ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งขึ้นมาได้อีกครั้ง นั่นคือเรื่องที่ว่ายิ่งเข้าไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ลึกเท่าไหร่ สิ่งที่สละก็จะยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น
เธอสงสัยว่ากระบวนการพิชิตเกาะแห่งความกลัวก็คือกระบวนการที่ขยายสิ่งที่สละให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิดจะคุยเรื่อง ‘ฉันทั้งเก้า’ กับซางเจี้ยนเย่าทันที เพื่อไม่ให้เขาเกิดความเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือจินตนาการในโลกแห่งจิตวิญญาณไม่ควรเชื่อมโยงกับความเป็นจริง
เธอตรึกตรองชั่วขณะก่อนจะถามออกมา
“แล้วอย่างอื่นล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่ประตู
“ต้องทดลองดูก่อน”
เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นลูกคู่อย่างรู้งาน เธอเดินไปเปิดประตูแล้วเดินไปด้านนอกของย่านที่พักซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง เดินออกห่างจากซางเจี้ยนเย่าไปเรื่อยๆ
ในระหว่างนี้เธอก็นับจำนวนก้าวอยู่ในใจไปด้วย และรักษาเส้นทางการเดินให้เป็นแนวตรง
เพียงไม่นานนัก ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนขึ้นมา
“ตรงนั้นแหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดเท้า หมุนตัวกลับมา ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าทาง
ที่เธอถามก็คือ นี่เป็นระยะขอบเขตของ ‘พันธนาการมือ’ ใช่ไหม
การตรวจจับการเหนี่ยวนำไฟฟ้าชีวภาพของเธอระบุว่าไม่มีคนอยู่แถวนี้ จึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ เธอก็คำนวณคร่าวๆ
“เกือบยี่สิบเมตร!”
นี่ทำให้เธอแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้ว ในครั้งนี้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาถึงประมาณ 50% เลยทีเดียว แถมยังส่งอิทธิพลได้ถึงเก้าคนพร้อมๆ กันอีกด้วย พลัง ‘พันธนาการมือ’ นี้นับได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ด้วยปืนเป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพอีกครั้ง
อย่างน้อยที่สุด พลัง ‘พันธนาการมือ’ นี้ก็เป็นเช่นนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มเดินกลับไปจนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าตะโกนบอกให้หยุด
“คนไร้เหตุผลเหรอ” เธอถาม
ในตอนนี้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงออกจากห้องมาเฝ้าดูการทดลองของพวกเขาด้วย
“ใช่!” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงดัง
เท่ากับสิบเมตร… เพิ่มขึ้นมา 50% จริงๆ ด้วย… เจี่ยงไป๋เหมียนเดินต่อจนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าตะโกนให้หยุดเป็นครั้งที่สาม
ขณะนี้คนทั้งคู่อยู่ห่างกันประมาณหกเมตร
“นอกจากระยะขอบเขตแล้ว ยังมีอะไรอีกไหม” หลังจากการทดลองสิ้นสุด เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลดเสียงถามออกมา
หลงเยว่หงเพิ่งจะเดาออกว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ จึงเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจแกมตื่นเต้น รวมทั้งมีความยินดีกับซางเจี้ยนเย่าด้วย
“นายเอาชนะเกาะ ‘โรคภัย’ ได้แล้วเหรอ”
“ไม่ได้เอาชนะหรอก เรียกว่ารอดชีวิตมาได้ดีกว่า” ซางเจี้ยนเย่าพูดตามความเป็นจริง
แล้วเขาก็พูดต่อ
“‘คนไร้เหตุผล’ ยังมีผลกับแค่คนเดียวเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมระยะเวลาที่ทำให้เป้าหมายไร้เหตุผลได้นานขึ้น ถ้าหากเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่เขาเจอในชีวิตประจำวันอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้เขารู้ตัวได้ยากขึ้นไปอีก”
“ได้นานประมาณไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
