รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 218 กุญแจสำคัญคือความเชื่อมั่น

หลงเยว่หงตกใจแทบกระโดดตัวลอย คิดว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังจะ ‘สร้างปัญหา’ อีกแล้ว จึงรีบพูดออกมาขัดจังหวะทันที

“เขาไม่ได้ตั้งใจจะเดิมพันกับนายหรอกน่า”

ในตอนที่หัวหน้าทีมจัดให้เขากับซางเจี้ยนเย่าออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน เขามักจะรู้สึกว่าต้องคอยจับตาดูอีกฝ่ายไว้ ไม่ปล่อยให้หมอนั่นก่อเรื่องตามใจชอบ

แน่นอนว่าถึงแม้จะคิดอย่างนั้นก็ตาม แต่ถ้าซางเจี้ยนเย่าต้องการจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ตนเองก็ไม่มีทางรั้งไว้ได้อยู่ดี

ในตอนนี้พวกคนคุ้มกันของเทเรซ่าขนอาวุธไปเก็บไว้ที่รถเสร็จแล้ว ตัวเธอเองก็เสร็จสิ้นการสวดอธิษฐานแล้วเช่นกัน กำลังเดินออกมาจากโบสถ์พร้อมกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ

“ไปสมาคมนักล่ากันได้แล้วล่ะ” เทเรซ่าผงกศีรษะเบาๆ ให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

ถึงแม้ว่าทีมนักล่าซากอารยะที่อยู่เบื้องหน้าจะยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่สังหารเฮลเว็ก แต่พวกเขาสามารถนำอาวุธที่หายไปกลับคืนมาได้ นี่ก็ทำให้เทเรซ่าก็พอใจมากแล้ว

ช่วงที่ผ่านมาเธอต้องแจกจ่ายวัตถุปัจจัยให้กับลูกน้องของเฮลเว็กไปไม่น้อย และยังมอบเป็นของขวัญให้กับพ่อค้าของเถื่อนเลห์แมน เพื่อหวังว่าจะสามารถประคองธุรกิจการค้าอาวุธของครอบครัวตนเองต่อไปได้

แม้ครอบครัวเธอนั้นมีเงินออมเอาไว้พอสมควร ทว่าการมีแต่ออกไม่มีเข้าก็ทำให้เธอรู้สึกกังวลอยู่บ้าง เมื่อได้อาวุธพวกนี้กลับมา นับได้ว่าประจวบเหมาะทันเวลาพอดี

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย ถามผู้แจ้งเตือนซ่งเหอต่อหน้าเทเรซ่าด้วยภาษาแดนธุลี

“ทำยังไงถึงจะได้พบ… มิสเตอร์…ดิมาร์โก้ได้โดยตรงเหรอครับ”

เขารู้สึกว่าการเรียกชื่อดิมาร์โก้ออกมาห้วนๆ ออกจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ ก็เลยเพิ่มคำว่า ‘มิสเตอร์’ ลงไปด้วย

ซ่งเหอหัวเราะพลางส่ายหน้า

“เป็นไปไม่ได้หรอก ขนาดผมเองก็ยังเข้าพบมิสเตอร์ดิมาร์โก้โดยตรงไม่ได้เลย

“มีเพียงมุขนายกที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นเท่านั้น ถึงจะสามารถสนทนากับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ผ่านวิดีโอคอลได้”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเหมือนได้รับคำตอบของปัญหาสำคัญแล้ว

“เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ สินะ”

นายหมายความว่าอะไรเนี่ย… หลงเยว่หงถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

เขาลองพยายามถอดรหัสความคิดของซางเจี้ยนเย่าดู…

เป็นเพราะมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่เคยออกมาข้างนอก และก็ไม่ยอมพบคนข้างนอก ดังนั้นเขายังมีชีวิตหรือตายไปแล้วก็ไม่มีใครรู้ หากว่าพ่อบ้านทั้งสามคนต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้ก็อาจจะแกล้งทำเป็นว่าดิมาร์โก้ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

และตอนนี้ ‘การอนุมาน’ เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เพราะมุขนายกของนิกายตื่นตัวสามารถวิดีโอคอลกับดิมาร์โก้ได้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะยังสงสัย แต่ก็คิดว่าควรจะเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

