ซางเจี้ยนเย่าออกแรงกระชับมือที่บีบคอโลเปซ ทำให้เขาไม่สามารถพูดต่อได้อีก
ตอนนี้เขาใช้ร่างของโลเปซบังปืนสามกระบอกที่เล็งมาจากทางด้านซ้ายของรถเอทีวี ฝากด้านหลังของตนเองไว้ให้กับเจี่ยงไป๋เหมียนดูแล
ในตอนที่เขาพุ่งออกมาเจี่ยงไป๋เหมียนก็เป็นอันต้องชัก ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมาโดยปริยาย ยกขึ้นเล็งลูกน้องคนหนึ่งของโลเปซไว้
ส่วนอีกคนที่เหลือนั้น เธอเชื่อว่าถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจว่าจะเป็นการทำร้ายโลเปซโดยไม่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ไม่มีทางจะยิงออกมาในนาทีวิกฤติได้แน่นอน
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในระยะขอบเขตของ ‘พันธนาการมือ’
โลเปซพยายามดิ้นรน แต่ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้มืออีกข้างชัก ‘มอสน้ำแข็ง’ ขึ้นมาจ่อปากกระบอกไว้ที่หน้าอกเขาเรียบร้อย
เขามองไปที่หน้ากากลิงที่ดูเจ้าเล่ห์ ก็ไม่อาจตีความนัยจากดวงตาคู่นั้นได้ว่ามีอารมณ์เช่นใด จึงทำได้เพียงแค่ยกสองมือชูขึ้นมาเพื่อแสดงการยอมจำนน
ซางเจี้ยนเย่าดึงเขาขึ้นมาจากกระโปรงหน้ารถเอทีวี ปล่อยมือที่บีบคอเขาไว้ ช่วยจัดปกเสื้อที่ยับย่น ปัดฝุ่นที่แผ่นอกและหน้าท้องให้ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ
“แบบนี้ดีกว่าใช่ไหมล่ะ”
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่ายังคงรักษาท่าทางที่ยกปืนเล็งเอาไว้อยู่ เดินถอยหลังกลับมาอยู่ข้างกายเจี่ยงไป๋เหมียนตามเดิม
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้โลเปซที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ถึงกับรู้สึกสับสนมึนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่อาจเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
เขาสัมผัสได้เพียงแค่ความบ้าคลั่งที่อธิบายไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นสมัครใจละทิ้งโอกาสการควบคุมตนเองไปแล้ว โลเปซก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เตรียมลงมือเอาคืน
เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมอดทนกล้ำกลืนโทสะเมื่อถูกกระทำ สถานภาพของเขาในบรรดาลูกสมุนของอันเฮอบัสนั้นล้วนเกิดจากการกระทำ ไม่ได้ใช้เพียงแค่ความสูงใหญ่ของร่างกายมาข่มขู่เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
ถ้าหากว่าวันนี้เขาถูกทุบตีอย่างไม่มีเหตุผลแล้วไม่สามารถฆ่าเจ้าหมอนี่ หรือไม่ทำอะไรเป็นการตอบโต้ เขาเชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของชาวชุมชนศิลาแดงกับพวกคนเถื่อนนอกกฎหมายที่เป็นลูกน้องของ
อันเฮอบัสอย่างแน่นอน และจะไม่ได้กลายเป็น ‘ยักษ์’ ที่เลือดเย็นไร้หัวใจและโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวที่ควรค่าแก่การติดตามอีกต่อไป
และในตอนนี้เอง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือซ้ายขึ้นมาชูสามนิ้ว
เสียงดังฟุ่บ ด้านข้างของรถเอทีวีสีกากีก็มีฝุ่นกระจาย ปรากฏรูกระสุนขึ้นมา
มีคนยิงมาจากระยะไกล!