เนื่องจากซางเจี้ยนเย่าได้เปิดเผยพลังของตัวเองให้คนในกลุ่มรู้กันไปเกือบหมดแล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องช่วยปิดบังให้เขาอีก
“ยังไม่ได้ลองเลย” หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าพูดประโยคนี้ออกมา สายตาของเขาก็กวาดไปที่ใบหน้าหลงเยว่หง
หลงเยว่หงรีบถอยไปสองก้าวโดยสัญชาตญาณทันที
“ผมคิดว่าน่าจะถึงชั่วโมงนะ” ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับแล้วพูดถึงการคาดเดาของตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“แล้ว ‘ตัวตลกชักจูง’ ล่ะ สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขยายระยะทางแบบถานเจี๋ยได้หรือเปล่า”
“ผมจะลองดู” ราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว เขาเดินไปที่เตียงอย่างตื่นเต้น แล้วหยิบลำโพงสีดำด้านล่างสีน้ำเงินขึ้นมา
นี่คืออุปกรณ์เอนกประสงค์ตั้งแต่สมัยก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย มันสามารถใช้บันทึกเสียงได้ด้วย
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเปิดลำโพงและเปลี่ยนเป็นโหมดบันทึกเสียง เจี่ยงไป๋เหมียนก็แอบยกสองมือขึ้นมาอุดหูตัวเอง
ไป๋เฉินเองก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนหลงเยว่หงนั้นไม่เพียงแต่จะอุดหู แต่ยังถอยกรูดไปที่ประตู พร้อมจะวิ่งออกจากห้องได้ตลอดเวลาอีกด้วย
เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าก็ส่งสัญญาณให้พวกเขาเอามือลงได้
เขาเอาลำโพงตัวเล็กหันไปทางเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วเปิดเล่นเสียงที่บันทึกไว้เมื่อครู่นี้
“คุณเป็นสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ผมเองก็เป็นสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
“คุณต่อสู้เก่ง ผมก็ต่อสู้เก่ง
“ดังนั้น…”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังเงียบๆ จนจบแล้วก็ยิ้มออกมา
“นี่จะทำให้ฉันเข้าใจผิดเรื่องอะไรละเนี่ย เป็นพี่ชายน้องสาวคนละพ่อคนละแม่งั้นเหรอ ไม่สิ น้องชายพี่สาวต่างหาก”
“ไม่ได้ผล” ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะด้วยสีหน้าหนักใจ “ผมส่งความคิดตัวเองเข้าไปในเสียงที่บันทึกด้วย แต่ตอนที่เปิดเล่นเสียง ผมไม่รู้สึกถึงความคิดนั้นเลย”
“บางทีอาจเป็นเพราะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนก็เลยทำให้ความคิดสลายตัวไป ถ้าเปิดเล่นเสียงก่อนที่ความคิดจะหายไปล่ะ จะได้ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาจากหลักเหตุผล
หลังจากทดลองซ้ำอีก พวกเขาก็สามารถยืนยันได้ว่า ไม่ว่าจะใช้เวลาสั้นขนาดไหน แต่ถ้าต้องผ่านการบันทึกเสียง จัดเก็บข้อมูล จากนั้นค่อยเปิดเล่น ล้วนแต่ไม่เกิดผลทั้งสิ้น
พอนึกถึงตอนที่ถานเจี๋ยใช้โทรโข่งเพื่อ ‘ยั่วยุระยะไกล’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เลยแนะนำดู
“ลองใช้โทรโข่งดูไหม
“มันไม่ต้องบันทึก ไม่ต้องจัดเก็บข้อมูล เป็นการสื่อสารโดยตรง ไม่แน่ว่ามันอาจจะส่งออกไปได้ก่อนที่ความคิดจะสลายไป
“แต่ถ้ายังไม่สำเร็จอีก นายก็ลอง ‘สร้างเพื่อน’ กับถานเจี๋ย แล้วก็เรียนรู้จากประสบการณ์ของเขาดูได้”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ก่อนอื่นต้องมีโทรโข่งเสียก่อน”
“เรื่องนี้ง่ายมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
เพียงไม่นาน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็เข้าไปที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะในชุมชนศิลาแดง
ครั้งนี้หานวั่งฮั่วไม่ได้ออกไปไหน
แขนซ้ายของเขาที่ได้รับบาดเจ็บถูกพันเอาไว้ ทำให้ดูพองนูนขึ้นมา
“พวกคุณ…” เมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ เข้ามาที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ หานวั่งฮั่วก็ยืนขึ้นมาทักทาย
