รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 187 ธรรมเนียมท้องถิ่น

เทเรซ่าเพิ่งจะอธิบายจบไป ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ข้างเจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา

“การสวมหน้ากากนี่มันน่าสนใจจริงๆ”

ที่เขาพูดนั้นเป็นภาษาแม่น้ำแดง

ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดพูดได้คล่องแคล่วลื่นไหล แต่หลังจากโลกเก่าถูกทำลายมาเนิ่นนานหลายปี ภาษาแม่น้ำแดงจึงเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร สำเนียงของเทเรซ่าเองก็แตกต่างไปจากสำเนียงที่นิยมใช้ในเมืองหญ้าไพร

“อะไรนะ” เทเรซ่ามองเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างงุนงงเพื่อค้นหาคำตอบ

ความหมายของเขาก็คือ… เป็นเพราะสวมหน้ากากอยู่ ทำให้คุณตัดสินว่าใครเป็นชาวแม่น้ำแดงหรือชาวแดนธุลีได้จากภาษาที่พูดเท่านั้น ก็เลยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับคนแดนธุลีต่อหน้าพวกเรา… การปลอมตัวจึงเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อปลอมตัวแล้วก็ไม่มีใครสามารถแยกแยะจากลักษณะภายนอกได้ว่าใครเป็นใคร เรื่องแบบนี้จึงน่าสนใจมาก…

ที่นี่ก็เหมือนกับแหล่งศูนย์รวมวัตถุดิบสำหรับศึกษาด้านจิตวิทยาเรื่องแนวคิดของ ‘หน้ากากบุคลิกภาพ’ นั่นเอง… เหอะ เหอะ ถ้าชาวแดนธุลีเชี่ยวชาญภาษาแม่น้ำแดง ส่วนพวกคุณก็ชำนาญภาษาแดนธุลี แล้วจะแยกแยะศัตรูกับพวกพ้องได้ยังไง จะสร้างกลุ่มได้ยังไง หรือว่าจะแบ่งกลุ่มเป็น ‘กลุ่มหน้ากากสัตว์’ ‘กลุ่มหน้ากากมนุษย์’ ‘กลุ่มหน้ากากสัตว์ประหลาด’ อย่างนั้นนะเหรอ… ในขณะนี้ความคิดต่างๆ เหล่านี้แว่บขึ้นมาในใจของเจี่ยงไป๋เหมียน

แต่สุดท้ายความคิดต่างๆ เหล่านั้นก็ถูกสรุปออกมาเป็นคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

“เขาไม่เคยเล่นกับหน้ากากมาก่อนน่ะ”

จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนไม่รอให้เทเรซ่าถามอะไรเพิ่มอีก เธอพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“สาเหตุการเสียชีวิตที่สำนักงานรักษาความสงบฯ บอกมาก็คือตกใจตายงั้นเหรอ”

เทเรซ่าผงกศีรษะเล็กน้อย

“นี่มันตอบแบบขอไปทีชัดๆ สาเหตุการตายแบบนี้ พูดยังไงฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาด”

สาเหตุการตายคงไม่ได้โกหก แต่ประเด็นก็คืออะไรกันแน่ที่ทำให้ตกใจเกินขนาดจนทำให้เสียชีวิต… เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดแล้วถามออกมา

“มิสเตอร์เฮลเว็กเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า”

“เปล่า เขาสุขภาพแข็งแรงมาก ไม่ว่าจะวิ่ง กระโดด หรือต่อสู้ ก็ทำได้ไม่เลวทั้งนั้น” เทเรซ่ายืนยันหนักแน่น

ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้น แล้วถามด้วยความสงสัยโดยไม่ได้รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนอนุญาตก่อน

“คุณพูดแค่ว่าเขาวิ่ง กระโดด และต่อสู้ ถ้างั้นด้านอื่นๆ ล่ะ”

เทเรซ่าสั่นศีรษะ

“ฉันก็เพียงแค่ยกตัวอย่างง่ายๆ ไม่กี่เรื่องน่ะ

“ขอบอกตามตรง เรื่องบนเตียงเขาทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

แค่ก… เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะสำลักน้ำลาย

พูดบ้าอะไรของคุณเนี่ย!