“มิสเตอร์ดิมาร์โก้มาเข้าร่วมพิธีมิสซาของพวกคุณด้วยหรือเปล่า”

“เปล่า” ซ่งเหอส่ายหน้า “ทุกครั้งเขาจะส่งพ่อบ้านมาเป็นตัวแทนน่ะ ฮา ฮา ตอนที่เขาเปลี่ยนมานับถือองค์เทพี ก็ไม่ได้ออกมาจาก ‘นาวาบาดาล’ เหมือนกัน และก็ไม่ได้ให้มุขนายกเข้าไปด้วย”

นี่มันระวังตัวเกินไปหน่อยแล้วมั้ง… หลงเยว่หงแอบนินทาอยู่ในใจออกมาประโยคหนึ่งก็เห็นซางเจี้ยนเย่าตบมือแปะๆ

หลงเยว่หงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้ายอมรับนับถือแล้วก็ถามต่อ

“ในชุมชนศิลาแดง ที่ไหนมีเรือบ้างครับ”

“อันเฮอบัสมีเรือเร็วอยู่ลำหนึ่ง ยามเมืองเองก็มีลำหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ มีแต่เรือไม้ธรรมดาเท่านั้น” ซ่งเหอนึกทบทวนอยู่ชั่วขณะ

เขาพอจะคาดเดาได้ลางๆ ว่าพวกของซางเจี้ยนเย่าต้องการทำอะไร แต่ก็ไม่เหมาะที่จะไปเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจ จึงได้แต่เตือนออกมาประโยคหนึ่ง

“พวกมนุษย์มัจฉาปกครองทะเลสาบอยู่นะ”

ซ่งเหอเงียบไปสองวินาทีแล้วพูดต่อ

“ผมรายงานเรื่องวิหารกลางทะเลสาบให้คณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นไปแล้ว ถ้าพวกคุณไม่รีบ จะรอสักหน่อยก็ได้ รอดูก่อนว่าพวกเขาสนใจส่งทีมพิเศษไปตรวจสอบกันไหม”

เขาเป็นคนดีชะมัด อุตส่าห์ช่วยพวกเราหาวิธีแก้ปัญหาให้เป็นพิเศษด้วย หรือว่าหลังจากที่ใช้พลังความเป็นมิตรไปนานๆ ก็เลยทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่เป็นมิตรไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว… หลงเยว่หงถอนหายใจด้วยอารมณ์พลางคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย

ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปครู่หนึ่ง

“ขอบคุณครับ”

หลังจากที่อำลาซ่งเหอและขึ้นรถจี๊ปมาแล้ว หลงเยว่หงก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“นายยกย่องเขาในระดับสูงสุดเลยนะเนี่ย”

เขายังจำที่ซางเจี้ยนเย่าเคยพูดไว้ได้ ที่บอกว่า ‘การพูดขอบคุณคือระดับขั้นที่สูงกว่าการตบมือ’

“เขาเป็นคนจริงใจมาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบ

หลงเยว่หงรับคำ “อืม”

“อย่างนั้นควรจะรออีกสักหน่อยไหม ให้นิกายตื่นตัวตัดสินใจก่อนว่าจะเอายังไง”

ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังขับรถอยู่ หันหน้าที่สวมหน้ากากลิงเอาไว้มาทางเขา

“ความหมายของเขาก็คือต้องรีบไปให้เร็วที่สุดไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นพอคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นส่งคนมา ก็ไม่เหลือน้ำแกงให้พวกเราแล้ว”

“…” หลงเยว่หงตอบอย่างไม่มีความมั่นใจสักเท่าไหร่ “นายคิดมากเกินไปแล้ว”

“นี่เป็นการใช้วิธีคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนมาอนุมานผลลัพธ์” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นเขาก็เลียนแบบน้ำเสียงของเจี่ยงไป๋เหมียนออกมาทันที

“เรื่องที่ต้องกังวลก็มีแค่เรื่องมนุษย์มัจฉาที่ครอบครองพื้นที่อยู่เท่านั้น”

หลงเยว่หงไม่สามารถหาข้อโต้แย้งคำพูดของซางเจี้ยนเย่าได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“พวกนายจะไปกันจริงๆ เหรอ ‘เทพ’ ที่หลับใหลคนนั้นต้องเป็นตัวอันตรายสุดๆ แหง ถึงแม้จะเรียกว่าเป็น ‘เทพ’ ก็เถอะ”

