ขณะที่บรรยากาศเงียบงันไป ซางเจี้ยนเย่าก็พลันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียง ‘ตื่นตระหนก’
“พวกคุณจะฆ่าคนปิดปากงั้นเหรอ”
พ่อบ้านอูลล์ริชถึงกับตะลึงไปหลายวินาทีกว่าจะตอบกลับมาได้
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้อนุญาตให้คุณพกอาวุธติดตัวเข้าไปได้ แต่ไม่ให้สวมชุดเกราะเสริมแรงเข้าไป”
มั่นใจมาก… เจี่ยงไป๋เหมียนได้สติกลับมารู้สึกตัว หลังจากนั้นก็ครุ่นคิดพิจารณาแล้วตอบรับ
“ได้”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามทีที่ทำให้จู่ๆ ดิมาร์โก้เกิดเปลี่ยนใจต้องการพบพวกเขาขึ้นมา แต่นี่ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก
นอกจากนี้ก่อนที่จะเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ก็ยังแจ้งไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัวก่อนได้ เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
ตอนที่เดินออกไปยังรถจี๊ปของตัวเอง เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เก็บงำความกังขาเอาไว้ในใจ เธอถามพ่อบ้านอูลล์ริชออกไปตรงๆ
“ทำไมจู่ๆ มิสเตอร์ดิมาร์โก้ถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ เมื่อวานเขาเพิ่งจะปฏิเสธคำขอของพวกเราไปหยกๆ”
อูลล์ริชส่ายศีรษะช้าๆ
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมเพียงแค่ทำตามคำสั่งของนายท่านเท่านั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะถามว่าเมื่อคืนนี้เกิดเหตุผิดปกติอะไรขึ้นที่ ‘นาวาบาดาล’ หรือไม่ หรือว่าดิมาร์โก้เพิ่งจะได้รับข่าวอะไรมา ซางเจี้ยนเย่าก็พลันถามด้วยความข้องใจ
“คุณแน่ใจใช่ไหมว่านั่นคือมิสเตอร์ดิมาร์โก้จริงๆ ในเมื่อระยะหลังเขาสวมหน้ากากทุกวัน”
เป็นคำถามที่ดี… เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บปากเก็บคำของตนไว้ก่อน รอให้อูลล์ริชตอบคำถาม
อูลล์ริชหันศีรษะมาเหลือบมองสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
“ถ้าหากว่าในหมู่พวกคุณมีใครสักคนถูกเปลี่ยนตัวไปโดยที่สีผม ส่วนสูง และรูปร่างนั้นใกล้เคียงกับตัวจริงมาก แต่สวมหน้ากากอยู่ พวกคุณจะดูออกหรือเปล่า
“หากเป็นแค่สถานการณ์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันเพียงช่วงสั้นๆ นั่นก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ที่จะดูไม่ออก แต่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ อากัปกริยาท่าทาง กิจกรรมอดิเรก รูปลักษณ์ สำเนียง เรื่องพวกนี้ไม่มีทางซ่อนเร้นได้แน่ เว้นเสียแต่ว่าจะคอยเฝ้าสังเกตมานานหลายปีจนเลียนแบบได้เหมือน ซึ่งเรื่องนี้ย่อมทำไม่ได้ใน ‘นาวาบาดาล’ ที่มีการนับจำนวนคนอยู่เสมอว่าใครยังอยู่ใครตายไปแล้ว”
“นั่นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับคำพูดของอูลล์ริช
หลังจากที่ต่างคนต่างขึ้นรถของตัวเองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังโบสถ์นิกายตื่นตัวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของซากเมือง
‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่บอกเล่าที่มาที่ไปกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเสร็จก็เดินตามอูลล์ริชไปที่ชั้นใต้ดิน จากนั้นก็เข้าไปที่โถงหน้าลิฟต์แห่งหนึ่ง
ที่นี่มีลิฟต์สีดำเทาซึ่งหนามากอยู่สามตัว มีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กสองจอติดตั้งอยู่ที่ช่องว่างระหว่างประตูลิฟต์
รอจนอูลล์ริชติดต่อผ่านทางวิดีโอคอลกับภายใน ‘นาวาบาดาล’ เสร็จ ลิฟต์ตัวหนึ่งก็เลื่อนเปิดออก
ภายในตัวลิฟต์นั้นมีการดูแลเป็นอย่างดี พื้นปูด้วยไม้ ผนังเป็นโลหะที่แวววาวจนสะท้อนภาพได้
“ห้องรับรองพิเศษอยู่ที่ใต้ดินช้้นสอง สำหรับพวกคุณแล้วนี่จะทำให้หนีออกจากที่นี่ได้ง่ายขึ้น” อูลล์ริชแนะนำ
“ขอบคุณ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ทราบจะตอบอย่างไร จึงได้แต่เลียนแบบซางเจี้ยนเย่า
ในระหว่างที่พูด ประตูลิฟต์ก็ปิดลงต่อหน้าพวกเขา ตัวลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนลงไปด้านล่าง
เพียงไม่นานลิฟต์ก็หยุด ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่มองเห็นด้านนอกมีพรมสีเบจปูเป็นทางยาว
พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมหนาและมีไฟผนังให้ความสว่างจนกระทั่งมาถึงห้องหนึ่งซึ่งมีคนคุ้มกันแปดคน
ในกลุ่มพวกเขามีสองคนสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารสีดำเทาที่ดูแล้วเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่
มิน่าล่ะถึงให้พวกเขาพกอาวุธเข้ามาได้… หลงเยว่หงตระหนักได้ในทันที
พลังต่อสู้ของ ‘นาวาบาดาล’ นั้นเหนือกว่าอย่างชัดเจน!
