ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘ถาม’ แทนซ่งเหอโดยไม่ต้องให้เขาถามเอง
“ข้างในเป็นยังไง”
จากการพูดคุยเมื่อครู่นี้สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือเชลยมนุษย์มัจฉาผู้นี้สามารถฟังภาษาแม่น้ำแดงเข้าใจถ้าหากเขาพูดให้ช้าลงสักหน่อย
เชลยมนุษย์มัจฉาส่ายหน้า
“ที่นั่นทำให้รู้สึกแปลกๆ แปลกมากๆ พวกเราก็เลยไม่กล้าเข้าไป ทำได้เพียงแจ้งผู้นำสาร เอ่อ… ตอนนั้นเขายังเป็นบาทหลวงอยู่น่ะ
ซ่งเหอไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาถามไปประโยคหนึ่ง
“หลังจากที่เขาออกมาแล้วก็ห้ามพวกคุณเข้าไปสำรวจใช่หรือเปล่า”
เชลยมนุษย์มัจฉาประหลาดใจ
“ทำไมเจ้าถึงรู้”
ก็ใช้สมองคิดนะสิ… หลงเยว่หงแอบเสียดสีอยู่ในใจ
เมื่อเชลยมนุษย์มัจฉาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าซ่งเหอก็ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีก ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ตอนนั้นเขาเข้าไปในวิหารเพียงลำพัง แค่ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ออกมาแล้ว จากนั้นก็บอกว่ามีอันตรายมาก หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด
“เพียงไม่ถึงสองวันเขาก็ให้ทุกคนถอนตัวออกจากเกาะ”
ซ่งเหอผงกศีรษะเล็กน้อย ถามชี้นำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“หลังจากนั้นผ่านไปนานแค่ไหนเขาถึงได้แข็งแกร่งมากขึ้นขนาดนั้น”
“ข้าไม่รู้” เชลยมนุษย์มัจฉาตอบด้วยความไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักเช่นกัน “สองสัปดาห์ต่อมาในพิธีมหามิสซา พวกเราถึงจะรับรู้ความแข็งแกร่งของเขาได้ จากนั้นก็เลยเปลี่ยนมาเรียกเขาว่าผู้นำสารแห่งเทพ”
ซ่งเหอฟังอย่างเงียบๆ จนจบก็ครุ่นคิดใคร่ครวญ ไม่ได้ถามอะไรไปช่วงหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสถามด้วยความสงสัย
“โดยปกติเขาชอบนอนหลับเหรอ”
เชลยมนุษย์มัจฉารู้สึกงุนงงกับคำถามนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งถึงจะตอบออกมา
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“เขาพักอยู่หลังโบสถ์คนเดียว ออกมาแค่ตอนเทศน์ ตอนมีมิสซา แล้วก็ตอนมีเรื่องสำคัญอย่างเมื่อคืนนี้”
ซ่งเหอกับซางเจี้ยนเย่าผลัดกันถามสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีใครได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
เห็นได้ว่าเชลยมนุษย์มัจฉาไม่ได้ปิดบังอะไร นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จริงๆ
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้” ซ่งเหอยืนขึ้นแล้วพูดอย่างมีไมตรี
เชลยมนุษย์มัจฉาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็ถามขึ้นอย่างปุบปับ
“พวกเจ้าจะฆ่าข้าแล้วใช่ไหม”
ร่างกายเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่ามองเขาแล้วหันหน้าไปพูดกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ
“ผมไถ่ตัวเชลยพวกนี้ได้ไหมครับ”
นายจะไถ่ตัวเอาไปทำอะไรเหรอนั่น… หลงเยว่หงพึมพำอยู่ในใจ
ซ่งเหอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มพลางถอนหายใจ แล้วพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง
“พวกเขาไม่ใช่ผู้รุกรานในความหมายที่แท้จริง ส่วนพวกเราเองก็มีบ้านที่ต้องปกป้อง ในสนามรบนั้นอาวุธไม่มีตา ใครจะฆ่าฟันกันก็เป็นเรื่องปกติ
“ขอเพียงแค่ไม่ได้ฆ่าฟันตามอำเภอใจ ผมก็คิดว่าไม่ควรเอาความแค้นไปลงกับเชลยศึก ความผิดของพวกเขาก็ให้พิจารณาว่ากันตามความเหมาะสมภายใต้การเฝ้ามองของผู้ครองกาลก็เพียงพอแล้ว นี่เป็นหนึ่งในคุณธรรมขั้นต่ำของมนุษย์ที่ทำให้พวกเราแตกต่างจากสัตว์
“ทีมสังเกตการณ์ของเราก่อนหน้านี้ไม่ได้กลับมา ยามเมืองที่ส่งออกไปดูลาดเลาหลังจากนั้นก็ถูกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาจับตัวไป ถ้าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และพวกนักโทษทางนี้ไม่ได้ฆ่าคนตามอำเภอใจ ผมจะพยายามผลักดันให้มีการติดต่อกันระหว่างทั้งสองฝ่ายเพื่อแลกตัวเชลยศึก”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เชลยมนุษย์มัจฉาก็ผ่อนคลายทันที ทั้งตัวราวกับไร้กระดูก ทรุดลงไปกับเก้าอี้
หลังจากออกมาจากห้องสอบปากคำแล้ว ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และซ่งเหอ ก็เดินออกมายังที่จอดรถชุมชนศิลาแดงด้วยกัน
ตอนที่กำลังจะไปยังจุดที่จอดรถจี๊ปเอาไว้ จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็นึกบางเรื่องขึ้นมาได้
“ทำไมถึงไม่เห็นบัซเลยล่ะ”
ซ่งเหอเงียบงันไปชั่วขณะ
“เขาก็เป็นยามเมืองเหมือนกัน เมื่อคืนถูกส่งเข้าไปเสริมกำลังที่แนวป้องกัน ยังไม่ได้กลับมา”
เขาพูดอย่างละมุนละม่อมที่สุด
เอ๊ะ… หลงเยว่หงชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อคืนเขาเห็นชาวชุมชนศิลาแดงเสียชีวิตในการสู้รบไปมากมายหลายคน แต่เป็นเพราะไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นจึงไม่ได้เกิดความรู้สึกลึกซึ้ง แต่ใครจะรู้ บัซที่ก่อนหน้านี้พยายามเอาตัวรอดและหาวิธีป้องกันตัวมาตลอด สุดท้ายกลับไม่อาจรอดชีวิตจากสงครามครั้งนี้ได้
เดิมทีหลงเยว่หงคิดว่าหลังจากแผนของเฮลเว็กกับอันเฮอบัสถูกเปิดโปงแล้ว บัซซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากโบสถ์จะได้อยู่อย่างเป็นสุข ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง
เขาขุดอุโมงค์เอาไว้ตั้งเยอะแยะแต่ก็ไม่สามารถป้องกันชีวิตตัวเองในสนามรบได้… ในสงคราม คนเพียงแค่คนเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย บอกให้ตายก็ต้องตาย เฮ้อ… ถ้าไม่มีสงครามก็คงจะดีกว่านี้… หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า ไม่อาจตีความอะไรจากหน้ากากลิงได้
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปครู่หนึ่ง
“พวกคุณจะจัดงานศพให้เขาหรือเปล่า
“ผมรู้พิธีศพเยอะเลยนะ”
ซ่งเหอพูด “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“อย่าเสียใจไปเลย เขาได้เข้าสู่โลกใหม่ภายใต้การนำทางแห่งองค์เทพี ‘ธชียมโลก’ ไปแล้ว
“ในนิกายของเราไม่ได้จัดพิธีศพอะไรที่ซับซ้อน มีเพียงแค่มิสซาส่งวิญญาณเท่านั้น”
“ผมเข้าร่วมได้ไหมครับ” ซางเจี้ยนเย่าถาม
ซ่งเหอผงกศีรษะเบาๆ
“ได้สิ
“หากไม่มีพวกคุณ ชาวชุมชนศิลาแดงคงตายเพิ่มอีกมาก”
หลังจากอำลาซ่งเหอแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เดินกลับมาย่านที่พักแรมอย่างเงียบงัน
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกินยาแก้อักเสบและนอนหลับไปสักพักแล้ว สภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเที่ยงไม่น้อยเลย
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนทราบเรื่องการตายของบัซ เธอก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจไปสองสามครั้งให้กับความเปราะบางของชีวิต
จนกระทั่งหลงเยว่หงเล่าเรื่องเกาะใหญ่กลางทะเลสาบ เรื่อง ‘เทพ’ ผู้หลับใหล เรื่องวิหารต้องห้าม และการระบาดครั้งใหญ่ของ ‘โรคไร้ใจ’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ดวงตาเป็นประกาย
นี่คือเรื่องที่เธอรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“พอ ‘เทพ’ ที่ปกป้องพวกเขาหลับไป ‘โรคไร้ใจ’ ก็แพร่ระบาดในวงกว้างงั้นเหรอ ทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ หรือเปล่านะ ถ้าหากว่าเกี่ยว และพวกเราสามารถหาเจอ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไขความลับของ ‘โรคไร้ใจ’ ได้ก็ได้!” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นทุกขณะ ราวกับว่าไม่อยากจะทนป่วยต่อไปอีกแม้เพียงแค่วินาทีเดียว อยากจะรีบสลัดผ้าห่มแล้วรีบบึ่งตรงไปริมทะสาบมองหาเรือข้ามเกาะทันที
นอกจากเรื่อง ‘โรคไร้ใจ’ แล้วก็ยังมีเรื่องของ ‘เทพ’ ที่หลับใหล เรื่องของผู้ตื่นรู้สมัยโลกเก่าที่คาดว่าเข้าไปสำรวจ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ล้วนแต่ทำให้เธอได้เติมเต็มความปรารถนาที่อยากค้นคว้าทั้งสิ้น
