เจี่ยงไป๋เหมียนก้มมองดูแผนที่ฉบับนี้และมงกุฎกิ่งไม้สานที่ร่วงลงมา นึกถึงคำอธิบายที่หานวั่งฮั่วเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับที่มาที่ไปของมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขา เธอก็เงียบงันไปหลายวินาทีก่อนจะพูดหัวเราะเยาะตัวเอง
“ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นจอมวายร้ายตัวจริงซะแล้วสิ”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบอะไร เธอก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“แต่การที่ชาวชุมชนศิลาแดงพยายามปกป้องบ้านเมืองของตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกัน”
* * * * *
“โลกนี้แม่งระยำ!”
หลงเยว่หงมองดูปีศาจภูเขาที่อยู่ต่อหน้าตนเองค่อยๆ หมดลมหายใจกลายเป็นซากศพร่างหนึ่ง เขาเงียบงันไปเนิ่นนานแล้วก่นด่าออกมาประโยคหนึ่ง
เขายืนขึ้นแล้วเดินกลับไปอยู่ข้างกายไป๋เฉิน ในขณะที่บรรจุลูกกระสุนเติมเข้าไปในปืนยิงระเบิด เขาก็ถอนหายใจออกมาจากใจ
“ตอนนี้ฉันเริ่มพอจะเข้าใจปณิธานของซางเจี้ยนเย่าที่ต้องการจะช่วยมนุษยชาติขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
หานวั่งฮั่วผู้มีหูเฉียบไวและอยู่ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก มองมาด้วยความประหลาดใจ
ครั้นเมื่อเปรียบเทียบคำว่า ‘ซางเจี้ยนเย่า’ สามคำนี้กับชายหนุ่มแปลกหน้า เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกแยกแม้แต่น้อย
คนแบบนั้นจะมีความคิดแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ไป๋เฉินเองก็ได้ยินคำพูดสุดท้ายของปีศาจภูเขาเช่นกัน เธอพูดตอบกลับมา
“ความคับแค้นใจของคนอื่นนั้นก็มีทั้งถูกและผิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอแล้วล่ะ”
เธอหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดเสริม
“อาศัยแค่พวกเราไม่กี่คน จะไปช่วยมนุษยชาติทั้งหมดได้ยังไง
“ต่อให้มีพลังที่ทำให้ผู้คนเป็นมิตรเหมือนอย่างผู้แจ้งเตือนซ่ง ถึงจะแข็งแกร่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า นั่นก็ทำได้เพียงแค่ให้คนแถวๆ นี้เชื่อใจกันและหยุดเข่นฆ่ากันเอง แต่พอพวกเราจากไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ”
เดิมทีนั้นเธอต้องการจะพูดว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ สามารถทำได้เพียงแค่สันติภาพจอมปลอม แต่เมื่อเห็นว่ายังมีหานวั่งฮั่วกับยามเมืองอีกคนอยู่ด้วย จึงเปลี่ยนใจมายกผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเป็นตัวอย่างแทน
หลงเยว่หงเงียบงันไปชั่วครู่
“เรื่องที่พวกเราทำกันอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไร้ประโยชน์ หากไม่สามารถทำความเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ทำให้โลกเก่าล่มสลาย หากไม่สามารถหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของ ‘โรคไร้ใจ’ ต่อให้ ‘กองทัพกู้โลก’ จะสามารถทำเรื่องในอุดมคติให้เป็นจริงได้และสร้างโลกใหม่ที่สวยงามขึ้นมาได้ก็ตาม แต่สุดท้ายถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรืออาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิมก็ได้
“ฉันรู้สึกว่าซางเจี้ยนเย่าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน จะต้องหา ‘สาเหตุของโรค’ ให้ได้ก่อน จึงจะสามารถรักษาให้หายขาดได้”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง หานวั่งฮั่วก็รู้สึกแปลกๆ มากขึ้นทุกขณะ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะประเมินไว้แล้วว่านักล่าซากอารยะกลุ่มนี้น่าจะมาจากกองกำลังใหญ่ที่ไหนสักแห่ง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าทีมพวกเขานั้นจะมีเป้าหมายที่จะทำเรื่องเช่นนี้ มีอุดมคติที่ ‘สูงส่ง’ ถึงขนาดนี้
พวกเขาทั้งสี่คนจะสามารถทำให้อุดมคตินี้บรรลุได้งั้นหรือ นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่ ‘ปฐมนคร’ กับ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ เองก็ยังทำไม่ได้เลย… หานวั่งฮั่วส่ายหน้าเงียบๆ หันไปสำรวจตำแหน่งค่ายของมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาต่อ
* * * * *
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจด้วยความสะเทือนใจแล้วก็พูดกับซางเจี้ยนเย่า
“รีบสำรวจดูว่ายังมีของอะไรอย่างอื่นอีกไหม พวกเราอยู่ได้อีกไม่นานก็ต้องรีบถอนตัวแล้ว
“พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาหยุดการบุกโจมตีชั่วคราว แต่อีกไม่นานพวกเขาก็จะรวบรวมคนแล้วมาตรวจสอบสถานการณ์”
ซางเจี้ยนเย่าพับแผนที่เก็บอย่างเรียบร้อยแล้วใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งของมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่
จากนั้นเขาก็ล้วงข้าวของออกมากองหนึ่ง
มีผลไม้แห้ง เหง้าของพืชบางชนิด ลูกอมสีเขียวในห่อขาดๆ เข็มที่หนายาวสองสามเล่ม
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งเดินไปที่ริมขอบของลานจอดรถเพื่อหยิบปืนที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เสร็จแล้วก็หันหน้ากลับมามองดู
เธอกวาดสายตามองดูข้าวของในมือซางเจี้ยนเย่าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่ค่อนข้างเกิดความคาดหมายของเธออยู่บ้าง
จากนั้นเธอก็รีบเดินไปหาหนึ่งในยามเมืองที่สวมชุดเกราะเสริมแรงของชุมชนศิลาแดงโดยไม่พูดคุยให้เสียเวลา
ยามคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่เหมือนกับพวกเธอที่ได้รับการปรับปรุงหรือดัดแปลงพันธุกรรมมาแล้ว ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะนั่งยองลงไปด้านข้างแล้วเขย่าตัวปลุก แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าเธอจะฟื้นสติขึ้นมา
ดีที่เตรียม FECA เอาไว้… เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยิบยาชีวภาพออกมาเพื่อทำการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน จากนั้นก็ฉีดเข้าเส้นเลือดยามเมืองของชุมชนศิลาแดง
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าช่วยสวมมงกุฎกิ่งไม้สานกลับคืนไว้บนหัวของมนุษย์มัจฉาเสร็จก็เดินกลับมาปิดสวิทช์ลำโพงก่อนจะเอาเก็บกลับคืนไว้ในกระเป้ยุทธวิธี
ในที่สุดยามเมืองหญิงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงก็ฟื้นขึ้นมา
เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาก็คือหน้ากากหลวงจีนรูปงาม
สำหรับชาวชุมชนศิลาแดง นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เธอถามด้วยความร้อนรน
“พวกคุณคือ…
“แล้วศัตรูล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกนไปที่ซางเจี้ยนเย่าก่อน
“ฉีด FECA ให้เขาด้วย”
เธอหมายถึงยามเมืองที่สวมชุดเกราะเสริมแรงอีกคนหนึ่ง
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มให้กับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า
“พวกเราเป็นทหารรับจ้างที่นายอำเภอหานจ้างไว้น่ะ
“ศัตรูถูกจัดการไปแล้วล่ะ”
“จัดการไปแล้ว…” ยามเมืองหญิงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงโพล่งออกมาอย่างประหลาดใจ
เจ้าสัตว์ประหลาดที่ราวกับเป็นเทพปีศาจนั่นถูกมนุษย์สองคนนี่จัดการไปแล้วเหรอ…
อยู่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ขนาดฉันที่สวมชุดเกราะเสริมแรงเอาไว้ ก็ยังเปราะบางเหมือนเด็กทารกเลย…
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่าที่ก้มลงไปเก็บเสื้อที่เขาใช้เป็นตัวล่อขึ้นมา จากนั้นถึงจะเดินไปหายามเมืองอีกคน แล้วเธอตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกคุณด้วยนั่นแหละ หากไม่ใช่เป็นเพราะพวกคุณช่วยดึงความสนใจของเขาเอาไว้ อีกทั้งยังจัดการพวกผู้คุ้มไปจนเกือบหมด พวกเราคงไม่มีทางทำสำเร็จ”
โดยไม่รอให้ยามเมืองหญิงตอบคำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เร่งซางเจี้ยนเย่า
“กองทัพศัตรูใกล้จะมาแล้ว เราต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
เมื่อเห็นว่าสหายของตนได้รับการช่วยเหลือจากทหารรับจ้างที่สวมหน้ากากลิงจนฟื้นขึ้นมาแล้ว ยามเมืองหญิงผู้นี้ก็พูดออกมาจากใจ
“ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก หนึ่งในเหตุผลที่ปลุกพวกคุณขึ้นมาก็เพราะจะให้พวกคุณช่วยล่อเป้าล่อกระสุนของศัตรูให้น่ะ พวกเราจะได้กลับไปง่ายขึ้นหน่อย ถึงยังไงพวกคุณก็ใส่เกราะเสริมแรงกันอยู่ เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ แต่น่าเสียดายที่ถูกหน้ากากบังเอาไว้
ยามเมืองหญิงฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
สิบกว่าวินาทีถัดมา เธอกับเพื่อนวิ่งออกจากลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลับไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอายกับห้างสรรพสินค้าซิกซ์เดย์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ย่อมดึงดูดความสนใจของมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาอย่างแน่นอน กระสุนบางส่วนปลิวว่อนใส่พวกเขา
ด้วยความแข็งแกร่งของชุดเกราะเสริมแรงทางทหารทำให้ยามเมืองทั้งคู่หลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดาย พวกเขากระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็ขึ้นไปบนอาคารที่พังถล่ม หายลับไปจากครรลองสายตาของศัตรู
การดำรงอยู่ของชุดเกราะเสริมแรงทั้งสองชุดนั้นช่วยปกปิดการล่าถอยของซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียน พวกเขาวกอ้อมเล็กน้อยเข้าไปยังตำแหน่งที่เป็นจุดอับสายตาของศัตรูแล้วปีนขึ้นไปบนอาคารที่พังถล่มอย่างง่ายดาย
ขณะที่เข้าไปใกล้จุดที่ใช้เป็นป้อมปราการในตอนแรก ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนเสียงดัง
“พวกเราเอง! พวกเราเอง!”
นี่ไม่ใช่การระบุตัวตนเพื่อป้องกันพวกเดียวกันยิงใส่เท่านั้น แต่ยังเป็นการบอกให้พวกพ้องช่วยคุ้มกันให้ด้วย
แน่นอนว่าเดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมจะใช้วิทยุสื่อสารเพื่อแจ้งไปอยู่แล้ว แต่ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากตะโกนออกมาเสียก่อน
เธอจึงได้แต่ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ ชักมือที่เอื้อมไปที่เข็มขัดกลับมา
ภายใต้การยิงคุ้มกัน เพียงไม่นานพวกเขาก็กลับมายังห้องที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงอยู่
เมื่อเหลือบตามองก็เห็นซากศพ เลือด รูกระสุน และร่องรอยจากการระเบิดอยู่ทั่วทุกที่ เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะให้หลงเยว่หง
“ทำได้ไม่เลว”
สามารถรอดจากการโจมตีของศัตรูจำนวนมากมาได้ก็ควรค่าแก่การชมเชยแล้ว
“ใช่แล้วล่ะ” ไป๋เฉินเองก็เห็นด้วย
ซางเจี้ยนเย่ายกนิ้วหัวแม่มือให้ นี่ถ้าหากเขาไม่ได้สวมหน้ากากอยู่ หลงเยว่หงก็คงได้เห็นรอยยิ้มสดใสไปแล้ว
“หลักๆ เป็นเพราะทุกคนช่วยกันน่ะ” หลงเยว่หงพูดอย่างถ่อมตัว ทั้งมีความสุขทั้งรู้สึกกระดากเจืออยู่บ้าง
ตอนนี้หานวั่งฮั่วก็ถามขึ้นมา
“สถานการณ์ด้านนั้นเป็นไงบ้าง”
เมื่อเห็นทั้งซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนสามารถมีชีวิตรอดกลับมาจากผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาที่น่ากลัวนั่นได้ เขาก็ยกระดับการประเมินความแข็งแกร่งของทั้งคู่ขึ้นมาอีกหลายระดับ
ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถอนหายใจขึ้นมาเสียก่อน
“น่าเสียดายที่เปิดเพลงกล่อมเด็กให้เขาฟังไม่ได้
“ในลำโพงไม่มีเพลงเก็บไว้”
“…” หานวั่งฮั่วรู้สึกคำตอบอีกฝ่ายเหมือนไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ได้เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับมาทันที
“ถูกจัดการไปแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวเรื่องหายใจไม่ออกอีกแล้ว”
“จัดการไปแล้ว…” หานวั่งฮั่วถามอย่างประหลาดใจ
ต่อให้เป็นพวกชาวชุมชนที่อ่อนประสบการณ์ก็ยังบอกได้ว่าผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองคนนั้นน่ากลัวขนาดไหน นับประสาอะไรกับ ‘นักล่าชั้นกลาง’ อย่างหานวั่งฮั่ว
อยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งร้อยเมตรก็ยังทำให้คนนับร้อยหายใจไม่ออกได้พร้อมๆ กัน นี่มันเป็นพลังในระดับเทพเซียนหรือไม่ก็ปีศาจมารร้ายเท่านั้นถึงจะมีได้!