โลเปซและลูกน้องรีบหาที่กำบังทันทีตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ บ้างก็หลบอยู่หลังล้อรถ บ้างก็ขดตัวอยู่ในกองคอนกรีต
เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นต่างก็มีประสบการณ์เจนจัดในเรื่องนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนถือ ‘ยูไนเต็ด 202’ คลี่ยิ้มออกมาโดยที่ภายในใจยังคงระวังตัวอยู่
“พวกนายก็น่าจะรู้นี่ ว่าทีมเรามีกันสี่คน”
ด้านบนของตึกสูงนั้นสามารถสอดส่องพื้นที่โดยรอบได้ ดวงตาของไป๋เฉินอยู่ด้านหลังกล้องติดปืน สีหน้าแสดงความจดจ่อตั้งใจ มีสมาธิแน่วแน่
เธอสามารถลั่นไกได้ทุกขณะ และครั้งนี้จะไม่ใช่การเตือนอีกต่อไป แต่จะเป็นกระสุนปลิดชีพ
หลงเยว่หงค่อนข้างอิจฉาในจุดนี้ เขาเองก็อยากแสดงบทบาทนี้เพื่อข่มขวัญศัตรูเช่นกัน
แต่น่าเสียดาย เขารู้ตัวดีว่าตนเองกับไป๋เฉินนั้นมีช่องว่างห่างกันขนาดไหนในเรื่องของการซุ่มยิง
และนอกจากนั้น เขากำลังถือบาซูก้า ‘มัจจุราช’ อยู่ กระสุนนั้นมีราคาแพงกว่าอย่างเห็นได้ชัดและทำให้เพื่อนร่วมทีมบาดเจ็บอย่างไม่ตั้งใจได้ง่ายๆ อีกด้วย
เมื่อเห็นว่าพวกโลเปซนั้นซ่อนตัวและเล็งปืนมาทางด้านนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาวะกำลังเผชิญหน้ากัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ทุกคนวางปืนลงแล้วก็มาคุยกันฉันท์มิตรไม่ดีกว่าหรือไง”
“ใช่ ใช่” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย
แล้วตะกี้ใครที่ไหนเป็นคนเริ่มทุบตีคนอื่นก่อนละยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำในใจอย่างหงุดหงิด
เธอเริ่มเก็บ ‘ยูไนเต็ด 202’ ก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ทำท่าเพื่อส่งสัญญาณให้ไป๋เฉินและหลงเยว่หง ยังคงให้พวกเขาอยู่ในสภาพเดิม
โลเปซชั่งใจ รู้สึกว่าการมุดหัวทำตัวขี้ขลาดไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของตน จะทำให้ลูกน้องรู้สึกดูถูกตนเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปยังรถเอทีวี
เขาถือ ‘ยูไนเต็ด 202’ ปล่อยให้ปากกระบอกปืนชี้ลงพื้น
“พวกคุณจะทำอะไรกันแน่”
“เป็นพวกคุณเองไม่ใช่หรือไงที่เชิญเรามาที่นี่” เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับ
โลเปซอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะกัดฟันพูด
“ผมจะให้เบาะแสพวกคุณ
“พวกคุณรับภารกิจตามทวงอาวุธคืนกับหาฆาตกรที่ฆ่าเฮลเว็กอยู่ถูกไหมล่ะ”
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มรับแล้วถามกลับ “ในตอนนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ
“ประการแรก บัซพูดความจริง อาวุธอยู่ในมือของอันเฮอบัส ดังนั้นบัซและคนสนิทของเฮลเว็กคนอื่นๆ จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะลงมือฆ่าเขา เพราะต่อให้เฮลเว็กตายไป แต่พวกเขาก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี มีเพียงแค่อันเฮอบัสที่คว้าชิ้นปลามันไป
“ประการที่สอง อาวุธของเฮลเว็กตกอยู่ในมือพวกเขาจริงๆ และอันเฮอบัสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์นี้จริง พวกเขาก็น่าสงสัยที่สุดแล้ว
“แล้วคุณคิดว่าน่าจะเป็นแบบไหนมากที่สุดล่ะ”
เนื่องจากซางเจี้ยนเย่านั้นได้ ‘เป็นเพื่อน’ กับบัซไปแล้ว เธอจึงเชื่อว่าอาวุธอยู่ที่อันเฮอบัส คำถามนี้เป็นเพียงแค่การสังเกตปฏิกิริยาของโลเปซเท่านั้น
หลังจากโลเปซฟังอย่างเงียบๆ จนจบ เขาก็ยิ้มออกมาทันที
“ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก
“นี่ไม่ใช่ฝีมือของเจ้านายเราและก็ไม่ใช่พวกบัซด้วยเหมือนกัน การตายของเฮลเว็กเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอาวุธนั่น แต่เป็นฝีมือของศัตรูเขานั่นแหละ”