เนื่องจากได้ผ่านประสบการณ์ทำศึกร่วมกันมา เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามจึงยิ้มให้แล้วพูดอย่างไม่เป็นทางการ
“มาเก็บบิลงวดสุดท้ายน่ะ”
ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าหานวั่งฮั่วนั้นจงใจสร้างภาพลักษณ์ให้เป็น ‘อัศวิน’ แต่ในตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเจตนาทำหรือไม่ก็ตามที
ในฐานะนายอำเภอที่ยืนหยัดอยู่ในแนวป้องกันแรกสุดเพื่อต้านทานการโจมตีของมนุษย์ชั้นรองโดยไม่แยแสความเป็นความตายของตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่แหละคือ ‘อัศวิน’ ของแท้
เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน หานวั่งฮั่วก็ตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“คงต้องรออีกสักสองวันน่ะ
“แต่ก็ใกล้แล้วแหละ พวกเราเก็บกวาดสนามรบไปแล้ว ยืนยันได้ว่ามนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาตายไปไม่น้อย ช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงจะไม่เปิดศึกรอบใหม่หรอก
“เหลือแค่รอให้ทีมลาดตระเวนรายงานสถานการณ์ล่าสุดกลับมา ให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันเสร็จ ก็จะส่งมอบชุดเกราะเสริมแรงให้กับพวกคุณได้แล้วล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบปลอบใจเขาทันที
“ไม่ต้องรีบก็ได้
“ถ้าหากว่าไม่มีจ่ายงั้นก็เอาถานเจี๋ยมาใช้หนี้ก็ได้”
“…” หานวั่งฮั่วไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร หรือตอบกลับไปเช่นไรดี
เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอมแล้วช่วย ‘อธิบาย’
“ความหมายของเขาก็คือถานเจี๋ยไม่เป็นไรมากใช่ไหม”
“จบศึกก็ป่วยน่ะ แต่ไม่หนักเท่าไหร่” หานวั่งฮั่วตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนเจตนาไม่สานต่อหัวข้อนี้ เธอยิ้มแล้วพูดออกมา
“ในศึกครั้งนี้ พวกเรามีส่วนร่วมลงแรงไปไม่น้อยเลย จะมีค่าตอบแทนพิเศษให้สักหน่อยไหม”
หัวหน้ายิ้มเหมือนพวกพ่อค้าหน้าเลือดชะมัด… หลงเยว่หงอดพึมพำไม่ได้
เขาหมายถึงน้ำเสียงที่เธอใช้
พวกพ่อค้าหน้าเลือดจำพวกนี้ ไป๋เฉินที่ใช้ชีวิตเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างและนักล่าซากอารยะมาหลายปี ย่อมเคยได้พบเจอมาหลายคน
“นี่… ก็อาจ… ไม่มาก…” หานวั่งฮั่วคิดจะพูดว่ายามเมืองของชุมชนศิลาแดงคงจะไม่ยอมรับการเพิ่มราคาค่าจ้างหลังจบการต่อสู้ แต่จากใจจริงของเขานั้นก็รู้สึกว่านักล่าซากอาระกลุ่มนี้มีส่วนร่วมในศึกนี้อย่างมีนัยสำคัญมาก เรื่องที่พวกเขาลงแรงทำไปกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ มันช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดแทรกเขาด้วยรอยยิ้ม
“มีคำขอสามเรื่อง เรื่องแรก ให้พวกเรายืมเรือเร็วของยามเมืองไปใช้หน่อย เรื่องสอง ขอโทรโข่งสักสองสามอัน เรื่องที่สาม ช่วยพวกเรารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’”
หือ… หานวั่งฮั่วค่อนข้างประหลาดใจ
คำขอทั้งสามเรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะไม่เกินเลยมากไป ซ้ำยังเรียบง่ายธรรมดามากอีกด้วย เป็นคำขอที่ตัวเขาสามารถตัดสินใจได้เลยโดยไม่ต้องไปเจรจากับพวกยามเมืองที่เป็นคนสำคัญด้วย
หานวั่งฮั่วพยายามฝืนบังคับตัวเองไม่ให้ถามออกไปว่า ‘นี่ไม่น้อยไปเหรอ’ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูด
“ไม่มีปัญหา พวกคุณต้องการเมื่อไหร่”
“โทรโข่งขอเป็นวันนี้ได้จะดีที่สุด เรื่องข้อมูลก็ขอภายในหนึ่งสัปดาห์ ส่วนเรือเร็วนั้นเอาไว้รอพวกเราบอกอีกที” เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมคำตอบเอาไว้พร้อมแล้ว
หานวั่งฮั่วรื้อค้นสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เจอโทรโข่งสีขาวฟ้าเก่าๆ อันหนึ่ง