ต่อให้มุขนายกเรนาโต้อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้
และผู้ตื่นรู้มนุษย์ชั้นรองเช่นนั้นกลับถูกสังหารโดยคนธรรมดาสองคนที่นอกจากตัวสูงหน้าตาดีแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรพิเศษที่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปเลยเนี่ยนะ!
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “ถ้าไม่มีพวกคุณช่วยยิงคุ้มกัน กับชุดเกราะเสริมแรงทางทหารสองชุดนั่น พวกเราก็คงเข้าไปใกล้ไม่ได้หรอก”
พูดกันตามตรง ถ้าหากชุดเกราะเสริมแรงทางทหารทั้งสองชุดนั่นไม่อาจดึงดูดความสนใจและจัดการพวกคนคุ้มกันไป เธอก็คงจะหาโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าได้ชิมรสชาติของ ‘ไฟช็อต’ แล้วลากเขาออกมา ไม่เข้าไป ‘รบกวน’ ผู้ตื่นรู้มนุษย์ปลานั่นหรอก
หานวั่งฮั่วนิ่งเงียบไป สายตามองสลับไปๆ มาๆ ระหว่างซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ
ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วว่าทีมนี้อาจจะสามารถสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าได้จริงๆ และสามารถทำเรื่องที่พวกกองกำลังใหญ่ทั้งหลายนั่นไม่อาจทำได้
พวกเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่… ในใจของหานวั่งฮั่วมีคำถามนี้ผุดขึ้นมา
* * * * *
ณ ลานจอดรถด้านหลังอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กำลังเสริมซึ่งเป็นกองกำลังผสมผสานของมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาเดินทางมาถึงแล้ว
สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาพวกเขาก็คือซากศพเกลื่อนกลาด ไม่ว่าจะเป็นสภาพศพสมบูรณ์หรือเป็นซากร่างที่ไม่สมบูรณ์ก็ตาม
หัวใจพวกเขาหดเกร็ง รีบเข้าไปด้านในของลานจอดรถอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็เห็นมนุษย์มัจฉาร่างสูงใหญ่คนนั้น
เขานอนทอดร่างบนพื้น ดวงตาปิดสนิท ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ไม่หายใจอีกแล้ว แต่มงกุฎกิ่งไม้สานบนศีรษะยังคงสวมใส่ประดับไว้อย่างเรียบร้อย
“ผู้นำสาร…” มนุษย์มัจฉาที่นำอยู่ด้านหน้าพึมพำออกมาด้วยความหวาดผวา
ในสายตาของพวกเขานั้น ผู้นำสารแห่งเทพนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในพิภพนี้ หากปราศจากความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็น พวกปีศาจภูเขาย่อมไม่มีทางให้ความร่วมมือและเชื่อฟังถึงขนาดนี้เป็นแน่
ทว่าในตอนนี้ ผู้ที่ใกล้บรรลุเป็นเทพเซียนกลับสิ้นชีพไปแล้ว ถูกสังหารโดยคนไม่กี่คนที่ศัตรูส่งออกมา
ท่ามกลางความเงียบงันอันไม่อาจอธิบายได้ มนุษย์มัจฉาคนหนึ่งตะโกนลั่นราวกับเสียสติไปแล้ว
“ปีศาจ!
“พวกมันส่งปีศาจออกมา!”
* * * * *
ในระหว่างที่ยามเมืองของชุมชนศิลาแดงกำลังกังวลเรื่องการโจมตีระลอกสองของพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองอยู่ แต่กลับกลายเป็นว่ามนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาเริ่มถอนกำลังกลับไป
เสียงนกหวีดกรีดร้องเสียงแหลมสามครั้ง พวกเขาถอดปืนใหญ่เก็บ รวมถึงอาวุธต่างๆ ด้วย ถอยกลับออกจากซากเมืองไปประหนึ่งเป็นกระแสน้ำลด