โลเปซกำลังบอกเป็นนัยว่าพวกเขารู้ว่าบัซกับคนอื่นๆ เป็นผู้บริสุทธิ์งั้นหรือ และขณะเดียวกันอันเฮอบัสก็ไม่ได้คิดจะให้เฮลเว็กตายด้วย… เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามตีความหมายของอีกฝ่าย
โดยไม่รอให้เธอเอ่ยปากพูด โลเปซก็กล่าวเสริมขึ้นอีกประโยค
“แต่เจ้านายเรายังเชื่อในข้อที่ว่าเป็นฝีมือของบัซกับพวกมากกว่า ถ้าเฮลเว็กตายไป หนึ่งในนั้นก็อาจจะได้สืบทอดมรดกของเขา ทั้งลูกเมีย ทั้งกำลังพล ทั้งวัตถุปัจจัย”
“คุณหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าใครบางคนในหมู่พวกเขามีสัมพันธ์พิเศษกับคุณนายเทเรซ่าอย่างนั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสร้งทำเป็นคล้อยตาม
ได้ยินได้ฟังเรื่องราวเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีนี่นา
“ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้” โลเปซแสดงท่าทีว่าพยายามหักห้ามใจตัวเอง “เจ้านายเราเคยได้ยินเฮลเว็กเล่าว่าเทเรซ่าเย็นชากับเขามาก ใช้ข้ออ้างเรื่องการระวังตัวเพื่อบ่ายเบี่ยงที่จะมีเซ็กส์กับเขาตลอด”
ก็นี่เป็นธรรมเนียมที่ชุมชนศิลาแดงกำหนดขึ้นมาเองไม่ใช่หรือไง เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนแคะอยู่ในใจ
เธอถามต่อ
“แล้วเมื่อตะกี้ คุณบอกว่าจะให้เบาะแสอะไรกับพวกเรา”
โลเปซมองดูซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิง ยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ที่เฮลเว็กเสียชีวิตเพราะตกใจตาย พวกคุณไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือไง”
“เพราะว่ามันแปลก ก็เลยน่าสงสัย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดยอกย้อน
โลเปซค่อยๆ ฟื้นคืนจากสภาพตกใจและโมโหที่ถูกทุบตีเมื่อก่อนหน้านี้ เขายิ้มออกมา
“และก็อาจจะเกิดจากพลังพิเศษบางอย่างของผู้ตื่นรู้ก็ได้
“เจ้านายเราบอกว่ามันเกิดขึ้นบ่อยๆ ในกลุ่มที่ศรัทธาต่อ ‘ธชียมโลก’ มุขนายกเรนาโต้กับผู้แจ้งเตือนบางคนเองก็มีแบบนี้เหมือนกัน ดิมาร์โก้จาก ‘นาวาบาดาล’ เองก็มีด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าครุ่นคิด
“คุณกำลังบอกใบ้ว่าพ่อบ้านคาร์ลเป็นคนฆ่าเฮลเว็กงั้นเหรอ”
นิกายตื่นตัวนั้นไม่มีแรงจูงใจที่จะไปสร้างความวุ่นวายในชุมชนศิลาแดง สภาพการณ์ในปัจจุบันนี้เหมาะสมกับแนวคิดของพวกเขามากที่สุดแล้ว
“เรื่องนี้คงต้องให้พวกคุณไปสืบสวนกันเองแล้วล่ะ เจ้านายเราก็ไม่มีหลักฐานเหมือนกัน” โลเปซหัวเราะ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา
“คำถามสุดท้าย คุณรู้หรือเปล่าว่าอาวุธพวกนั้นอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้พวกคุณก็ต้องไปสืบสวนเอาเองเช่นกัน” เมื่อโลเปซพูดจบเขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าด้านข้างด้วยความประหลาดใจ
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขาแอบเติม ‘ผงชูรส’ ลงไป
นี่เป็นการประยุกต์ใช้พลัง ‘คนไร้เหตุผล’ อย่างเจือจางงั้นสินะ เหมือนกับที่เขาใช้รับมือกับ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมก่อนหน้านี้ ทำให้เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรที่ขัดกับความตั้งใจอย่างรุนแรงจนทำให้ต้องสำนึกเสียใจขึ้นมาในทันที แต่ก็ยังอดทำอะไรไร้เหตุผลในจุดเล็กจุดน้อยไม่ได้ เหมือนเป็นการคุยโวโอ้อวดตัวเองไปบ้างอย่างไม่รู้ตัว… เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจได้อย่างกระจ่าง
รอยยิ้มเมื่อครู่ของโลเปซนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าบัซไม่ได้โกหก โลเปซรู้ว่าอาวุธอยู่ที่ไหน แล้วก็อาจจะเป็นเขานี่แหละที่เป็นคนเอาไปซ่อนไว้
แล้วตอนนี้จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดอะไรบางอย่างออกมาประโยคหนึ่ง
“หกคน”
หมายถึงสองต่อหกงั้นเหรอ ให้สะกดโลเปซแล้วบังคับ ‘เป็นเพื่อน’ จากนั้นก็ไปเอาอาวุธกลับมา เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ… เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่า
เธอใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วก็พบว่านี่ไม่ใช่สองต่อหก ทว่าเป็นสี่ต่อหกต่างหาก ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงยังคงอยู่ในตำแหน่งซุ่มยิง
ปัญหาหลักก็คือยากจะจับเป็นอีกฝ่ายได้ พอเริ่มแล้วก็จะมีคนตายไม่น้อย สำหรับทั้งสองฝ่ายที่ไม่ได้เกลียดชังกันอย่างสุดใจย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ซึ่งเป็นการขัดต่อมโนธรรมขั้นต่ำของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ไม่ต้องรีบร้อน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ
โลเปซได้ยินคำพูดประหลาดของพวกเขาก็พลันรับรู้ถึงอันตรายขึ้นมาโดยฉับพลัน
เขารักษาสภาวะตื่นตัวอย่างสูงเอาไว้ รีบพูดขึ้นมา
“เรื่องที่ควรพูด ผมก็พูดออกไปหมดแล้วนะ”
เขาอยากจะรีบหนีไปจากนักล่าซากอารยะที่ทั้งดุร้ายทั้งแข็งแกร่งพวกนี้ให้เร็วที่สุด
“ลาก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือซ้ายให้ด้วยรอยยิ้ม
โลเปซไม่ได้รีบขึ้นรถทันที เพียงแค่ให้ลูกน้องสองคนขับรถเอทีวีไปที่ด้านหลังของอาคารสูงที่อยู่ใกล้เคียงก่อน
“ระวังตัวมาก” ซางเจี้ยนเย่าตบมือส่งพวกเขา
รอจนพวกโลเปซหายลับไปจากสายตาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา บอกให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงลงมาได้
ระหว่างทางกลับที่พัก หลงเยว่หงฟังเรื่องราวจนจบก็ถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“คราวหน้ายังจะหาโอกาสจับเป็นโลเปซหรือเปล่า”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธ “รายงานบริษัทก่อนก็แล้วกัน ดูว่าพอจะได้รับข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าพูดเสริมอย่างยิ้มแย้ม
“พวกเราหาเหยื่อล่อให้โลเปซออกมาก็ได้”
หลงเยว่หงหันขวับมามองซางเจี้ยนเย่าทันทีด้วยความระแวง
“นายหมายความว่ายังไง”
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
“บัซเป็นเหยื่อล่อชั้นดี”
“นั่นสินะ…” หลงเยว่หงตอบอย่างมึนๆ งงๆ
* * * * *
ในระหว่างที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจัดการมื้อเที่ยงที่ค่อนข้างล่วงเวลาไปบ้าง ทาง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ส่งโทรเลขมาให้
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนถอดรหัสเสร็จ เนื้อความก็ปรากฏออกมาดังนี้
‘นิกายตื่นตัวนั้นศรัทธาในผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบ ‘ธชียมโลก’ ผู้นำสูงสุดคือสังฆราชมืด ถัดลงมาก็เป็นคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่น มุขนายก และผู้แจ้งเตือนตามลำดับ
‘พวกเขาเรียกสาวกว่า ‘ผู้ที่ตื่นตัว’
‘ผู้ตื่นรู้ของนิกายนี้ส่วนใหญ่จะสามารถส่งอิทธิพลต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี บ้างก็ชำนาญ ‘การยั่วยุ’ บ้างก็เป็นร่างจำแลงของ ‘ความหวาดกลัว’ บ้างก็ ‘เป็นมิตร’ บ้างก็สามารถทำให้ผู้คนเปลี่ยนเป็นเย็นชาหรือช่วยเสริมพลังที่สอดคล้องกัน…
‘บนแดนธุลีในปัจจุบันนี้ ส่วนมากจะพบนิกายตื่นตัวได้ที่พื้นที่อิทธิพลของ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ และ ‘ออเรนจ์คอมพานี’ รวมไปถึงนิคมขนาดกลางและขนาดเล็กบางแห่ง’