อูลล์ริชเคาะประตูแล้วรอสองวินาทีก่อนจะพูด
“นายท่าน แขกมาถึงแล้วขอรับ”
“ให้พวกเขาเข้ามาได้” เสียงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกน่าดึงดูดเล็กน้อยดังออกมาจากภายในห้อง
หลังจากผลักบานประตูไม้แกะสลักจนมันถูกเปิดออก เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูรอบๆ ด้วยความเคยชินเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายในห้อง
ดูแล้วก็ไม่ต่างจากห้องรับแขกธรรมดาที่มีโต๊ะวางถ้วยชา ชุดโซฟา พรม ตู้เก็บของที่เป็นไม้ เก้าอี้ โคมระย้าคริสตัล นอกจากความหรูหราแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ในเวลานี้ภายในห้องมีแค่ดิมาร์โก้อยู่เพียงลำพัง
จอนผมสองข้างของเขาเป็นสีป่าน สวมชุดคลุมบาทหลวงสีดำแบบโลกเก่า สวมหมวกแบบยุคเก่าที่มีสีเดียวกัน หน้ากากสีดำที่มีลวดลายสีขาว และเป็นเพราะเขานั่งอยู่จึงดูไม่ออกว่าสูงเท่าไหร่
ดิมาร์โก้กวาดดวงตาสีฟ้าอ่อนมองดูแล้วชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะวางถ้วยชา
“นั่งสิ”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ นั่งลงเรียบร้อย พ่อบ้านอูลล์ริชก็ออกจากห้องแล้วปิดบานประตูไม้ที่หนักอึ้งนี้ลง
ดิมาร์โก้กำลังจะเอ่ยปากพูดทว่าซางเจี้ยนเย่ายิ้มออกมาเสียก่อน
“คุณเป็นสาวกนิกายตื่นตัวที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะ”
ดิมาร์โก้ยกขาขวามาพาดบนขาข้างซ้ายในท่านั่งไขว่ห้าง ถามออกมาอย่างไร้ซึ่งความโกรธ
“ทำไมล่ะ”
น้ำเสียงของเขานั้นเป็นโทนแบบผู้ชายตามมาตรฐานทั่วไป เจือความน่าดึงดูดในน้ำเสียงเล็กน้อย เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดงที่เป็นภาษาถิ่นของย่านทะเลสาบพิโรธของโลกเก่า
“ยามของคุณอยู่นอกห้องกันหมด ถ้าหากพวกเราเปิดฉากจู่โจมกระทันหันก็สามารถสยบคุณแล้วจับเป็นตัวประกันได้ก่อนที่ยามที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารทั้งสองคนจะเข้ามาช่วยได้ทัน” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายออกมาแทนซางเจี้ยนเย่า “แบบนี้ถือว่าระวังตัวไม่มากพอจริงๆ”
ดิมาร์โก้เอนหลังเล็กน้อยพลางหัวเราะขึ้นมา
“เป็นเพราะผมมีความมั่นใจมากพอไม่ได้หรือไง”
เขาพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้นระคนสงสัยใคร่รู้
“คุณแข็งแกร่งกว่าผู้นำสารมนุษย์มัจฉางั้นเหรอ”
ดิมาร์โก้ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปหลายวินาทีถึงจะพูดต่อได้
“อาจมีการเตรียมการอื่นๆ ไว้ในห้องนี้ก็ได้”
เขาไม่สานต่อหัวข้อนี้อีก ยกมือขึ้นมาลูบหน้ากากสีดำที่มีลวดลายสีขาวบนหน้าตนเองแล้วถอนหายใจ
“ผมเชิญพวกคุณมาที่นี่เพื่อสนทนาเรื่องเกาะกลางทะเลสาบและพยัคฆ์ยมราช”
พยัคฆ์ยมราช… ‘เทพ’ ที่หลับใหลคนนั้นน่ะเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความประหลาดใจ
“คุณรู้จักพยัคฆ์ยมราช ไม่สิ บรรพบุรุษของคุณรู้จักพยัคฆ์ยมราชงั้นเหรอ”
เธอคิดไม่ถึงว่าที่พวกตนเองได้รับคำเชิญของดิมาร์โก้เป็นเพราะการไปสำรวจวิหารนั่น
ดิมาร์โก้เอนหลังพิงโซฟาเดี่ยวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ช่วงปีแรกๆ ตอนที่ปู่ทวดกับปู่ของผมยังมีชีวิตอยู่นั้นก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเกาะกลางทะเลสาบกับพยัคฆ์ยมราชมาก่อนแล้วล่ะ
“ตอนนั้นเป็นช่วงท้ายๆ ของกลียุค นาวาได้เริ่มติดต่อกับโลกภายนอกเพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัย ปู่ผมส่งคนออกไปสืบข่าว อีกทั้งยังจ้างนักล่าซากอารยะที่อยู่ละแวกนี้ไปด้วย อ้อ จะเรียกนักล่าก็ไม่ถูก เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ก่อตั้งสมาคมนักล่าขึ้นมา สรุปก็คือพวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของเกาะกลางทะเลสาบ และรู้ว่ามีตัวตนอย่างพยัคฆ์ยมราชอยู่
“พยัคฆ์ยมราชแสดงปาฏิหาริย์และพลังที่แข็งแกร่ง จึงได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นเทพเซียน หลังจากที่พวกเรายอมรับนิกายตื่นตัวและกลายเป็นสาวกของ ‘ธชียมโลก’ ถึงได้รู้ว่าเขาอาจเป็นผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังคนหนึ่ง
“ตอนแรกสุดนั้นพวกเรามีเรื่องต้องทำมากมาย จึงยังไม่มีโอกาสติดต่อกับเกาะกลางทะเลสาบเสียที แต่ภายหลังต่อมา จู่ๆ พวกเขาก็ปิดเกาะ ไม่ให้ใครเข้าออก
“พอเวลาผ่านไป ปู่กับพ่อผมก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะการเปลี่ยนแปลงของเกาะกลางทะเลสาบไม่ได้ส่งผลต่อนาวาแม้แต่น้อย
“เมื่อคืนผมได้ยินว่าพวกคุณไปที่เกาะกลางทะเลสาบและได้ไปสำรวจวิหารของพยัคฆ์ยมราช ผมเกิดความอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อยก็เลยเชิญพวกคุณมาพูดคุยสนทนากันสักเล็กน้อยน่ะ”
เกรงว่านี่จะไม่ได้เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อยนะสิ… เรื่องนี้ถึงกับทำให้คุณแหกกฎของ ‘นาวาบาดาล’ ที่ใช้มาเนิ่นนานหลายปี เชิญให้คนนอกเข้ามาในนี้… พวกคุณกับพยัคฆ์ยมราชต้องมีความเกี่ยวข้องกันแหงๆ … เพียงแค่ชั่วขณะเดียว ความคิดหลากหลายเหล่านี้ก็ผุดวาบขึ้นในใจของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เธอทำท่าทางที่บ่งบอกว่า ‘ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว’ ออกมา จากนั้นก็อธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับการสำรวจของเธอและซางเจี้ยนเย่าให้ฟัง สิ่งที่เธอไม่ได้พูดถึงก็คือเรื่องที่ซางเจี้ยนเย่าใช้พลังพิเศษผู้ตื่นรู้เพื่อส่งอิทธิพลต่อพยัคฆ์ยมราชที่หลับใหลอยู่ จึงทำให้เห็นคนคลานอยู่ในความมืดร้องขอความช่วยเหลือ
ดิมาร์โก้ใช้นิ้วชี้มือขวาเคาะที่วางแขนโซฟา ครุ่นคิดซ้ำๆ กับคำสั้นๆ คำหนึ่ง
“โลกใหม่…”
ราวกับเขากังวลในบางสิ่งอยู่
ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็มองทุกคนรอบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พวกคุณอยากรู้เกี่ยวกับโลกเก่าใช่ไหมล่ะ งั้นตอนนี้ก็ถามได้แล้วล่ะ”
เขาไม่ได้ถามจนถึงที่สุด ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่า ‘ทีมเฉียนไป๋’ ยังมีอะไรปิดบังเอาไว้หรือไม่
นี่มันย้อนแย้งกับการกระทำเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนสะกดความสงสัยเอาไว้ เอ่ยปากถามขึ้น
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้ บรรพบุรุษของคุณรู้ล่วงหน้าหรือเปล่าว่าโลกเก่าจะถูกทำลาย”
ดิมาร์โก้สั่นศีรษะ
“เขาเป็นแค่คนที่คลั่งไคล้เกี่ยวกับวันสิ้นโลกน่ะ แล้วก็ค่อนข้างมีฐานะมีเงินทอง”
“งั้นก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย มีสัญญาณบอกอะไรบ้างหรือเปล่า พวกคุณเจออะไรก่อนที่จะมาหลบอยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ดิมาร์โก้พูดด้วยน้ำเสียงรำลึกความหลัง
“ผมได้ยินคุณปู่เล่าเอาไว้ ตอนแรกที่เริ่มตัดสินใจว่าจะหลบอยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ นั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามที่ปะทุขึ้นอย่างกระทันหัน แต่สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน ด้านนอกก็เกิด ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดขึ้น
“ข้างในนี้ก็ไม่เว้นเช่นกัน คนรับใช้มากมายกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ โดยไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้เกิดการนองเลือดวุ่นวาย ปู่ทวดของผมพาคุณปู่และสมาชิกครอบครัวแยกออกไป โชคดีที่ ‘โรคไร้ใจ’ ดูเหมือนจะไม่ใช่โรคติดต่อ”
อย่างที่คิดเลย สงครามที่ไร้กฎระเบียบและ ‘โรคไร้ใจ’ เป็นเพียงแค่สาเหตุอย่างผิวเผินของการทำลายโลกเก่าเท่านั้น… ขนาดคนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินล่วงหน้าก็ยังเป็น ‘โรคไร้ใจ’ กันได้ บริษัทเพียงแค่รวบรวมคนที่รอดชีวิตเข้าไปอยู่ในอาคารใต้ดินหลังจากการระบาดของ ‘โรคไร้ใจ’ เท่านั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนจับประเด็นสำคัญสองสามจุดได้ จากนั้นก็เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
จากการพูดคุยสนทนาก็ทำให้พวกเขาพอจะเข้าใจสภาพซากเมืองของชุมชนศิลาแดงสมัยโลกเก่าได้ในระดับหนึ่ง
ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของทะเลสาบพิโรธนั้นเป็นที่อยู่ของชาวแดนธุลี ส่วนทางตะวันออกกับทางใต้ของทะเลสาบพิโรธเป็นเขตแม่น้ำแดง
ดังนั้นบรรดาเกาะแก่งในทะเลสาบ เกาะบางส่วนจึงเป็นคนแดนธุลีอาศัยอยู่ และเกาะบางส่วนเป็นคนแม่น้ำแดงอาศัยอยู่
ชุมชนศิลาแดงตั้งอยู่ที่หัวมุมตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบ แต่เดิมนั้นเคยเป็นดินแดนของประเทศแม่น้ำแดง แต่เนื่องจากเป็นเมืองชายแดนจึงมีชาวแดนธุลีจำนวนมากอพยพมาแล้วลงหลักปักฐานตั้งรกรากอยู่ที่นั่นจนมีสัดส่วน
จำนวนประชากรเกินกว่าสามสิบเปอร์เซนต์
บรรพบุรุษของดิมาร์โก้เป็นสถาปนิกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ อีกทั้งยังมีสัมพันธภาพอันดีกับสมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
“ขอบคุณมากสำหรับคำตอบของคุณ” หลังจากยืนยันได้แล้วว่าไม่สามารถขุดหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำลายโลกเก่าจากดิมาร์โก้เพิ่มจากนี้ได้อีก เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดขอบคุณเขาอย่างจริงใจก่อนจะกล่าวเสริม “พวกเรายังมีคำถามง่ายๆ อีกสองคำถาม”
แล้วเธอก็ถามออกมาตรงๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้ดิมาร์โก้ปฏิเสธ
“คุณเคยเห็นนักล่าซากอารยะที่ชื่อลาร์สหรือเปล่า”
ในขณะที่พูดเธอก็หยิบรูปที่เลห์แมนให้ออกมา
“ลาร์ส” ดิมาร์โก้หัวเราะออกมาอย่างฉับพลัน “คุณกลับไปบอกกับเลห์แมนได้เลยว่าลาร์สได้พบกับรักแท้ในนาวาแล้ว ถ้าหากเขาไม่เชื่อ งั้นก็ให้มาที่โบสถ์นิกายตื่นตัว ผมจะให้ลาร์สวิดีโอคอลคุยกับเขา”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้