“เอาไปอันหนึ่งก่อน ที่เหลือจะให้พวกคุณพร้อมกับชุดเกราะกระดูกเสริมแรง” เขาหยุดไปครู่แล้วเตือนออกมาประโยคหนึ่ง “การสู้กับมนุษย์มัจฉาในน้ำนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก”
ตอนที่ซ่งเหอ ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง สอบปากคำมนุษย์มัจฉา ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะบันทึกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเอาไว้ด้วย ดังนั้นหานวั่งฮั่วจึงรู้เรื่องเกาะกลางทะเลสาบเช่นกัน เขาได้ให้สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะกำหนดขั้นตอนอย่างเป็นทางการออกมาหลายเรื่องเลยทีเดียว
“จริงเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
นายอยากสู้กับมนุษย์มัจฉาใต้น้ำหรือไงยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วหันหลังเดินออกจากสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะไป
หลังจากซื้อวัตถุดิบทำอาหารและกลับถึงย่านที่พักแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็หยิบโทรโข่งขึ้นมา มองดูรอบๆ ก่อนจะถามขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว
“ใครจะลอง”
หลงเยว่หงก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ แต่พบว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ต่างก็มองมาที่ตนเองเป็นตาเดียว
“เอ่อ…” สีหน้าเขากลายเป็นขื่นขมขึ้นมา
จะให้ผู้หญิงสองคนเป็นหนูทดลองได้ยังไง… ซางเจี้ยนเย่าก็ ‘หลอกลวง’ ตัวเองจากระยะไกลไม่ได้… ความคิดของหลงเยว่หงวิ่งพล่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สูดหายใจเข้า
“ฉันเอง”
แล้วระยะห่างระหว่างเขากับซางเจี้ยนเย่าก็ไกลเกินกว่าสามสิบเมตร
ซางเจี้ยนเย่ายกโทรโข่งขึ้นมา ดวงตาเขาดำมืดทันที
“นายดูสิ…
“นายเป็นคนระวังตัว ไม่ชอบความเสี่ยง
“ธรรมเนียมพื้นบ้านของชาวชุมชนศิลาแดงก็คือระแวดระวังและซ่อนตัว
“ดังนั้น…”
เสียงผ่านโทรโข่งของเขาดังไปทั่วย่านที่พักแรม
เพื่อไม่ให้คนอื่นล่วงรู้ความลับของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จากคำพูดพวกนี้ เขาจึงเลือกใช้เงื่อนไขที่ธรรมดาที่สุด
หลงเยว่หงฟังจนจบก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าสักนิด
เมื่อเขากลับมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามอย่างกระตือรือร้น
“รู้สึกหรือเปล่า รู้สึกยังไงบ้าง”
“จู่ๆ ผมก็รู้สึกสนิทสนมกับคนชุมชมศิลาแดงขึ้นมาหน่อย” หลงเยว่หงประเมินตัวเอง
“จุดประสงค์ของผมคือทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนชุมชนศิลาแดงน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าพูดแทรกขึ้น
“หือ” หลงเยว่หงรู้ตัวขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะอย่างครุ่นคิด
“ผลออกมาแย่กว่าที่คิด
“ดูท่าแล้วการใช้โทรโข่งน่ะ ช่วยเพิ่มระยะของ ‘ตัวตลกชักจูง’ ได้ก็จริง แต่อิทธิพลจะลดลงไปด้วย อืม… ในตอนนั้น ‘ยั่วยุ’ ของถานเจี๋ยก็ไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉานั่นวิ่งออกมาตรงๆ เหมือนกัน”
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสริม
“แล้วก็เลือกเป้าหมายได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“ได้เท่านี้ก็ดีแล้วล่ะ เอาไว้นายก็ค่อยๆ ปรับปรุงเพิ่มก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม
จากนั้นเธอก็หันมามองหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน
“ฉันต้องส่งโทรเลข รายงานเรื่อง ‘เทพ’ ที่หลับใหลให้บริษัทรู้ ดูว่าจะได้รับข้อมูลหรือคำแนะนำอะไรมาบ้างหรือเปล่า”
“หือ” หลงเยว่หงตะลึงไปเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ ‘ฮ่า’ ขึ้นมาทันที
“นายคิดว่าฉันเป็นพวกประมาทไม่มีหัวคิดหรือไง พอบอกว่าจะไปก็ไปเลย ไม่มีการเตรียมตัวไว้ก่อนน่ะ”