมุขนายก” วีลเดินกระโดดหย็องแหย็งไปที่ทางออก

เมื่อเดินผ่านซางเจี้ยนเย่าเขาก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่

หลังจากที่มองดูวัยรุ่นคนนี้เดินออกไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ทุบกำปั้นขวาลงบนฝ่ามือซ้าย

“น่าเสียดาย…”

เจี่ยงไป๋เหมียนแอบกลอกตาใส่

เธอรู้ว่าที่ซางเจี้ยนเย่าบอกว่าน่าเสียดายก็เพราะว่าตัวเองสวมหน้ากากอยู่จึงไม่สามารถแลบลิ้นปลิ้นตาคืนได้

เรนาโต้ไม่ได้ถามซางเจี้ยนเย่าว่าเสียดายอะไร เขาชี้ไปด้านหน้าแล้วพูดด้วยภาษาแดนธุลี

“พ่อค้าอาวุธรายใหญ่สุดของชุมชนศิลาแดงอยู่ที่นั่น”

“มิสเตอร์ดิมาร์โก้งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

นี่หมายความว่าเราจะได้พบเจ้าเมืองกิตติมศักดิ์ที่ไม่เคยออกจากที่หลบภัยใต้ดินนะสิ

ถึงแม้ว่าจะเป็นการพบกันผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังดี

ขอเพียงแค่สามารถสื่อสารกันได้ ก็สามารถสอบถามคนในตระกูลดิมาร์โก้เกี่ยวกับเรื่องที่โลกเก่าถูกทำลายได้!

“ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเจ้าของตัวจริงคือมิสเตอร์ดิมาร์โก้ แต่คนที่รับผิดชอบก็คือหนึ่งในสามของพ่อบ้านของเขา มิสเตอร์คาร์ล” เรนาโต้ในเสื้อคลุมสีดำอธิบาย “เอาไว้ผมจะแนะนำให้พวกคุณได้รู้จัก”

“ได้ ได้!” เจี่ยงไป๋เหมียนเลียนแบบคำพูดติดปากของหลงเยว่หง

“เธอดูตื่นเต้นมากเลยเนอะ” ซางเจี้ยนเย่า ‘กระซิบ’ กับหลงเยว่หง

“เปลี่ยนจาก ‘มากเลย’ เป็น ‘นิดหน่อย’ ก็พอแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบมาประโยคหนึ่ง

เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขา เรนาโต้ก็หันไปมองไป๋เฉินเหมือนอยากจะแสดงความเห็นใจว่าการดูแลทีมที่สมาชิกนิสัยเหมือนเด็กและพึ่งพาไม่ได้แบบนี้ เป็นเรื่องที่เหนื่อยและน่าหนักใจจริงๆ

ไป๋เฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกเขาว่าที่คุณเห็นอยู่หัวแถวนั่นน่ะถึงจะเป็นหัวหน้าทีมตัวจริง

ในเมื่อเปลี่ยนซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน

เพราะโรคทางจิตเวชนี่เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย

เมื่อออกจากทางเดินแล้วอ้อมไปอีกไม่กี่นาที ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ก็มองเห็นโถงลิฟต์อีกแห่งหนึ่ง

ที่นี่มีลิฟต์สามตัว เป็นสีเทาแก่หนาเตอะ มีหน้าจอ LCD ขนาดไม่ใหญ่นักติดตั้งอยู่สองจอบริเวณช่องว่างระหว่างลิฟต์

เรนาโต้ก้าวขึ้นหน้าไปสองสามก้าว กดปุ่มแล้วรออย่างอดทน

ผ่านไปครู่หนึ่งหน้าจอ LCD ฝั่งซ้ายมือก็กะพริบวูบวาบ ปรากฏภาพชายวัยกลางคนขึ้นมา

เขาสวมชุดสูทสีดำแบบโลกเก่า ติดโบว์หูกระต่ายอย่างพิถีพิถัน ผมสีดำมีสีเทาแซมเล็กน้อย หวีเสยไปด้านหลังอย่างประณีต

รูปลักษณ์ใบหน้าเขามีลักษณะชนชาติแม่น้ำแดง ดวงตาสีฟ้าอ่อน แม้ว่าใบหน้าดูธรรมดาแต่กลับให้ความรู้สึกยากอธิบาย

จะบอกว่าดูภูมิฐานสง่างามก็คงไม่ใช่ ทว่าการดำรงอยู่ของเขานั้นทำให้เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ดิมาร์โก้ได้รับคุณลักษณะดังกล่าว

“โอ้ ช่างบัญเอิญจริงๆ มิสเตอร์คาร์ล ผมมีสหายสองสามคนอยากพบคุณเพื่อหารือเรื่องธุรกิจน่ะ”

ครั้งนี้เขาเปลี่ยนมาใช้ภาษาแม่น้ำแดง

คาร์ลเหลือบมองดูคนทั้งสี่ด้านหลังเรนาโต้ผ่านกล้อง

“งั้นเชิญพวกเขามาพบผมที่ห้องทำงานพรุ่งนี้ช่วงเก้าโมงถึงสิบโมงเช้าก็แล้วกัน

“วันนี้ผมยังยุ่งกับงานที่ได้รับมอบหมายจากนายท่านอยู่”

ไป๋เฉินเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วผงกศีรษะให้เรนาโต้

“ได้” เรนาโต้เห็นด้วย

คาร์ลถามต่ออีก

“พิธีมิสซาจบแล้วเหรอครับ”

“จบแล้วล่ะ” น้ำเสียงของเรนาโต้ค่อนข้างผ่อนคลาย

“ใจที่ระวังจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์” คาร์ลยกสองมือขึ้นมาไขว้ไว้ที่หน้าอก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

จากนั้นก็พูดอย่างมีมารยาทเสริมอีกหนึ่งประโยค

“พบกันพรุ่งนี้ครับ”

เมื่อภาพบนหน้าจอ LCD หายไป เรนาโต้ก็หันหน้ามาพูดกับไป๋เฉิน

“ห้องทำงานของมิสเตอร์คาร์ลอยู่ที่ชั้นห้าของชุมชนศิลาแดง ร้านมีป้ายแขวนไว้ว่า ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’”

“วีซ่า… ทำไมถึงชื่อนี้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นแปลกใหม่กับสถานที่นี้ จึงทำตัวเหมือนเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น

“เป็นชื่อคุณปู่ของมิสเตอร์มาร์ดิโก้น่ะ” เรนาโต้อธิบาย

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูลิฟต์และหน้าจอ LCD

“ของพวกนี้มีมาตั้งแต่สมัยโลกเก่าเลยเหรอ”

“โครงสร้างน่ะใช่ แต่พวกอุปกรณ์ต่างๆ บางส่วนที่เก่าหรือชำรุดนั้นถูก ‘สวรรค์จักรกล’ เปลี่ยนให้ในภายหลัง” เรนาโต้รู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลโบสถ์ย่อมจำเป็นต้องทราบก่อนจะลงมาใต้ดิน

การร่วมมือกันระหว่างตระกูลดิมาร์โก้และ ‘สวรรค์จักรกล’ นั้นไม่ได้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนประหลาดใจแม้แต่น้อย เป็นเพราะว่าที่นี่เป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าเถื่อนที่สำคัญ มีทรัพยากรที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ต้องการอยู่ไม่น้อย และยังใกล้กับชายฝั่งทิศใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘สวรรค์จักรกล’ มากกว่าเมืองหญ้าไพร

เธอถามด้วยความสงสัย

“มนุษย์เข้า ‘นาวาบาดาล’ ไม่ได้ แต่หุ่นจักรกลเข้าไปได้งั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว แต่ต้องไม่ใช่หุ่นที่มีสมองกลและติดตั้งอาวุธนะ” เรนาโต้ตอบ “ในตอนนั้น ‘สวรรค์จักรกล’ ได้จัดทีมวิศกรไร้สมองกลขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการนี้เลยล่ะ อ้อ… ทางมิสเตอร์ดิมาร์โก้เองก็น่าจะมีการอบรมบุคลากรภายในเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะด้วยเหมือนกัน ทำงานร่วมกันทั้งสองฝ่าย ทำให้การปรับปรุงและดัดแปลง ‘นาวาบาดาล’ เสร็จเรียบร้อยในเวลาอันสั้น เมื่อทีมวิศกรกลับไปแล้ว พวกข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็ถูกทำลายทิ้งไปหมด”

ระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็กลับขึ้นมาถึงโบสถ์บนพื้นดินซึ่งดูคล้ายป้อมปราการ

เมื่อบอกลาเรนาโต้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับบนรถจี๊ปก็คลี่ยิ้มออกมา

“พวกนายคิดว่าสิ่งที่วีลพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อย่างน้อยก็มีบางเรื่องที่โกหกล่ะ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset