ถึงแม้ว่าจะโกรธแค้นอย่างหน้ามืดตามัวจนยอมเสี่ยงเอาตัวเข้าแลก แต่ชายฉกรรจ์ยังคงรักษาความมีเหตุผลขั้นพื้นฐานไว้ได้ เขาไม่ได้คิดที่จะทิ้งชีวิตตนเพื่อแก้แค้นให้ลูกน้องทั้งสองคน
ตามแผนที่ตั้งใจไว้คือจากบนฝากระโปรงรถจี๊ป เขาจะใช้ขาอันทรงพลังของเกราะกระดูกเสริมแรงกระโดดขึ้นอีกครั้งเพื่อหลบเลี่ยงการยิงคุกคามจากศัตรูทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง จากนั้นขณะที่ลอยตัวอยู่ก็จะยิงระเบิดเพื่อสังหารชายหญิงทั้งสามที่หลบอยู่ที่รถ!
ในระหว่างนั้นยังสามารถยิงปืนกลจากกลางอากาศได้อีกรอบ เท่านี้ก็สามารถกำจัดเป้าหมายได้หมดทุกคนในคราเดียวไม่มีใครเหลือรอด
แล้วจากนั้นเปิดใช้งานอุปกรณ์ไอพ่นแบบเรียบง่ายของชุดเกราะเสริมแรงเพื่อเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูที่หลบอยู่ที่ซากงูยักษ์มีโอกาสโจมตีสวนกลับได้
ขณะที่ชายกำยำย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อจะกระโดดขึ้นนั้น ความคิดอันแรงกล้าก็แวบขึ้นมาในหัวของเขาทันที
ไม่! ไม่ทำแบบนั้น!
เขารู้สึกว่าศัตรูที่ยิงลูกน้องเขาจนพรุนเป็นรังผึ้งนั้น จะต้องสู้กันแบบซึ่งๆ หน้า ทำให้พวกมันหวาดกลัวและสำนึกเสียใจ นี่ถึงจะระบายความโกรธแค้นในใจเขาไปได้ มีเพียงทำแบบนี้ถึงจะล้างแค้นให้ลูกน้องของเขาได้อย่างแท้จริง!
การกระโดดขึ้นไปบนที่สูงแล้วกราดยิงลงมานั้นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด ไร้ซึ่งความจริงใจ!
ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องฟาดฟันกันซึ่งๆ หน้า!
ความคิดนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นที่ไม่อาจควบคุมได้ ทำให้ชายฉกรรจ์ยกเลิกแผนเดิมทันที
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมด ด้วยเกราะเสริมแรงที่ใส่อยู่นี้ เขาย่อเอวก้มตัวลงราวกับเป็นยักษ์ เมื่ออยู่ในท่านี้ ชายสองหญิงหนึ่งที่หลบอยู่ทางหน้ารถก็จะเจอกับหมวกโลหะและเกราะหน้าอก รวมถึงจุดอื่นๆ ที่ปกคลุมด้วยเกราะเสริมแรง มีเพียงช่องว่างไม่กี่จุดเท่านั้นที่สามารถยิงถูกร่างกายเขาในจุดที่ไร้เกราะป้องกันได้
วินาทีถัดมาเขาเห็นดวงตาของเป้าหมายดูดำมืดกว่าคนปกติทั่วไป
คราวนี้ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แสดงความกล้าออกมาอีก เลิกล้มการเล็งปืน รีบกระโดดไปด้านข้างแล้วกลิ้งม้วนตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ด้านหลังของชายฉกรรจ์พบว่าในตอนนี้ท่าทางของฝ่ายตรงข้ามนั้นเปิดโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็เหนี่ยวไกยิงไปตามสัญชาตญาณทันที
ปัง!
ลูกกระสุนสีเหลืองแวววาวพุ่งตัดอากาศเป็นระยะทางยี่สิบสามสิบเมตร ผ่านเกราะเสริมแรงเจาะเข้าไปในบริเวณเยื้องกับจุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกสันหลังและกล่องพลังงานสะพายหลัง
เข้าเป้าตรงตามตำแหน่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนเล็งเอาไว้ราวกับจับวาง
สำหรับนักแม่นปืนอย่างเธอแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงแม้ระยะห่างจะเพิ่มอีก 20 เมตรก็ไม่ใช่ปัญหา
เสียงทึบดังขึ้น ด้านหลังของชายฉกรรจ์มีดอกไม้โลหิตผลิบานสาดกระเซ็นออกมา
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างกายเขาเกือบเป็นอัมพาตนั้นทำให้เขามีสติแจ่มใสขึ้นมาทันที ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะสิ้นคิดจนตัดสินใจผิดพลาดในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น และเลือกทางเลือกเลวร้ายที่สุดลงไป
ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนนัดที่สองของเจี่ยงไป๋เหมี่ยนเดินทางมาถึงตามกำหนดการ ไป๋เฉินเองก็ระเบิดกระสุนใส่หน้าท้องของชายฉกรรจ์ ส่วนการระดมยิงของหลงเยว่หงนั้นถูกป้องกันไว้โดยหมวกโลหะและเกราะหน้าอก ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้
ชายฉกรรจ์รู้ดีว่าเขาไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที
ในขณะที่ความคิดเริ่มพร่าเลือนเขาก็เตรียมจะยิงระเบิดและสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง ยอมแลกชีวิตกับศัตรูตรงหน้าให้ตายตกตามกัน
แต่ทว่า… ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวไกได้
ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยหัดยิงปืนมาก่อน แต่ตราบใดที่พอจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็จะไม่ทำอะไรแบบนี้ออกมาแน่นอน
สองมือของเขาราวกับว่าได้ตายลงไปแล้ว
ตุ๊บ! พลั่ก!
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเสริมแรงที่มีน้ำหนักถึงเจ็ดแปดสิบกิโลกรัมล้มลงกระแทกฝากระโปรงรถอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลนองเปรอะเปื้อนรอบข้างอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเขาเบิกถลนราวกับว่าในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ยินยอม
รถออฟโรดสีดำที่อยู่ไกลออกไปนั้น หลังจากที่คนขี่มอเตอร์ไซค์กรีดร้องมันก็เร่งเครื่องพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแล้ว
แต่ทว่ายังคงช้าไปหนึ่งก้าว เมื่อมันแล่นมาถึงระยะยิงของคนในรถ ชายสองคนที่ชื่อจี๋ซุ่นและอาอวี่ก็ได้เห็นดอกไม้โลหิตพุ่งออกมาจากด้านหลังของหัวหน้าแล้ว
อาอวี่ร้องตะโกนลั่น ยื่นร่างส่วนบนออกมานอกหน้าต่างรถเพื่อจะยิงสังหารศัตรู
ในตอนนี้หัวหน้าโจรล้มลงไปกองกับฝากระโปรงแล้ว ด้วยน้ำหนักที่มากผิดปกติจึงทำให้รถจี๊ปสั่นสะเทือน
เสียงเอี๊ยดแหลมดังขึ้น รถออฟโรดสีดำดริฟต์เป็นวงกว้างตัวถังหันข้างหมุนเปลี่ยนทิศ
อาอวี่เกือบโดนเหวี่ยงออกไปนอกรถ แต่เพราะเสื้อผ้ารุ่มร่ามและหาที่ยึดไว้ได้ทันเลยไม่ได้ออกไปเหินฟ้า
เอี๊ยด!
รถออฟโรดสีดำหักเลี้ยวอีกครั้งก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปตามเส้นทางที่มันมาอย่างรวดเร็ว
“แกทำอะไรวะ” อาอวี่ผลุบกลับเข้ามาในรถ ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
ชายมีอายุที่ชื่อจี๋ซุ่นที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่ตอบกลับด้วยเสียงอันดัง
“ก็หนีน่ะสิ!”
“ลูกพี่กับคนอื่นยังอยู่ที่นั่นนะ!” อาอวี่จ่อปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ของเขาที่ขมับของจี๋ซุ่นแล้วตะคอก “กลับไปเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย
จี๋ซุ่นไม่ขยับ เขาตะคอกกลับ
“ลูกพี่ตายแล้ว!
“แกอยากตายไปด้วยหรือไง”
เขาเหยียบคันเร่งจนเกือบมิด
ริมฝีปากอาอวี่สั่นขยับสองสามครั้ง สีหน้าเปลี่ยนไปแปรมา
หลังจากนั่งทื่ออยู่พักหนึ่ง เขาก็เหวี่ยงแขนที่ถือปืนกลับไปแล้วกระแทกตัวลงที่เบาะนั่งข้างคนขับอย่างแรง
“แกมันไอ้ผีตาขาว!” เขาตวาดด้วยความโกรธแค้น
“ฉันก็เป็นผีตาขาวเหมือนกัน…” น้ำเสียงเขาค่อยๆ เบาลง น้ำตานองหน้า
* * * * *
“โห เผ่นแน่บอย่างไว” เจี่ยงไป๋เหมียนถอดเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ขนาด 9 มม. พลางมองดูรถออฟโรดสีดำควบหายไปจากสายตา แล้วถอนใจด้วยความเสียดาย
น่าเสียดายที่ตอนลงมาจากรถจี๊ปไม่ได้หยิบปืนยิงระเบิดติดมือมาด้วย ไม่งั้นแล้วเธอคงจุดพลุใส่ศัตรูที่กำลังเผ่นไปแล้ว
ที่รถจี๊ปนั้น หลงเยว่หงยิงจนกระสุนหมดเกลี้ยงถึงได้หยุดมือ ก้มตัวหอบหนักหน่วง
ดวงตาเขายังเหม่อ จิตใจล่องลอย ราวกับสติหลุดเข้าสู่โลกส่วนตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก
ไป๋เฉินถือปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ มองดูรอบๆ เมื่อพบว่าไม่เหลือศัตรูอยู่อีกแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
สีหน้าของเธอยังค่อนข้างสงบ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เจอบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้มีค่าอะไรให้ใส่ใจ
เธอเห็นปืนยิงระเบิดที่เจี่ยงไป๋เหมียนวางไว้ที่เบาะข้างคนขับก่อนหน้านี้แล้ว แต่หลังจากเธอตรวจจนมั่นใจว่าชายฉกรรจ์ตายสนิทแล้วแน่นอนโดยไม่ต้องยิงซ้ำ ในตอนนั้นรถออฟโรดก็บึ่งไปไกลแล้ว ตัวเธอที่ไม่ค่อยถนัดใช้ปืนยิงระเบิดจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะยิงทิ้งยิงขว้างออกไป
ยิงไปก็เสียของเปล่าๆ… ไป๋เฉินละสายตาหันกลับมามองดูซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตร
เธอไม่เข้าใจการกระทำของชายฉกรรจ์ในครั้งสุดท้ายนั่น
สถานการณ์ก่อนหน้านี้ ศัตรูที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงนั้นมีโอกาสดีมากที่จะสังหารพวกเขาทั้งสามคนโดยแลกกับการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือแค่รอยฟกช้ำ
เท่านั้น แต่ผิดคาด ราวกับว่าเขาโกรธจนขาดสติ ไม่ได้มีกลยุทธอะไรเลย มีเพียงแค่ความบ้าบิ่น บ้าบิ่น และก็บ้าบิ่นเท่านั้นเอง
และในตอนนั้นมีเพียงซางเจี้ยนเย่าที่มีปฏิกิริยาต่างไปจากคนอื่น เขาพุ่งไปด้านข้างล่วงหน้า
ไป๋เฉินเม้มริมฝีปากและมองไปทางเจียงไป๋เหมียนที่กำลังวิ่งกลับมา
“พวกเธอบาดเจ็บไหม”
ในรถจี๊ปมีชุดปฐมพยาบาลอยู่
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นก็ทำให้หลงเยว่หงสะดุ้งฟื้นคืนสติกลับคืนสู่โลกแห่งความจริง
ร่างกายเขาสั่นเทิ้มจากความตึงเครียด แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นเขาก็รีบสำรวจสภาพของตัวเองทันที
“ผม… ผมไม่เป็นไร”
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ผมปวดหัวนิดหน่อย”
“อาจเป็นเพราะเสียงระเบิดกับเสียงปืน ทำให้เกิดแรงดันขึ้นในหู” ไป๋เฉินประเมินจากสถานการณ์ก่อนหน้าแล้ววิเคราะห์ออกมา
“ทำได้ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวชมไป๋เฉินเมื่อเธอวิ่งกลับมาถึงรถจี๊ป “ฉันมีแผลถลอกนิดหน่อย ขอไอโอดีนขวดนึง”