เรื่องทั้งหมดนี้ถึงวอนขอก็ใช่ว่าจะได้ ต้องแล้วแต่โชคชะตาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นดั่ง ‘แสงสายัณห์ตะวันรอน’[1] เช่นนี้ หลงเยว่หงก็แอบ ‘สูด’ ปากเงียบๆ
“หัวหน้า… ทะเลสาบพิโรธ นั่นมันเป็นอาณาเขตของมนุษย์มัจฉานะ”
สำหรับมนุษย์ชั้นรองที่เชี่ยวชาญการว่ายน้ำ มีทั้งเหงือกมีทั้งเกล็ด การจะจับเรือสองสามลำพลิกคว่ำนั้นเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
และยิ่งกว่านั้น ทั้ง ‘เทพ’ หลับใหลอะไรนั่น ทั้งวิหารต้องห้าม ทั้ง ‘โรคไร้ใจ’ ที่แพร่ระบาดครั้งใหญ่ แค่ฟังดูก็รู้ว่าอันตรายขนาดไหน!
“ฉันไม่ได้โง่ซักหน่อย ฉันยังป่วยอยู่นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างขบขันออกมาประโยคหนึ่ง “ใช่ไหมล่ะ เสี่ยวไป๋”
ไป๋เฉินที่กำลังนั่งฟังอย่างเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“ฉันเห็นด้วยกับประโยคหลังของคุณ”
“ประโยคหลัง… ที่ว่า ‘ยังป่วยอยู่’ นะเหรอ ฮ่า นี่เธอบอกว่าฉันโง่งั้นเหรอ” หัวสมองของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่รวดเร็วฉับไวเหมือนทุกที ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจความหมายของไป๋เฉิน
ไป๋เฉินลุกขึ้นยืนแล้วตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น
“แต่ถ้าจะคิด งั้นก็ช่วยไม่ได้”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วหันไปมองซางเจี้ยนเย่า “ไหงฉันถึงรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ติดเชื้อจากนายมานะเนี่ย ฉันคิดถึงเสี่ยวไป๋ในสมัยก่อนที่ไม่เคยพูดประชดประชันชะมัด!”
หลังจากหัวเราะเฮฮากันไปพักหนึ่ง เป็นเพราะผู้ป่วยต้องพักผ่อนให้มาก ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจึงกลับไปห้องที่อยู่ถัดไป จัดการกับธุระของตัวเอง จากนั้นก็วางแผนซื้ออาหารสดจากชุมชนศิลาแดงเพื่อเพิ่มความหรูหราให้กับอาหารเย็นวันนี้เสียหน่อย
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพวกเขาออกจากห้องไปแล้วก็ยิ้มออกมา
เธอยังคงกระหายที่จะทำ ยังคงต้องการไปที่เกาะใหญ่กลางทะเลสาบเกาะนั้น ต้องการจะไปดู ‘เทพ’ ที่หลับใหลเสียหน่อย
แต่เรื่องนี้ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘สาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ แม้แต่น้อย ไม่ได้เป็นภารกิจของทีม เธอจึงไม่อยากลากไป๋เฉิน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่า ให้เข้าไปพัวพันกับภยันตรายเพียงเพราะความปรารถนาของตนเอง
น่าขายหน้าจริงๆ เลยเชียว… หรือว่าจะแอบไปดีไหม แต่ในฐานะที่เป็นแบบอย่างอันดีของทีม จะทำแบบนั้นได้ยังไง… เจี่ยงไป๋เหมียนเอนหลังพิงหมอน ความคิดกระเจิดกระเจิง
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ขอบเตียงอีกหลังหนึ่งก็พูดขึ้น
“อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณบอกผมล่วงหน้าก่อนนะ”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนงุนงง
แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าประโยคนี้ฟังคุ้นๆ อยู่บ้าง
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด เธอก็นึกออกว่าตัวเองเคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อน
ตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพร จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ข่มขู่พวกขุนนาง หลังจากสร้างภาคีภราดรภาพแล้วเธอก็เตือนเจ้าหมอนี่ว่าถ้าเขาคิดจะทำอะไรแบบนี้อีก อย่างน้อยก็ให้ขยิบตาเป็นสัญญาณบอกใบ้เสียหน่อย ไม่ใช่จู่ๆ ก็พรวดพราดทำออกมากระทันหัน
พออยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนั้นจริงๆ จะไม่สนับสนุนเขา จะไม่ช่วยระวังหลังให้เขาอย่างนั้นหรือไง
สหายคืออะไร ก็คือคนที่เพียงแค่ขยิบตาให้ก็สามารถฝากชีวิตให้เขาได้แล้ว!
และในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้คำพูดเดียวกันนี้ส่งกลับมา
ความหมายของเขาก็คือเขาจะสนับสนุน ยินดีที่จะไปสำรวจวิหารที่เกาะกลางทะเลสาบด้วยกันอย่างนั้นนะเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันเข้าใจได้อย่างกระจ่างในทันที บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่มองเห็นเด่นชัดออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
เธอฮึมฮัมเบาๆ ออกมาสองครั้ง
“ฉันว่านะ นายนั่นแหละที่อยากจะไปเสียเอง”
“ใช่ ใช่” ซางเจี้ยนเย่ายอมรับเต็มปากเต็มคำ
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา พูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ฉันยังป่วยอยู่ย่ะ”
ถึงจะอยากไปจริงๆ ก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อน
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาหยิบลำโพงตัวเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้ยุทธวิธีแล้วสำรวจตรวจตราความเรียบร้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากับเจี่ยงไป๋เหมียน หนึ่งคนหันหน้า หนึ่งคนเอี้ยวตัว มองไปที่ประตูพร้อมกัน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ใคร” ซางเจี้ยนเย่าหยิบหน้ากากลิงขึ้นมาสวม
เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลี
จากนอกประตูมีเสียงตอบอย่างรวดเร็วด้วยภาษาแดนธุลีสำเนียงเพี้ยนๆ
“เลห์แมน
“พ่อค้าเลห์แมนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’”
พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ขายอาวุธให้เฮลเว็กเหรอ… ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธที่จะพบพวกเรา ไม่อยากเข้ามาติดอยู่ในวังวนปัญหาของชุมชนศิลาแดง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้มาเคาะประตูถึงที่เลยล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรวบรวมสมาธิ สวมเสื้อคลุม สวมหน้ากาก
จากรูปลักษณ์ภายนอก เลห์แมนดูไม่เหมือนพ่อค้าอาวุธแม้แต่น้อย มีดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมบลอนด์ตัดสั้นยุ่งเหยิง ท่าทางกระสับกระส่ายเล็กน้อย ไม่สูงไม่เตี้ย หน้าตาดูธรรมดา บุคลิกภาพเก็บตัว ทำให้เขาดูไม่มีอะไรแตกต่างไปจากทาสชาวแม่น้ำแดงวัยกลางคนในคฤหาสน์ขุนนางที่นอกเมืองหญ้าไพร
ลักษณะที่สะดุดตาผู้คนที่สุดก็คือจมูกสีแดงซึ่งเกิดจากการเป็นคอสุรามานานหลายปี
และบนแดนธุลีนั้น การที่ใครสามารถเป็นคอสุรามาได้หลายปีนั่นก็เพียงพอที่จะบ่งชี้สถานะหรือคุณค่าของคนผู้นั้นได้
เลห์แมนนั่งลงท่ามกลางพวกคนคุ้มกัน
เขายังคงรักษารอยยิ้ม ถูมือไปมา และพูดด้วยภาษาแดนธุลีที่ไม่ชำนาญ
“ได้ยินว่าพวกคุณเป็นคนฆ่าผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งมากคนนั้น”
ถึงแม้ว่าภาษาแดนธุลีของเขาจะพูดไม่คล่องนัก แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่คิดจะให้เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดง เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณไปฟังมาจากไหนล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าให้ความ ‘ร่วมมือ’ พูดเสริมออกมาหนึ่งประโยค
“ความลับของพวกเราถูกแพร่งพรายซะแล้ว!”
เลห์แมนตัวแข็งทื่อทันที
[1] แสงสายัณห์ตะวันรอน (回光返照) แสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า อุปมาถึงความสดใสกระปรี้กระเปร่าก่อนจะดับสลายหรือเสียชีวิต