“ช่วยข้าด้วย!”
ร่างในความมืดเอื้อมมือมาหาซางเจี้ยนเย่าประหนึ่งคนจมน้ำที่พยายามไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้าย
ทว่าซางเจี้ยนเย่ากลับหนาวเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง ดุจกำลังจมลงไปในน้ำเย็นแห่งเหมันต์
ในตอนที่มือนั้นเอื้อมมาถึงตัวเขาแล้วนั่นเอง ความมืดมิดที่ส่องประกายระยิบระยับเบื้องหน้าเขาก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ในที่สุดสีดำผืนนี้ก็แตกออกอย่างไร้สุ้มเสียง ลำแสงของดวงตะวันสาดส่องเข้ามาทำให้โลงศพสีดำและ ‘มัมมี่’ ที่สวมเสื้อป่านสีขาวปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของซางเจี้ยนเย่าอีกครั้ง
จิตสำนึกของเขากลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ในขณะเดียวกันร่างกายก็ยังคงชาหนึบอย่างรู้สึกได้อย่างชัดเจน เส้นประสาทกระตุกเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บมือซ้ายที่ยังมีประกายไฟฟ้ากลับมา พลางถามด้วยความเป็นห่วง “ฉันเห็นหน้านายบิดเบี้ยว ก็เลยพยายามปลุกให้ตื่นน่ะ”
พูดถึงตรงนี้เธอก็ถอนใจด้วยความรู้สึกขอบคุณฟ้าดิน
“โชคดีที่นายถอดหน้ากากแล้ว!”
“ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าถามแทนการตอบ
“ราวสามนาที” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่จำเป็นต้องยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็สามารถบอกคำตอบออกมาได้
เธอตั้งใจจดจ่อกับสถานการณ์ของซางเจี้ยนเย่าและระยะเวลาที่ผ่านไป ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่อาจรั้งรออยู่ในวิหารนานเกินไป
ซางเจี้ยนเย่านึกทบทวนชั่วขณะ
“ผมรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สิบกว่าวินาทีเอง”
จากนั้นเขาก็บรรยายถึงสภาพแวดล้อมอันมืดมิดที่ ‘ได้เห็น’ มา บานหน้าต่างในแสงสลัว หอคอยพร่ามัวเลือนลางที่อยู่ไกลออกไป ร่างที่คว่ำหน้าอยู่ใต้หน้าต่าง
“ร่างนั้นร้องออกมาว่า ‘ช่วยข้าด้วย!’ งั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างประหลาดใจ
ซางเจี้ยนเย่าตอบคำถามคนละเรื่องกัน
“เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลี”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูสภาพรอบๆ ของวิหารแล้วก้มหน้ามอง ‘มัมมี่’ ที่สวมเสื้อป่านเนื้อหยาบ ผงกศีรษะเบาๆ
“สภาพแวดล้อมแบบนี้ การที่เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
จากนั้นเธอก็พึมพำกับตัวเองด้วยความสนใจใคร่รู้
“เขาพูดออกมาจริงๆ ว่า ‘ช่วยข้าด้วย!’ … งั้นนี่ก็หมายความว่าสภาวะปัจจุบันของเขาไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดตามปกติสินะ
“หรือว่าตอนที่เขาสำรวจ ‘ทางเดินแห่งจิต’ อยู่ก็เกิดเรื่องผิดพลาดบางอย่าง ทำให้เขาติดอยู่ข้างใน จิตสำนึกกลับเข้าร่างไม่ได้
“ก่อนหน้านี้ที่ออร่าเขาหลอมรวมเข้ากับผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉา เป็นเพราะเขาต้องการถือกำเนิดขึ้นมา นั่นคือความพยายามที่จะเปิดช่องทางระหว่างโลกแห่งจิตกับโลกแห่งความจริงหรือเปล่านะ”
ทุกครั้งที่ซางเจี้ยนเย่าเข้าสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ เธอก็มักจะวิตกเรื่องทำนองนี้อยู่เสมอ ในตอนนี้จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะคิดไปในแนวทางเช่นนั้น
“แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเขากำลังค้นคว้าอะไรอยู่ แล้วกลายเป็นว่าจิตสำนึกตัวเองถูกขังอยู่ในจิตใต้สำนึกจนออกมาไม่ได้” ซางเจี้ยนเย่าระบุความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งออกมา
ในตอนนี้เขากำลังวิเคราะห์เชิงวิชาการอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“แต่นั่นไม่ได้อธิบายว่าทำไมร่างกายเขาถึงสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“เป็นไปได้ไหมว่าในสถานการณ์แบบนี้ ร่างกายมนุษย์หรือผู้ตื่นรู้จะเข้าสู่สภาวะที่คล้ายกับสภาพถูกแช่แข็งไปโดยปริยาย”
คำถามของเธอคงไม่อาจได้รับคำตอบในช่วงเวลานี้ จึงทำได้เพียงแค่พูดต่อ
“ไม่รู้ว่าหน้าต่างกับหอคอยที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นหมายถึงอะไรกันแน่
“ถ้าหากเป็นสถานการณ์ที่นายเดาไว้ งั้นมันก็ควรจะเป็นการสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ซึ่งถ้าหากฉันเดาไม่ผิดละก็ นั่นอาจจะเป็นสถานที่บางแห่งที่ลึกลงไปใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ก็เป็นได้…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“เวลาใกล้หมดแล้ว พวกเราไปหาเบาะแสอย่างอื่นกันต่อเถอะ มัวแต่อยู่ที่นี่คาดเดาสะเปะสะปะต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง สวมหน้ากากกลับเข้าไปอีกครั้ง ปลดไฟฉายออกมาจากเข็มขัด
ลำแสงสีเหลืองสาดฉายอย่างรวดเร็วเข้าไปในโลงศพสีดำ ขับไล่เงาให้ปลาสนาการไป เผยให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งถือปืนไว้มือหนึ่งโน้มตัวลงไป ใช้แสงจากไฟฉายเพื่อตรวจสอบ ‘เทพ’ ที่หลับใหลซึ่งมีนามว่าพยัคฆ์ยมราช
สายตาเธอเคลื่อนลงไปทีละนิ้วทีละนิ้วแล้วก็พบว่ามือขวาของ ‘มัมมี่’ มีเล็บฉีกหักไปสองสามนิ้วและมีรอยเปื้อนสีแดงเข้ม
“บาดเจ็บเหรอ” หัวใจเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกวูบ ส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าส่องไฟฉายไปด้านในโลงศพด้านข้างมือขวาของ ‘มัมมี่’
เมื่อไฟฉายส่องเข้าไปในบริเวณนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เห็นรอยขีดข่วนพร้อมๆ กัน
รอยขีดข่วนเหล่านี้ บางรอยก็ดูปกติ บางรอยเป็นรอยขาดๆ ไม่ต่อเนื่อง บางรอยเปื้อนสีแดงเข้ม
“หลังจากที่เขาหลับไปก็พยายามใช้นิ้วทำแบบนี้นะเหรอ หรือว่าตอนอยู่ในสภาพแบบนี้ช่วงแรกๆ ยังพอจะขยับนิ้วได้บ้างเป็นบางที” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจตีความเกี่ยวกับรอยขีดข่วนพวกนี้ได้ เพราะดูแล้วร่องรอยพวกนี้น่าจะถูกทำขึ้นหลายครั้งหลายครา ไม่ได้เกิดขึ้นภายในครั้งเดียว
เธอไม่ได้ถือปืนไรเฟิลไว้อีกแล้ว ปล่อยให้มันห้อยอยู่ข้างตัว จากนั้นก็หยิบกระดาษหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าแล้ววาดรอยขีดข่วนที่ปรากฏอยู่ภายในโลงลงไปบนกระดาษ คัดลอกตามทีละรอย และลดขนาดให้สัมพันธ์กันด้วย
หลังจากคัดลอกเสร็จ ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้แล้วว่ารอยขีดข่วนเหล่านี้คืออะไร
มันเป็นตัวอักษรภาษาแดนธุลี เขียนไว้ว่า
‘โล’ ‘กใ’ ‘ห’ ‘ม่’
“โลกใหม่…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าหลังจาก ‘เทพ’ พยัคฆ์ยมราชหลับใหลไปแล้วจะยังเขียนข้อความทิ้งเอาไว้เป็นข้อความสั้นๆ คำนี้
ซางเจี้ยนเย่ากระจ่างขึ้นในทันที
“เขาติดอยู่ในโลกใหม่!”