พูดเสร็จเธอก็ถือโอกาสสอนหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่า
“ในแดนร้างน่ะ อันตรายร้ายแรงที่เจอกันบ่อยก็คือการติดเชื้อและมลพิษ อย่าประมาทเพราะคิดว่าคนที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงและฟื้นฟูตัวเองได้เชียวล่ะ”
หลังจากซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงผงกศีรษะรับ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบเอาขวดไอโอดีนมาฆ่าเชื้อบาดแผลที่มือตนเองแล้วยิ้มขึ้น
“เป็นไงบ้าง วิเศษไหม ตื่นเต้นรึเปล่า”
หลงเยว่หงขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อย
“หัวหน้า เรื่องแบบนี้เอาคำว่า ‘วิเศษ’ กับ ‘ตื่นเต้น’ มาใช้อธิบายได้ด้วยเหรอ”
เขามีแต่ความกลัว เศร้าใจ และประหม่า ไม่อยากจะต้องเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในครั้งนี้สหายร่วมทีมไม่มีใครเสียชีวิตละก็ เขาคงจะทรุดฮวบไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึกที่ยากอธิบายเมื่อเห็นชายสามคนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งสนทนาพาทีด้วย นอนทอดร่างเป็นซากศพอย่างน่าอนาถ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้โกรธที่หลงเยว่หงเถียง เธอยิ้มแล้วถอนใจ
“นี่เป็นเรื่องปกติบนแดนธุลี มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสภาพในบริษัท
“ไว้พอนายมีประสบการณ์ต่อสู้มากขึ้น นายจะรู้เองว่าตัวเองโชคดีและมีความสุขมากขนาดไหนที่ยังรอดมาได้หลังจากการต่อสู้ในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะการที่สหายร่วมทีมยังมีชีวิตอยู่
“เมื่อกี้ฉันต้องการให้นายผ่อนคลาย เพื่อจะได้พ้นจาก ‘ภาวะการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง’ โดยเร็วที่สุด
“อ้อ อย่าไปเทียบกับซางเจี้ยนเย่าล่ะ โรคประจำตัวของเขาเป็นหนักยิ่งกว่านี้ซะอีก แค่เรื่องยิงกันแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากเหมือนต้องการจะแย้งว่าเขาไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ก็พอดีกับที่ไป๋เฉินผลักศพที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงให้หล่นจากฝากระโปรงรถ เกิดเสียงกระแทกพื้นอย่างแรง
ไป๋เฉินเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์
กระสุนหลายนัดติดคาอยู่ในหน้ารถ
“เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“เสียหายไม่น้อย… ไม่รู้จะซ่อมได้ไหม ฉันจะลองดูก่อนละกัน” ไป๋เฉินดึงขยับผ้าพันคอสีเทาที่พันอยู่รอบคอเธอ แล้วเดินไปที่ท้ายรถหิ้วกล่องพลาสติกที่ใส่เครื่องมือซ่อมแซมออกมา “หวังว่าจะซ่อมได้นะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“พวกนายไปเก็บกวาดสนามรบ รวบรวมของมีค่า ฉันจะรับหน้าที่เฝ้าระวังให้เอง เอาล่ะ เริ่มจากตรงนี้ก่อนเลย”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงเดินตรงไปที่ซากศพที่สวมเกราะเสริมแรงพร้อมกัน
ถ้าหากพวกเขาถอดเกราะเสริมแรงออกมาได้เร็วและรีบฝึกใช้ให้ชำนาญก็จะเพิ่มโอกาสในการรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตมากขึ้น