หลงเยว่หงเองก็กระแอมออกมา มีเพียงไป๋เฉินเท่านั้นที่ยังสงบนิ่งเป็นปกติอยู่

เทเรซ่าอธิบายต่อทันที

“เรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วไปสำหรับสาวกในนิกายเราทุกคนน่ะ

“พวกเราต้องคอยตื่นตัวระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนทำกิจกรรมบนเตียงก็ยังต้องคอยแบ่งสมาธิไปคอยระวังสถานการณ์รอบข้างและระวังปฏิกิริยาผิดปกติจากคู่ของเราด้วย

“ดังนั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของตัวเองให้อยู่ในระดับสูงสุด ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าให้ย่นเวลาทำกิจกรรมให้สั้นลงที่สุดเท่าที่จะทำได้”

แปะ! แปะ! แปะ!

ครั้งนี้นอกจากซางเจี้ยนเย่าแล้ว แม้แต่เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ยังตบมือด้วย

และเธอก็ยังรู้สึกว่าเพียงแค่การตบมือก็ยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกที่เธอมีต่อเรื่องนี้

เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า คำว่า ‘ระมัดระวัง’ สองคำนี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวชุมชนศิลาแดงในเบื้องลึกไปจนถึงขนาดนี้ได้

เหตุผลประการเดียวที่หลงเยว่หงไม่ได้ร่วมตบมือด้วยนั่นก็เป็นเพราะว่าเขากำลังตกตะลึงอยู่

แม้แต่ไป๋เฉินเองก็ยังเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้าง

“พวกคุณนอนหลับด้วยกันหรือเปล่า”

“เปล่า” เทเรซ่าตอบตามความสัตย์ “ห่างกันไว้คือสหายที่ดี หากใครอยากทำแบบนั้นก็ต้องนัดล่วงหน้าก่อน”

“แล้วลูกล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม

“ก่อนหนึ่งขวบยังนอนกับพ่อแม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็ต้องแยกกันนอน” เทเรซ่ามมองทุกคนรอบๆ “พวกเราอย่ามัวเสียเวลากับคำถามพวกนี้เลย”

เจี่ยงไป๋เหมียนจึงได้รู้ตัวว่าตนเองมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับธรรมเนียมท้องถิ่นจนลืมภารกิจนักล่าไปเสียสนิท

เธอรีบจ้องซางเจี้ยนเย่าทันที

“เมื่อกี้นายจะถามอะไรนะ”

“จะถามว่าเฮลเว็กกลั้นหายใจได้นานหรือเปล่า” ซางเจี้ยนตอบออกมาเต็มปากเต็มคำ

“กลั้นหายใจ… เขาว่ายน้ำเป็น ในระดับปานกลางน่ะ” สีหน้าเทเรซ่าบ่งบอกว่าเข้าใจ “สรุปก็คือร่างกายเขาไม่มีอะไรผิดปกติ แวร์ตูร์ก็บอกว่าไม่เจอปัญหาอะไรเหมือนกัน”

“ผลชันสูตรของแวร์ตูร์เชื่อถือได้แค่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนปรับสถานะเข้าสู่โหมดมืออาชีพในพริบตา

หากไม่ได้เป็นเพราะความเจ็บป่วยที่แอบแฝงอยู่ในร่างกาย ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่การตกใจตายจะเกี่ยวพันกับผู้ตื่นรู้

อย่างน้อยในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้ว่ามีพลังพิเศษสองอย่างที่ทำให้เสียชีวิตในลักษณะคล้ายๆ เช่นนี้

‘ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง’ ของม้าฝันร้าย และการควบคุมหัวใจซึ่งเป็นเขตพลังของตุลากรชะตา

“ถึงแม้ว่าแวร์ตูร์จะเป็นคนนอก แต่เขาก็เป็นชาวแม่น้ำแดง ไม่ได้ลำเอียงเกินไป แต่น่าเสียดายที่ระดับฝีมือค่อนข้างจำกัด เดิมทีนั้นเขาเป็นเพียงแค่หมอธรรมดาเท่านั้นเอง ความเชี่ยวชาญของเขาก็ไม่ได้อยู่ในสายงานด้านนี้” เทเรซ่าพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนเองอย่างมากเมื่อต้องพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดของตนเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย ส่วนซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นอีก

“ทำไมคุณถึงพูดว่า ‘คนภาษาธุลี’ ล่ะ ทำไมถึงไม่เรียก ‘คนแดนธุลี’

ในภาษาแม่น้ำแดงนั้น คำเรียกแบบแรกจะต้องเพิ่มคำเข้าไปอีก ทำให้ต้องเรียกยาวขึ้น

“เพราะว่าแดนธุลีนั้นเป็นของคนแดนธุลีทุกคน”

เจี่ยงไป๋เหมียนแอบจุ๊ปาก

“ถ้าเรารับภารกิจนี้ แล้วค่าตอบแทนจะคิดยังไง”

“ฉันจะไปที่สมาคมแล้วผนวกภารกิจนี้เข้ากับภารกิจค้นหาอาวุธ โดยค่าตอบแทนก็คืออาวุธจำนวนครึ่งหนึ่งของอาวุธชุดนั้น” เทเรซ่าพูดอย่างไม่ลังเล

ใจกว้างมาก… แบบนี้หลังจากจบภารกิจนี้แล้ว พอรวมกับวัตถุปัจจัยที่เราเก็บออมไว้ก่อนหน้านี้ก็พอจะซื้อชุดเกราะเสริมแรงทางทหารรุ่นเก่าได้ล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ

“เราจะทำเต็มที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จให้ได้”

แล้วเธอก็ถามต่อ

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการปล้นอาวุธบ้างไหม

“โจรพวกนั้นมันหากินอยู่ละแวกนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว หรือว่าจู่ๆ พวกมันก็โผล่ออกมากะทันหัน”

เทเรซ่ารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง

“ต้องเป็นฝีมือของพวกคนภาษาธุลีแน่! พวกเขาอยากจะยึดเอาธุรกิจค้าอาวุธกลับคืนไป!

“ถ้าไม่ใช่พวกนั้น งั้นทำไมจู่ๆ ถึงมีพวกโจรที่มีพลังยิงแข็งแกร่งแบบนั้นโผล่มาในชุมชนศิลาแดงได้”

หลังจากที่พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวออกไปแล้วเธอก็หอบหายใจสองครั้งก่อนจะพูดต่อ

“ก่อนเฮลเว็กตาย เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฉันฟังมากนักหรอก พูดเพียงแค่ว่าคนพวกนั้นมีพลังยิงที่แข็งแกร่งและประสานงานเข้าขากันได้ดี พวกมันสวมหน้ากากปลอมตัวและแสดงตัวออกมาประมาณสักสิบคน ส่วนที่แอบซ่อนตัวไว้ก็ยังมีอยู่อีกหลายคน

“ถ้าพวกคุณอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็กลับไปย่านที่พักของโรงแรมแล้วไปหาคนชื่อเลห์แมนที่ห้อง 127 ได้

“เขาเป็นพ่อค้าของเถื่อนที่มาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เป็นหุ้นส่วนธุรกิจของสามีฉัน อาวุธพวกนี้เป็นของที่ขบวนคาราวานของเขาขนมานั่นแหละ แต่พอค้าขายกันเสร็จก็ถูกปล้นไปทันที”

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกบางส่วน จากนั้นก็ยืนขึ้น ชี้ไปที่ช่องระบายอากาศที่เฮลเว็กเสียชีวิตแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า “ปีนขึ้นไปดูหน่อย”

“หานวั่งฮั่วตรวจสอบไปแล้วแต่ก็ไม่เจออะไร” เทเรซ่าลุกขึ้นยืน “ที่จริงอาจจะเจอก็ได้ แต่เขารีบทำลายหลักฐานทิ้ง”

“พวกเราต้องตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนถึงจะวางใจได้น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ยอมแพ้เพราะเหตุนี้

ซางเจี้ยนเย่าดึงโต๊ะเข้ามา ปีนขึ้นไปยืนแล้วถอดตะแกรงช่องระบายอากาศออกมา ใช้ไฟฉายส่องดูรอบหนึ่งก่อนจากนั้นค่อยปีนมุดเข้าไปข้างใน

ข้างในไม่ได้สกปรกมากนัก เห็นได้ชัดว่ามีคนใช้ซ่อนตัวอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นให้เห็นมากนัก

ซางเจี้ยนเย่าคลานไปตามช่องอากาศครู่หนึ่ง ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าพื้นที่แคบลงขึ้นเท่านั้น

เขาใช้ไฟฉายตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ จากนั้นก็ค่อยๆ คลานถอยกลับมาแล้วกระโดดลงบนโต๊ะ

“ไม่มีร่องรอยของคนอื่น”

“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนมองเทเรซ่า “นายอำเภอคนนั้นอยู่หรือเปล่า”

“เขาไปแถวๆ ที่พวกคนภาษาธุลีชอบซ่อนตัวกันอยู่น่ะ บอกว่าถึงยังไงก็ต้องทำตามขั้นตอนที่จำเป็นต้องทำ” เทเรซ่าไม่อาจหาข้อบกพร่องในการทำหน้าที่ของหานวั่งฮั่วได้เลยแม้แต่น้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก

“งั้นพวกเราก็ไปพบกับมิสเตอร์เลห์แมนก่อนก็แล้วกัน”

“ดีแล้ว รีบไปเถอะ ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปที่ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เมื่อไหร่” เทเรซ่าเอ่ยปากเตือนพวกเขามาหนึ่งประโยค

ในขณะที่คนทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจะจากไป ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้ากลับมา และพูดโดยมีหน้ากากลิงสวมอยู่บนใบหน้า

“คำถามสุดท้าย

“คุณมีลูกหรือเปล่า”

“มี สองคน” เทเรซ่างุนงง “คุณถามเรื่องนี้ทำไม”

“การทำงานของร่างกายเป็นปกติดี” ซางเจี้ยนเย่าประเมินออกมาอย่างจริงจัง

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าหมอนี่เกิดอาการสมองกระตุกอีกแล้ว เธอจึงใช้หัวข้อนี้ถามขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก

“เด็กอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“คนโตสิบห้า คนเล็กสิบสอง หลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงกันว่าจะไม่มีอีก โดยใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ผลิตขึ้นมา” เทเรซ่าไม่ได้ปิดบัง

หลังจากบอกลาแม่ม่ายแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พาซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ย้อนกลับไปที่ชั้นห้าเพื่อไปยังลานจอดรถ

แล้วตอนนี้เธอก็หันกลับไปมองชุมชนศิลาแดงอันเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน พลางถอนหายใจเบาๆ

“สำหรับที่นี่แล้ว การยอมรับแนวคิดของนิกายตื่นตัวนี่เป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ”

“ทำไมล่ะ” ในตอนที่หลงเยว่หงได้ฟังคำอธิบายของเกาดี้ ก็รู้สึกว่าพวกเขาเข้าร่วมกับนิกายตื่นตัวง่ายเกินไป ถึงแม้ว่าหลักคำสอนนั้นจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้นก็ตาม

การไม่ได้เป็นสาวกนิกายตื่นตัว ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่ระวังตัวและไม่แอบซ่อนตัวเสียหน่อย!

เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา ยิ้มพลางถอนใจ

“ชุมชนศิลาแดงนั้นเป็นเมืองที่เกิดขึ้นมาจากการแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยของตระกูลดิมาร์โก้กับโลกภายนอก

“คนในชุมชนของพวกเขามาจากทั่วทุกสารทิศ พูดจาก็คนละภาษากัน ขนบธรรมเนียมก็แตกต่างกัน รูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนกัน จึงต้องแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ด้วยความที่ในตอนนั้นมีการค้าเพียงแค่แหล่งเดียว ก็เลยยิ่งทำให้คนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยพวกนี้เกิดความสัมพันธ์เชิงแข่งขันกัน จึงมักจะมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง คุณลอบฆ่าฉัน ฉันลอบฆ่าคุณ คุณซุ่มโจมตีฉัน ฉันซุ่มโจมตีคุณ

“ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว สิ่งนี้จะค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นรูปแบบของเมืองหญ้าไพร ทว่าในตอนนี้กลับมีนิกายตื่นตัวยื่นมือเข้ามา คำสอนพวกเขาในสถานที่ซึ่งผู้คนไร้ความเชื่อใจกันโดยสิ้นเชิงเช่นนี้จึงทำให้ราวกับเป็นปลาในน้ำ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของผู้คนให้สูงขึ้น ซ้ำยังทำให้ความไม่เชื่อใจกันกลายเป็นความมีเหตุมีผลมากขึ้น เกิดความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น และอ่อนโยนมากขึ้น นี่จึงทำให้เกิดเสถียรภาพขึ้นในชุมชนศิลาแดง”

“แต่เกาดี้เป็นลูกครึ่งสองสัญชาตินะ” ไป๋เฉินชี้ข้อเท็จจริงให้เห็น

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ

“ในความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ก็อาจจะเกิดความรักขึ้นได้เหมือนกัน รวมถึงกลุ่มที่เป็นกลางด้วย

“เกาดี้คงจะเป็นตัวแทนของกลุ่มที่ใหญ่เป็นอันดับสามในชุมชนศิลาแดง ก็คือกลุ่มผสมผสาน”

ในระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็ขึ้นรถ ขับออกจากชุมชนศิลาแดงกลับไปย่านที่พักของโรงแรม

ห้อง 127 นั้นอยู่อีกหัวมุมด้านหนึ่ง ใกล้กับทะเลสาบขนาดเล็กในสวนสาธารณะของโลกเก่า

ด้านนอกของบ้านที่สร้างอย่างเรียบง่ายนี้มีชายฉกรรจ์ซึ่งดูแข็งแกร่งสองคนคอยคุ้มกันอยู่ ทั้งคู่เป็นชาวแม่น้ำแดง สวมชุดดำ มีอาวุธครบมือ หน้าตาไม่ยิ้มไม่แย้ม

ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไปใกล้แล้ว ‘ก้มมอง’ อีกฝ่าย

“พวกเราเป็นนักล่าซากอารยะ มาหาเลห์แมนเพื่อสืบสวนเรื่องการปล้นอาวุธ”

ในรอบนี้เป็นเขาที่เข้ามา ‘ติดต่อ’ เพราะอาจจำเป็นต้อง ‘สร้างเพื่อน’

ขณะที่เขากำลังถามอยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็กวาดมองไปโดยรอบและพบว่ามีสายตาจับจ้องมาจากบ้านที่สร้างอย่างเรียบง่ายหลายหลังที่อยู่รายรอบห้อง 127

เลห์แมนมีลูกน้องอยู่เพียบเลยแฮะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอย่างไร้เสียง ระหว่างนั้นยามก็เคาะประตูห้องแล้วเข้าไปเพื่อรายงาน

รอจนสองสามนาทีต่อมา ยามก็เดินออกมาพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“มิสเตอร์เลห์แมนให้มาบอกพวกคุณสองเรื่อง

“หนึ่ง ตอนนั้นพวกเรากลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“สอง ถ้าหากว่าพวกคุณมีกันเพียงแค่สี่คน รีบยกเลิกภารกิจตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วไปหาภารกิจอื่นทำแทนดีกว่า”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset