รถจี๊ปแล่นอยู่ภายใต้รัตติกาลอันมืดมิดโดยอาศัยไฟหน้ารถสีเหลืองส่องทาง มุ่งสู่เมืองซึ่งเต็มไปด้วยซากอาคารที่ถูกทิ้งร้างบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ หัวใจของหลงเยว่หงอดเต้นแรงขึ้นไม่ได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ใช่มือใหม่ในแดนธุลีอีกแล้ว แต่การเข้าสู่ ‘แนวหน้า’ โดยตรงเช่นนี้ก็ยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรกอยู่ดี
นี่ไม่เหมือนกับการจลาจลในเมืองหญ้าไพร มันพอจะจัดได้ว่าเป็นสงครามอย่างเป็นทางการ
หลงเยว่หงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างเงียบๆ เพื่อสะกดความตึงเครียดในใจ ส่วนซางเจี้ยนเย่าก็ใช้มือหนึ่งบังคับพวงมาลัย อีกมือหนึ่งล้วงลำโพงขนาดเล็กสีดำมีด้านล่างสีน้ำเงินออกมาจากเป้ยุทธวิธี
หลังจากที่เขากดจิ้มลงไปไม่กี่ครั้ง ท่วงทำนองอันเร่าร้อนฮึกเหิมก็ดังขึ้นในรถจี๊ป
เพลงนี้ไม่มีเสียงคนร้อง แต่เมื่อฟังแล้วก็ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกเลือดลมระอุ ราวกับได้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ตัวคนเดียวสยบคนนับร้อย
“นี่เพลงอะไรเหรอ” เขาหันหน้ามาถามด้วยความสงสัย
เทียบกับเมื่อครู่แล้ว ตอนนี้จิตใจเขาสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่ดนตรี” ซางเจี้ยนเย่าโยกตัวไปตามจังหวะแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “นายเรียกว่าเพลงออกศึกก็ได้”
หลงเยว่หงถูกเสียงเพลงทำให้รู้สึกคึกคักกระฉับกระเฉงและตื่นเต้น พลางมองดูรถเอทีวีสีกากีด้านหน้าเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านซากเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารที่พังถล่มลงมาและถนนที่
ชำรุดเสียหาย เขาอดถอนใจพูดออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้
“ก่อนหน้านี้ที่หัวหน้าให้พวกเราขับสำรวจรอบๆ ชุมชนศิลาแดงนี่มันเกิดประโยชน์จริงๆ ด้วย”
ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาไม่มีทางที่จะจดจำสภาพถนนทุกเส้นได้เพราะซากเมืองไม่ใช่เล็กๆ แต่พวกเขาก็ยังสามารถจดจำตำแหน่งของอาคารและถนนที่อยู่ในพื้นที่หลักได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งยังมีแผนที่ซึ่งซ่งเหอให้มาด้วย ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างง่ายดายแม้จะเป็นเวลาครึ่งค่อนคืนที่มืดสนิท
เมื่อได้ยินหลงเยว่หงถอนใจ ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้าไปมองเขาแล้วถามอย่างสงสัย
“ฉันคิดว่าตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพรนายก็เข้าใจถึงความสำคัญของการจดจำภูมิประเทศให้ขึ้นใจแล้วซะอีก”
“ตอนนั้นส่วนใหญ่ไป๋เฉินจะเป็นคนนำทางน่ะ ฉันก็เลยยังไม่ค่อยรู้สึกมากเท่าไหร่” หลงเยว่หงอธิบายออกมาตามตรง
ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ แล้วก็แนะนำอย่างจริงจัง
“การซ่อนหาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เอาไว้พิธีมิสซาครั้งหน้าของโบสถ์ตื่นตัวจัดเมื่อไหร่ ฉันจะพานายไปเข้าร่วม”
ที่จริงแล้วนายอยากจะไปเข้าร่วมเองนะสิ… หลงเยว่หงคิดในใจ ไม่ได้พูดออกมา
เขาหยุดคุย พยายามปรับสภาพจิตใจของตัวเอง
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนในตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร
“ปิดไฟหน้า ชะลอรถ เปิดเครื่องเสียง”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงอายซูเปอร์มาเก็ตและห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์ แต่ไม่ได้ยินเสียงปืนและปืนใหญ่อีกแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าลดกระจกข้างลง เลือกไฟล์เสียงที่จะเปิดเล่นด้วยลำโพงตัวเล็ก แล้วปรับความดังเป็นระดับสูงสุด
มีเสียงผู้ชายดังออกมาจากรถจี๊ปที่กลมกลืนไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
“พวกเราเป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้แจ้งเตือนซ่งเหอให้มาส่งอาวุธ!”
“พวกเราเป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้แจ้งเตือนซ่งเหอให้มาส่งอาวุธ!”
เป็นเพราะเสียงนั้นดังลั่นมาก ทำเอาหลงเยว่หงถึงกับหูอื้อตาลาย คำพูดพวกนี้ดังก้องอยู่ในหูไม่หยุด
เขาอ้าปากพูดอะไรบางอย่างออกมาตามสัญชาตญาณ ทว่าเสียงที่ออกมาก็ถูกเสียงดังลั่นจากลำโพงกลบไปจนหมด
ในรถเอทีวีสีกากีด้านหน้า สีหน้าของไป๋เฉินที่ตำแหน่งคนขับพลันแปลกไปเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ ถามขึ้นด้วยเสียงดัง
เธอใช้มือหมุนกระจกหน้าต่างให้เลื่อนขึ้นมาเพื่อลด ‘มลพิษ’ ทางเสียงของซางเจี้ยนเย่าให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการสนทนา
ไป๋เฉินสูดหายใจลึก รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“สมัยก่อนตอนที่ฉันยังเร่ร่อนอยู่บนแดนธุลีก็มักจะขับรถไปตามนิคมต่างๆ เป็นประจำ
“บางครั้งเพื่อความสะดวกและประหยัดเวลา ก็จะใช้ลำโพงตัวใหญ่ตะโกนออกไปว่าต้องการอะไร”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองสำรวจสภาพแวดล้อมไปพลางถามด้วยความสงสัยไปพลาง
“ของอะไรบ้างเหรอ”
ไป๋เฉินเงียบไปสองสามวินาที มองไปข้างหน้าแล้วพูดออกมา
“ข้าวสาร แป้ง กระป๋อง มีดหั่นผัก ปืน ปลอกกระสุน แล้วก็พวกของที่เป็นโลหะต่างๆ น่ะ”[1]
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก
“ประตูหน้าร้านน้าหนานที่เขียนว่า ‘รับซื้อปืนพก ปืนไรเฟิล ปืนกลมือ ที่ชำรุด’ นั่นก็เป็นเธอช่วยคิดให้พวกเขาใช่ไหม”
ไป๋เฉินเม้มปากแล้วพูด
“พวกคนเร่ร่อนที่มีประสบการณ์ทำนองนี้ก็รู้จักคำพูดพวกนี้ทั้งนั้นแหละ”
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ เธอก็พูดเสียงต่ำ
“หัวหน้า พวกเราเกือบจะถึงที่หมายแล้ว ใส่ใจกับสิ่งรอบตัวหน่อยสิ”
“โอ้ โกรธเหรอ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด ‘พึมพำ’ ออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ไม่ได้โกรธ” ไป๋เฉินมองไปข้างหน้ารีบตอบกลับทันที
“งั้นก็รู้สึกอายหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออย่างยิ้มแย้ม
ไป๋เฉินเงียบไป
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ตัวว่าควรหยุดได้แล้ว และในตอนนั้นเธอก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้ จึงมองไปที่อาคารและซากปรักสองฝั่งถนนที่อยู่ใต้แสงจันทร์ด้านนอก
ไม่ถึงหนึ่งนาทีเธอก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด
“ปิดลำโพงได้แล้ว และรักษาระยะห่างระหว่างเราเอาไว้ด้วย”
กล้ามเนื้อทุกส่วนของเธอหดเกร็งเล็กน้อย เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ผ่านไปหลายสิบวินาทีก็มีเงาร่างสองสายมุดออกมาจากซากอาคารพังถล่มด้านหน้า
พวกเขาถือปืนเดินมาที่ถนนซึ่งเคลียร์ไว้โล่ง ตรงมายังจุดที่รถเอทีวีจอดอยู่
ในความมืดมิดรายรอบ ไม่ทราบว่ามีปืนอยู่มากน้อยเพียงใดที่เล็งมา
เงาร่างทั้งสองนั้นสวมหน้ากากสัตว์และมีฮูดคลุมหัว ทำให้มองไม่ออกว่าเป็นคนภาษาธุลีหรือว่าเป็นคนแม่น้ำแดง
หลังจากที่จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ผู้หญิงที่สวมหน้ากากกระทิงก็พูดด้วยภาษาแดนธุลี
“พวกคุณเป็นนักล่าที่รับภารกิจตามหาอาวุธของเฮลเว็กงั้นเหรอ”
“ถูกต้อง พวกเราหาอาวุธของเฮลเว็กเจอแล้ว และต้องการขายบางส่วนของเราให้กับพวกยามเมือง นายอำเภอหานอยู่ที่ไหนเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อยที่ถูกปืนเล็งอยู่ เธออธิบายออกมาอย่างยิ้มแย้ม
“หาเจอแล้ว…” ผู้หญิงสวมหน้ากากกระทิงรู้สึกแปลกใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ผู้แจ้งเตือนซ่งเป็นพยานได้”
ผู้หญิงสวมหน้ากากกระทิงนิ่งไปสองสามวินาที จากนั้นก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานเรื่องราวให้กับหานวั่งฮั่ว
ผ่านไปไม่นานนายอำเภอผู้นี้ก็เดินออกมาที่นี่
เขาสวมชุดดำ ไม่ได้สวมหน้ากาก
หลังจากตรวจสอบอาวุธของเฮลเว็กกับวัตถุปัจจัยของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แล้ว หานวั่งฮั่วที่สะพายปืนไรเฟิลไว้กลางหลัง เหน็บปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ สองกระบอกก็ถามออกมาตามตรงโดยไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า
“พวกคุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยน”
“ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารของยามเมือง” เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามตอบเสียงเรียบ “หนึ่งชุด ไว้รอให้จบศึกเมื่อไหร่ค่อยส่งมอบ”
เมื่อเห็นว่าหานวั่งฮั่วขมวดคิ้ว เธอก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
“อันเฮอบัสไปสารภาพที่โบสถ์แล้ว และจะให้ความร่วมมือกับชุมชนศิลาแดงมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ชั้นรอง
“ไว้สถานการณ์คงที่เมื่อไหร่ พวกคุณก็น่าจะได้รับชุดเกราะเสริมแรงทางทหารชุดใหม่มา ก็น่าจะใช้เวลาซักปีครึ่งละมั้ง พวกคุณสามารถรอได้ แต่พวกเรารอไม่ได้”
หานวั่งฮั่วเงียบไปชั่วขณะ
“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ ขอไปปรึกษากับคนอื่นๆ ก่อน”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจดีกว่าตัวเขานั้นไม่ได้เป็นเจ้าของชุมชนศิลาแดง
“ได้สิ
“แต่เร็วหน่อยละกัน พวกเรารอได้ แต่มนุษย์ปลาปีศาจภูเขาคงไม่รอ”
หานวั่งฮั่วผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินไปด้านข้าง
แต่เดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็หันหลังกลับมาถาม
“คุณไม่กลัวว่าพวกยามเมืองจะใช้กำลังบังคับให้ส่งของออกมา หรือว่าฆ่าคนชิงทรัพย์หรอกเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
ทว่าก่อนที่เธอจะตอบออกมาด้วยบุคลิกลักษณะของ ‘จอมวายร้าย’ ซางเจี้ยนเย่าที่ขับรถจี๊ปมาถึงก็ตะโกนเสียงดัง
“พวกเราไว้ใจคุณ!”
หานวั่งฮั่วตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นอีกครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมาอย่างขื่นขม
“ในบางเรื่อง ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้”
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก สาวเท้าก้าวเดินไปทางด้านข้างของอาคารที่พังถล่มแล้วใช้วิทยุสื่อสารพูดคุยกับยามเมืองบางคนที่เป็นคนสำคัญ
เวลาผ่านไปสิบนาที เขาก็เดินกลับมาที่รถเอทีวี พูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ
“ตกลง”
“ยินดีที่ได้ร่วมมือค่ะ” เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนต้องการยื่นมือออกไปจับกับอีกฝ่าย แต่เมื่อคำนึงถึงธรรมเนียมท้องถิ่นของชุมชนศิลาแดง สุดท้ายเธอจึงเปลี่ยนใจ
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหานวั่งฮั่วไม่ได้เป็นสาวกนิกายตื่นตัว การจับมือก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร ทว่าชาวชุมชนศิลาแดงที่อยู่รายรอบนี้ต่างก็เป็นผู้ศรัทธาของ ‘ธชียมโลก’ ทั้งนั้น
หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น!
หานวั่งฮั่วผ่อนลมหายใจ แล้วอธิบายรายละเอียดของข้อตกลง
“พวกคุณต้องมอบอาวุธและพวกวัตถุปัจจัยให้ผมเพื่อแจกจ่ายออกไปก่อน หลังจากที่ทำให้พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาเสียหายขนาดหนัก ขับไล่พวกเขาออกไปได้แล้ว พวกเราถึงจะมอบชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร ‘AC—42’ ให้กับคุณ”
“ไม่มีปัญหา” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ตรงข้ามกับหานวั่งฮั่วที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาถามอย่างใคร่ครวญ
“พวกคุณไม่กลัวเหรอว่าพวกเราจะพ่ายแพ้ให้กับพวกมนุษย์ชั้นรอง แม้แต่ชุดเกราะเสริมแรงทั้งสองชุดก็อาจจะตกอยู่ในมือพวกเขาด้วยซ้ำ”
สิ่งที่เขาต้องการจะถามจริงๆ ก็คือ ไม่กลัวว่าหลังจากนี้พวกเขาจะไม่จ่ายหรือไง
ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบออกมาก่อนคนอื่น
“พวกเราจะไปทวงมาเอง”
เขาพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วช่วยพูดเสริม
“พวกเราจะใช้อาวุธไปทวงของกลับมา”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจเต็มที่ หานวั่งฮั่วก็เริ่มแจ้งพวกยามเมืองทั้งหลายในแนวป้องกัน ให้พวกเขาหาเวลาสลับกันมารับวัตถุปัจจัยชุดใหม่
นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขานั้นไม่เหลือปืนกับกระสุนอีกแล้ว แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องเตรียมตัวก่อนจะแยกย้ายกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แล้วอาศัยซากปรักเมืองเพื่อทำศึกยืดเยื้อ
ในระหว่างที่แจกจ่ายวัตถุปัจจัยอยู่ หานวั่งฮั่วก็มองเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ
“พวกคุณยังมีอะไรอีกหรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณต้องการทหารรับจ้างไหมล่ะ
“ค่าจ้างให้เป็นอาหารซักสัปดาห์หนึ่งก็พอ ถึงยังไงพวกเราก็ต้องคอยเฝ้าทรัพย์สินตัวเองไม่ให้หายด้วยแหละ”
เธอคิดจะใช้โอกาสนี้เป็นการฝึกฝนสมาชิกทีม เพื่อให้มีประสบการณ์รับมือกับสถานการณ์ลักษณะนี้ในภายภาคหน้า
หานวั่งฮั่วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปยังตำแหน่งที่ไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้วปรึกษากับผู้ใต้บังคับบัญชาในนามสองสามคน
ครั้งนี้เขากลับมาอย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะพลางพูด
“ได้
“พวกคุณตามผมมา”
เมื่อได้รับการว่าจ้างแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าสู่โหมดทำงานทันที
เธอเหลือบมองดูที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้
“นายอำเภอหาน คุณไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ
“พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาไม่ได้โจมตีมานานแค่ไหนแล้ว”
พวกเขาเดินทางมาจากโบสถ์นิกายตื่นตัวที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง พวกวัตถุปัจจัยที่นำติดตัวมาด้วยก็แจกจ่ายจนเกือบหมดแล้ว
ระหว่างทางที่พวกเขามาก็ไม่ได้ยินเสียงปืนเสียงปืนใหญ่อีกเลย
“นี่เป็นเหตุผลที่พวกเราจ้างคุณ” หานวั่งฮั่วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทีมแรกสุดที่เจอมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขานั้นไม่มีใครกลับมาสักคน”
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมืองเงียบสงัดจนน่าขนลุก
[1] เป็นมุกตลกที่ตรงกับในภาษาไทย หมายถึง ไป๋เฉินขับรถเปิดลำโพงตะโกนไปว่า ‘มีขวด กระดาษ เศษเหล็ก พลาสติกมาขาย มีตู้เย็นเก่า พัดลมเก่า ที่นอนเก่าเอามาแลก’