“นายดูสิ” ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะเอ่ยปากขึ้นก็เห็นหลงเยว่หงกระถดตัวถอยไปชิดประตูรถทันที

เขาหัวเราะออกมา

“ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา”

“นายยังเรียกแบบนั้นว่าไม่เห็นจะเป็นไรอีกเรอะ หัวหน้าก็บอกไม่ใช่หรือไงว่าหลังจากที่เขาหมดสติไปแล้ว ก็เหมือนกับว่าจะมีสัตว์ประหลาดกำลังจะโผล่ออกมาจากในร่างเขาน่ะ” หลงเยว่หงแย้ง

“นายไม่คิดว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจบ้างเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางกระหายอยากจะไปเต็มแก่แล้ว

คำพูดนี้ประสบความสำเร็จในการทำให้หลงเยว่หงหุบปากสนิท ไม่พูดอะไรต่ออีก

รถยนต์แล่นผ่านซากเมืองมุ่งหน้าต่อ ซางเจี้ยนเย่าเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรอีก

หลงเยว่หงรู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงเอ่ยปากถามขึ้นอีก

“นายคิดอะไรอยู่”

“คิดว่าจะหาวิธีไปเจอดิมาร์โก้ได้ยังไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตามตรง

หลงเยว่หง ‘สูด’ ปากออกมาคำหนึ่ง

“ยากมาก”

เขาพยายามเค้นสมองเพื่อช่วยวางแผน

“นายลองสร้างเพื่อนกับพ่อบ้านที่ดิมาร์โก้ส่งออกมาข้างนอกไหมล่ะ แล้วค่อยใช้เขาเพื่อแอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ เพื่อพบกับดิมาร์โก้

“อืม… ‘นาวาบาดาล’ ต้องคอยเติมวัตถุปัจจัยเป็นระยะ นายอาจจะลองพิจารณาเรื่องการแอบอยู่ในกล่องแล้วให้พ่อบ้านช่วยจัดการ แบบนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเจอตัว”

ซางเจี้ยนเย่าฟังเงียบๆ จนจบแล้วแสดงความเห็นออกมาคำหนึ่ง

“ไม่สร้างสรรค์”

“งั้นนายก็คิดวิธีที่สร้างสรรค์เอาเองก็แล้วกัน!” หลงเยว่หงไม่ค่อยพอใจ

ซางเจี้ยนเย่ากลับสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

ทันใดนั้นก็มีรถสีแดงที่มีหลังคาเปิดประทุนแล่นอยู่ข้างหน้า

รถคันนี้ไม่ถือว่าเป็นรถใหม่ แต่สะอาดสะอ้านมาก คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ขับขี่ก็คือแพทย์นิติเวชของสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ ชายมากรักแวร์ตูร์

“ทั้งรถทั้งคนนี่เหมือนกันเลยแฮะ” หลงเยว่หงแสดงความคิดเห็น

หลังจากโบกมือให้แวร์ตูร์ มองเขาขับรถขึ้นไปด้านเหนือของซากเมือง ซางเจี้ยนเย่าก็แย้งคำพูดของหลงเยว่หงด้วยรอยยิ้ม

“รถเขาสะอาดมาก แต่หน้าเขามีแต่เคราเต็มไปหมด”

แบบนี้จะเรียกว่าเหมือนได้ยังไง

หลงเยว่หงทนอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็พยายามหาคำอธิบายออกมา

“เขาคงคิดว่าเคราเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายละมั้ง”

ระหว่างที่พูดคุยเฮฮา ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ขับรถเข้ามาในชุมชนศิลาแดงและคอย ‘คุ้มกัน’ คุณนายเทเรซ่าไปที่สมาคมนักล่าเพื่อให้เสร็จสิ้นกระบวนการ

สำหรับเรื่องนี้ พวกเขาแต่ละคนต่างก็ได้รับแต้มนักล่ากันไปคนละ 100 แต้ม

นับจากนี้ไป ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และเจี่ยงไป๋เหมียน จะอยู่ห่างจาก ‘นักล่าชั้นกลาง’ อีกแค่ 700 กว่าแต้มเท่านั้น ในขณะที่ไป๋เฉินนั้นต้องการอีกเพียงราวๆ 140 แต้มก็จะกลายเป็น ‘นักล่าอาวุโส’