“นี่มันจะง่ายไปหน่อยละมั้ง แล้วก็นะ โลกใหม่เนี่ยมันคืออะไร อยู่ที่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้หลับหูหลับตาปฏิเสธการคาดเดาของซางเจี้ยนเย่า เพียงแต่ตั้งคำถามเพิ่มขึ้น
“ผมไม่รู้” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตามตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกครั้ง
“เอาไว้กลับไปค่อยคุยกัน สำรวจต่อเถอะ”
เธอกับซางเจี้ยนเย่าเร่งมือตรวจสอบสภาพโลงศพ แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมอีก
พวกเขาฉวยเวลาในช่วงสุดท้าย รีบเดินผ่านทางเดินซ้ายขวาด้านข้างวิหาร สุดท้ายก็พบว่าที่นี่ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย
“ได้เวลาแล้ว ต้องกลับกันแล้วล่ะ” หลังจากกลับมาถึงตำแหน่งที่โลงศพตั้งอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตัดสินใจออกมา
ซางเจี้ยนเย่ายังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงทำตามคำสั่งหัวหน้าทีมอย่างเชื่อฟัง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพยัคฆ์ยมราชที่นอนหลับอยู่ในโลงศพเป็นครั้งสุดท้าย สายตากวาดผ่านดวงตาปิดสนิท ใบหน้าผอมซูบ เสื้อป่านสีขาวออกเหลืองเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนลงไปยังกำไลกิ่งไม้สานในข้อมือขวาของเขา
เจี่ยงไป๋เหมียนเดาว่าของสิ่งนี้น่าจะทำให้เกิดผลกระทบที่น่าอัศจรรย์ได้ ทว่าการกลายสภาพครั้งสุดท้ายของผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาทำให้เธอไม่กล้าทดลองใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่ผีที่จะรู้ว่าของที่พยัคฆ์ยมราชทิ้งเอาไว้จะมีแบ็คดอร์[1] หรือพวก ‘ไวรัส’ หรือเปล่า!
“เฮ้อ…” เธอทอดถอนใจ พยายามสะกดข่มความโลภที่งอกเงยอยู่ในใจ แล้วกลับหลังหันออกจากวิหารโดยไม่เหลียวหน้ากลับมามอง
ของที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ปล่อยให้พวกคนของนิกายตื่นตัวหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ชำนาญด้านนี้ไปจัดการเถอะ…
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบตามเธอออกไป เขาเก็บไฟฉายแล้วเดินขึ้นไปในแนวเฉียง ใช้สองมือที่สวมถุงมือยางยกฝาโลงขึ้นมาแล้วปิดลงไปให้เรียบร้อย
หลังจากทำเรื่องนี้เสร็จ เขายืนอยู่หน้าโลงศพที่มองไม่เห็น ‘เทพ’ ที่หลับใหลอีกแล้ว โค้งคำนับสามครั้งอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หันกลับไปมองอีก ได้แต่ยืนมองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ อยู่หน้าประตูทางเข้าวิหาร
“เขายังไม่ตายสักหน่อย…” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจ
“แบบนี้จะได้อุ่นขึ้น แล้วก็จะได้ไม่ถูกแมลงรบกวนด้วย” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายเหตุผลของตนเองออกมา แล้วปลดผ้าม่านที่ประตูทางเข้าห้องโถงลง
เจี่ยงไป๋เหมียนส่งเสียง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่ง
“งั้นจะโค้งคำนับทำไมยะ”
“เป็นมารยาทน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสัตย์ซื่อ
หลังจากทั้งคู่ออกมาจากวัดโดยยืนกันคนละมุม ซางเจี้ยนเย่าก็หันกลับไปปิดประตูสีดำอย่างเบามือ
“มีมารยาทจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นอย่างคลุมเครือออกมาประโยคหนึ่ง
แล้วเธอก็พูดต่อ
“ในตอนที่ยังพอจะมีเวลา พวกเราลองสำรวจบ้านหลังอื่นๆ ดู เผื่อว่าจะมีเบาะแสอะไรเพิ่มอีก”
ไปไกลไม่สู้อยู่ใกล้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเปิดประตูบ้านหลังที่อยู่ในตรอกหน้าวิหาร เริ่มสำรวจแบบคร่าวๆ
แต่น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้เหมือนกับถูกพวกมนุษย์มัจฉาร่อนตะแกรงไปแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้เลย
สิ่งเดียวที่ยังพอเห็นได้ก็คือร่องรอยการต่อสู้ในหลายๆ พื้นที่ และคราบเลือดที่แห้งกรังกลายเป็นสีดำ
“ดูท่าแล้วพวกเขาน่าจะถูก ‘คนไร้ใจ’ โจมตีจริงๆ นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่มีใครเหลือรอด” เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินจากข้อมูลที่ได้รับมาจากเชลยมนุษย์มัจฉา
หลังจาก ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดในเมือง มนุษย์ที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นเหยื่อของพวก ‘คนไร้ใจ’
เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้อยู่กันนานเกินไป ออกจากตรอกแล้วรีบตรงไปยังที่จอดจักรยานเอาไว้
ตอนที่มาถึงปากตรอกเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับไปมองประตูที่เธอจงใจเปิดทิ้งไว้ กล่าวอย่างครุ่นคิด
“งั้นใครเป็นคนปิดประตูให้พวกเขาล่ะ”
‘คนไร้ใจ’ ที่เข้าไปล่าเหยื่อในบ้านย่อมไม่มีสัญชาตญาณว่าต้องปิดประตูหลังจากที่ออกมาแล้ว
“ปิดเองอัตโนมัตินะสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
เมื่อพูดจบเขาก็ชี้ไปที่นอกตรอก พลางพูดด้วยท่าทางเป็นสุข
“จักรยานยังอยู่”
“นี่นายคิดจริงๆ เหรอว่าพวกมันจะถูกขโมยน่ะ” เสียงเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ เบาลงในขณะที่เธอหันหน้าไปมองภูเขาที่ตั้งอยู่กลางเกาะ
ที่นี่อาจจะยังมี ‘คนไร้ใจ’ อยู่บ้างก็ได้ ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะขี่จักรยานเป็น
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าไม่มัวชักช้ารีรอกันอีก รีบขึ้นคร่อมจักรยานย้อนกลับไปตามเส้นทางขามา
ในขณะนี้เวลาสายัณห์ของฤดูหนาวก็ย่างกรายมาอย่างเงียบๆ ท้องฟ้าหม่นแสงลงไปไม่น้อย
หลังจากที่ขี่ออกมาได้สักพัก เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดเหลียวหน้ากลับไปมองเมืองที่วิหารตั้งอยู่ไม่ได้
เมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แบบโบราณของโลกเก่าแห่งนี้ อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ค่อยๆ มืดลง เงียบสงัดวังเวง ไร้ซึ่งบรรยากาศแห่งความมีชีวิตชีวา
ไม่ทราบว่าเหตุใด เจี่ยงไป๋เหมียนพลันหวนนึกถึงเวลายามเย็นของเมืองน้ำล้อม
ชาวเมืองมากมายต่างกลับมาจากพื้นที่เพาะปลูกและป่าทึบด้านหลัง ลานที่มี ‘สิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมาย’ สร้างอยู่จนเต็มระเกะระกะ ไฟในเตาที่ก่อขึ้นเพื่อหุงหาอาหาร พวกเด็กๆ บางคนที่เลิกเรียนแล้วออกมาวิ่งไล่จับกัน บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตามองดูหม้อตุ๋นอาหารที่บ้านตัวเอง…
* * * * *
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในเมืองอันเงียบสงัด ภายในตรอกที่ซึ่งวิหารตั้งอยู่
ลมพัดหวีดหวิว ประตูบ้านหลายหลังที่เปิดค้างอยู่ก็ทยอยปิดลงบานแล้วบานเล่า
* * * * *
[1] แบ็คดอร์ (后门) Back door แปลตามตัวว่า ‘ประตูหลัง’ เป็นคำศัพท์ทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง ทางลับที่เป็นเหมือนช่องโหว่ของระบบที่ผู้พัฒนาโปรแกรมเจตนาสร้างเอาไว้เพื่อให้สามารถเข้ามาในระบบได้ในภายหลัง