* * * * *

ในฐานะมนุษย์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา ภายหลังก็ยังรับการดัดแปลงพันธุกรรมอีก เจี่ยงไป๋เหมียนจึงป่วยเร็วหายเร็ว เพียงแค่วันที่สองเธอก็กลับมาเป็นพยัคฆ์กำเนิดมังกรเริงร่า[1]ขึ้นอีกครั้ง

เธอเหยียดตัวเหวี่ยงแขนซ้าย ยิ้มให้กับซางเจี้ยนเย่า

“เป็นไงล่ะ รู้สึกบ้างหรือยังว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสียหน่อย”

เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเงียบไป เธอก็พูดต่อ

“มีโรคมากมายหลายชนิดที่ถ้าหากว่าร่างกายเราแข็งแรงพอก็สามารถหายเองได้ นายดูสิ ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมล่ะ

“สำหรับโรคบางอย่าง พวกเราก็ยังสามารถใช้ยารักษา ใช้การผ่าตัด และใช้วิธีอื่นๆ เพื่อรักษาให้อาการดีขึ้นได้

“มีโรคส่วนน้อยที่ตอนนี้พวกเรายังจัดการไม่ได้ แต่ตราบใดที่อารยธรรมของมนุษย์ยังไม่ถูกทำลาย เทคโนโลยีด้านการแพทย์ยังพัฒนาอยู่ ก็มีแนวโน้มว่าในอนาคตอันใกล้จะมีวิธีจัดการได้”

ซางเจี้ยนเย่าใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็พลันแสดงสีหน้าถึงการรู้แจ้งโดยฉับพลัน

“ผมเข้าใจแล้ว!”

“เข้าใจอะไรของนาย” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างระแวง

ซางเจี้ยนเย่านั่งลงบนเตียง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอผมไปทดลองดูก่อน”

จากนั้นเขาก็นอนลง ยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง

* * * * *

ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ซางเจี้ยนเย่าดำเนินกลยุทธ์เช่นเดียวกับครั้งก่อน แปลงร่างเป็น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แบ่งตัวออกเป็นซางเจี้ยนเย่าจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างโรงพยาบาลขึ้นมาแห่งหนึ่ง

แต่ในครั้งนี้เขาได้สร้างแคปซูลโลหะซางเจี้ยนเย่าที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ขึ้นมาอีกด้วย

จากนั้นเขาก็อาศัยขบวนการซางเจี้ยนเย่าจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยความคล่องแคล่ว โดยใช้สารพัดวิธีเพื่อรับมือกับร่างที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีขาวไร้ใบหน้าพวกนั้น

หลังจากทำตามกระบวนการรักษาอันวุ่นวายซ้ำไปซ้ำมา ทั้งการรักษา กักตัว ฆ่าเชื้อ ฉีดยา ในที่สุดพวกคุณหมอซางเจี้ยนเย่าและพยาบาลซางเจี้ยนเย่าก็ได้รับชัยชนะอีกครั้ง แต่พวกเขาก็เหนื่อยมากจนหมดแรง ค่อยๆ ‘เป็นโรค’ ออกมาจากภายใน

สิ่งที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนก็คือพวกเขาไม่ได้หมดสิ้นหนทางอีกแล้ว รีบพากันไปที่แคปซูลโลหะซางเจี้ยนเย่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างมากนัก

แคปซูลแช่แข็งมนุษย์!

นี่เป็นอุปกรณ์ในนิยายวิทยาศาสตร์จากรายการวิทยุ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเข้าสู่สภาวะเยือกแข็งด้วยอุณหภูมิที่ต่ำอย่างยิ่งยวด เพื่อรอให้สามารถหาวิธีรักษาได้ในอนาคต

ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะเข้าไปในแคปซูล เหล่าคุณหมอซางเจี้ยนเย่าและพยาบาลซางเจี้ยนเย่าต่างก็หันมามองกันแล้วตะโกนเสียงดัง

“ต้องรอด!”

เมื่อปลุกใจเสร็จ พวกเขาที่อยู่ในสภาพถูกห่มด้วยผ้าปูเตียงสีขาวก็เข้าไปในแคปซูลแช่แข็งทีละคนแล้วปิดฝาแคปซูล

ภาพในสายตาพวกเขากลายเป็นสีดำสนิทในทันที อุณหภูมิต่ำจนไม่อาจทนทานได้ก็ค่อยๆ แผ่กระจายออก

ซางเจี้ยนเย่าแต่ละคนพยายามถ่างตาไว้ ไม่อยากจะหลับลงไป ราวกับไม่ค่อยมั่นใจในอนาคตมากนัก

ในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาในชีวิตของเขา คนรู้จักที่เคยเจ็บป่วยและรักษาจนหายดีแล้วปรากฏตัวขึ้นมาทางด้านซ้ายมือของเขาทีละคน ประหนึ่งว่าต้องการใช้ผลสำเร็จของตนเองสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขา ส่วนคนที่เจ็บป่วยแล้วเสียชีวิตก็ปรากฏอยู่ทางด้านขวามือ อึมครึมและหม่นหมองเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วขณะ บรรดาซางเจี้ยนเย่าทั้งหลายก็หลับตาลง เลือกที่จะเชื่อมั่นพวกพ้อง เชื่อมั่นในอนาคต

ในความมืดมิดไร้แสงสว่าง พวกเขาราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะสุดท้ายไป ทั่วร่างถูกแช่แข็งจนกระทั่งไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสมบูรณ์

เช่นนี้ก็นับว่ามีข้อดี ข้อดีก็คือถึงแม้จะตัดใจยอมแพ้ก็ไม่อาจยอมแพ้ได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ซางเจี้ยนเย่าคนหนึ่งก็พลันรู้สึกว่าความมืดมิดสีดำเบื้องหน้าถูกย้อมจนเป็นสีแดง

เขาลืมตาขึ้นมา พบว่าประตูตู้แคปซูลถูกเปิดออกและตนเองยังมีชีวิตอยู่

เขาผุดลุกขึ้นมานั่งทันที มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าแคปซูลแช่แข็งซางเจี้ยนเย่าถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ทว่ายังมีคุณหมอซางเจี้ยนเย่าอยู่สี่คนและนางพยาบาลซางเจี้ยนเย่าสี่คน

พวกเขาไม่ได้ห่มผ้าปูเตียงสีขาวอีกแล้ว

ในท้ายที่สุด เหล่าบรรดาซางเจี้ยนเย่าทั้งหลายก็พากันจับมือกระโดดโลดเต้น เฉลิมฉลองกับชัยชนะ

* * * * *

ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้นมา มองเห็นใบหน้าที่กำลังรอคอยด้วยความคาดหวังของเจี่ยงไป๋เหมียน

เขาเผยรอยยิ้มสดใสออกมาทันที

“ได้ผล”

“ได้ผลยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนดีใจระคนสงสัย

ถึงแม้จะรู้ดีว่าวิธีการของซางเจี้ยนเย่าจะทำให้จิตใจตัวเองติดมลพิษอย่างแน่นอน แต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี

ซางเจี้ยนเย่าจึงแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จของตนให้ฟัง

เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว สุดท้ายถึงจะพูดออกมาอย่างครุ่นคิด

“พอนายเชื่อมั่นในอนาคต ยอมถูกแช่แข็ง ก็ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

“แสดงว่ากุญแจสำคัญในการเอาชนะความกลัว ‘โรคภัย’ ก็คือความเชื่อมั่นสินะ”

พูดจบเธอก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“พลังพิเศษมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม”

ซางเจี้ยนเย่าก้มมองมือตนเอง

“ที่รู้สึกได้ชัดเจนที่สุดก็คือตอนนี้ผมสามารถพันธนาการมือได้เก้าคนพร้อมๆ กัน”

“ทำไมถึงเป็นเก้าล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนสงสัย

ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง

“ตอนสุดท้ายมีผมเหลือรอดได้เพียงแค่เก้าคนเท่านั้น”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมุมปากกระตุก

* * * * *

[1] พยัคฆ์กำเนิดมังกรเริงร่า (生龙活虎) หมายถึง แข็งแรงมีชีวิตชีวา

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset