ใต้ดินชั้นหนึ่งของโบสถ์นิกายตื่นตัว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้พบกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ
“เร็วกว่าที่ผมคิดเยอะเลย” ซ่งเหอถามอย่างเป็นมิตร “ทำไมมิสเตอร์ดิมาร์โก้ถึงยอมให้พวกคุณเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้ล่ะ”
เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เขาร้อยคิดพันคำนวณก็ไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบังความฉงนสงสัยของตน
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม
“เขาค่อนข้างสนใจเกี่ยวกับวิหารต้องห้ามบนเกาะกลางทะเลสาบน่ะ และเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าไม่ให้พวกเราพบ พวกเราก็ไม่มีทางแบ่งปันสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้ให้เขารู้แน่นอน”
“อย่างนี้นี่เอง…” ซ่งเหอคิดไม่ถึงว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเรียบง่ายถึงเพียงนี้
แต่ในเมื่อมันเกี่ยวพันถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพ’ ที่หลับใหล การจะเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
หรือว่าดิมาร์โก้ต้องการจะกลายเป็นตัวตนเช่นนั้น…
เจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนไปพูดเรื่องคนทรยศในชุมชนศิลาแดง
“อ้อ ใช่ พวกเราถามมิสเตอร์ดิมาร์โก้ว่าเขาทรยศชุมชนศิลาแดง นำเรื่องที่มุขนายกเรนาโต้กลับไปสำนักงานใหญ่ไปบอกกับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาหรือเปล่า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ยอมรับตามตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกัน พูดเพียงแค่ว่าจะรอให้มุขนายกคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งเดินทางมาถึงก่อนค่อยบอกเขาให้รู้”
ซ่งเหอแสดงสีหน้าครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะเบาๆ
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องสืบต่อแล้วล่ะ คุณทำภารกิจนี้สำเร็จแล้ว”
พูดจบเขาก็ยิ้มและชี้ไปที่เพดานเหนือศีรษะ
“ไปคุยกันข้างบนเถอะ มายืนคุยแบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะ”
เมื่อรู้ว่าซ่งเหอต้องการจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับตนโดยเล่าเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับ ‘ผู้ตื่นรู้’ ให้ฟัง ซางเจี้ยนเย่ารีบเอ่ยปากตอบรับก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ
“ตกลง!”
แล้วเขาก็เสริมต่ออีกหนึ่งประโยค
“อยากให้คนช่วยนวดหลังให้ไหมครับ”
ในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมาเขาก็มองไปทางหลงเยว่หง
เวร… หลงเยว่หงอดด่าเขาในใจไม่ได้
“หือ” ซ่งเหอรู้สึกงุนงงอย่างเห็นได้ชัด
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจังออกมาทันที
“นี่เป็นสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์ควรได้รับเป็นการตอบแทนน่ะครับ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ซ่งเหอพลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าตนเองชราภาพแล้วหรือไม่ ถึงได้เกิดสิ่งที่เรียกว่าช่องว่างระหว่างวัยในการสนทนากับคนหนุ่มได้ถึงเพียงนี้
หลังจากกลับมาถึงโบสถ์และเข้าไปในห้องของซ่งเหอแล้ว เมื่อคนทั้งสองฝ่ายหาที่นั่งได้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบถามขึ้นมาอย่างอดใจรอไม่ไหว
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง ถ้าต้องการข้าม ‘ทะเลต้นกำเนิด’ จะต้องท้าทายเกาะมากน้อยเท่าไหร่ จะต้องพิชิตเงาในใจกี่ประเภท”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้ตื่นรู้ แต่ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณความมุ่งมั่นของการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ซ่งเหอได้ยินก็หัวเราะออกมา
“พวกคุณรู้ไม่น้อยเลยนะ ผมชักเริ่มสงสัยแล้วว่าค่าตอบแทนที่ผมจ่ายนี่จะมีค่าพอหรือเปล่า”
เขาหยุดชั่วขณะ ครุ่นคิดแล้วพูดต่อ
“เนื่องจากพวกคุณมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้างแล้ว ผมก็อธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
“แต่ละคนต่างก็มีบาดแผลและปมในใจที่แตกต่างกันไป ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน ดังนั้นจำนวนและลักษณะของเกาะที่จะต้องพิชิตจึงไม่เหมือนกัน
“บางคนอาจจะต้องท้าทายเกาะมากถึงแปดเก้าเกาะ บางคนอาจเจอเพียงแค่สี่ห้าเกาะหรือแม้กระทั่งสองสามเกาะก็จบแล้ว นี่จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
“พูดง่ายๆ คือคนที่มีความกล้าหาญ มีปมในใจเพียงเล็กน้อย แบบนี้ก็จะข้าม ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ได้เร็วขึ้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามระงับความต้องการที่จะหันไปมองซางเจี้ยนเย่า ถามต่อด้วยความสงสัย
“ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ทำให้เกิดคำถามตามมาอีก
“ก็อย่างที่คุณรู้ การที่ผู้ตื่นรู้แต่ละคนพิชิตเกาะได้ในแต่ละครั้งจะทำให้ประสิทธิภาพของพลังพิเศษของตนเองเพิ่มมากขึ้นในระดับหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นคนที่พิชิตแปดเก้าเกาะก็จะแข็งแกร่งกว่าคนที่พิชิตเพียงแค่สองสามเกาะนะสิ”
ความหมายของเธอก็คือ หากว่าสองคนนี้ คนหนึ่งได้รับการเสริมความแข็งแกร่งแปดเก้าครั้ง ส่วนอีกคนได้รับเพียงสองสามครั้ง ท้ายที่สุดหลังจากที่ได้เข้าไปใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ แล้วก็อาจเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างความแข็งแกร่งขึ้น
ดวงตาซ่งเหอค่อยๆ กวาดผ่านใบหน้าของสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผู้ตื่นรู้ที่เพิ่งเข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ทั้งสองคนนี้ก็มีความแข็งแกร่งที่ต่างกันจริงๆ นั่นแหละ แต่นี่นับว่ามีส่วนน้อยมาก สาเหตุหลักนั้นมาจากวิธีการใช้พลังของตนเอง การควบคุมสถานการณ์เพื่อต้านทานซึ่งกันและกัน รวมถึงประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วย
“แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ตื่นรู้ที่พิชิตเกาะไปเจ็ดแปดเกาะหรือเป็นผู้ตื่นรู้ที่พิชิตไปเพียงแค่สองสามเกาะก็ตาม หลังจากที่ได้พบกับตัวเองและเสริมจิตวิญญาณให้สมบูรณ์พร้อมแล้ว ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ใกล้เคียงกัน ก่อนหน้านี้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ในจุดนี้ก็จะน้อยลงไปเท่านั้น แต่ถ้าก่อนหน้านี้ได้รับมาน้อย พอถึงจุดนี้ก็จะได้รับมากขึ้น”
เขาครุ่นคิดแล้วก็ยกตัวอย่างขึ้นมา
“นี่ก็เหมือนกับเราเดินทางจากชุมชนศิลาแดงไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ไม่ว่าจะขับรถยนต์ ขี่รถจักรยาน หรือแม้แต่เดินเท้าไปก็ตาม แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็จะมีเพียงแค่ประการเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการไปถึงจุดหมาย ความแตกต่างหลักๆ ก็มีเพียงเรื่องของระยะเวลาที่ใช้ กับประสบการณ์ที่พานพบในระหว่างการเดินทาง
“สำหรับผู้ตื่นรู้น่ะ จุดประสงค์สำคัญในการพิชิตเกาะแห่งบาดแผลในใจก็คือการข้ามผ่าน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ขอเพียงเข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้ นั่นก็คือการเก็บเกี่ยวที่สำคัญที่สุด ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นเช่นเดียวกันทั้งสิ้น”
“ผมเข้าใจแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบฝ่ามือซ้าย “นี่ก็เหมือนกับการวิ่งแข่งสินะ บางคนก็ต้องวิ่งกระโดดข้ามรั้วหลายอัน บางคนแค่กระโดดข้ามหลุมตื้นๆ ไม่กี่หลุม แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน หากสามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกนั่นก็คือชัยชนะ”
ซ่งเหอผงกศีรษะ
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
จากนั้นเขาก็ใช้ตัวอย่างของซางเจี้ยนเย่ายกมาพูดต่อ
“ความแตกต่างที่เป็นไปได้ระหว่างสองอย่างนี้ก็คือต่อไปในภายภาคหน้าหากว่าต้องวิ่งกระโดดข้ามรั้ว การมีประสบการณ์มาแล้วก็จะทำให้ง่ายขึ้นมาก”
“ในอนาคตก็ยังจะต้องวิ่งกระโดดข้ามรั้วอีกงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนจับความนัยจากคำพูดของซ่งเหอได้อย่างเฉียบไว
ซ่งเหอพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นี่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ว่าคืออะไรน่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็ยกแก้วน้ำที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบ
นี่ทำให้สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจะไม่ได้เป็นผู้ตื่นรู้ แล้วก็ไม่เคยมีความมุ่งมั่นปรารถนาจะศึกษาค้นคว้า แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นย่อมมีอยู่ในทุกผู้ทุกคนอยู่แล้ว
เพราะนี่เป็นพลังที่สุดแสนจะลึกลับน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งชนิดหนึ่งที่มนุษย์มีโอกาสจะได้รับมา
หลังจากดื่มน้ำเสร็จ ซ่งเหอก็กล่าวอย่างเชื่องช้า
“สิ่งที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ แสดงออกมาก็คือความคิดและจิตใจของตัวเอง เกาะก็คือความกลัวและบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของทุกผู้คน
“และ ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั้นก็คือสิ่งที่เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของผู้ตื่นรู้ทั้งหมดทั้งมวล
“ผมเคยได้ยินมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นคนที่เป็นผู้นำพาผมมาเข้าร่วมนิกายเล่าให้ฟังว่าทางเดินแห่งจิตมีประตูอยู่
มากมายหลายบาน ซึ่งประตูแต่ละบานนั้นจะเชื่อมโยงกับโลกแห่งจิตหนึ่งโลก
“ประตูบางบานเป็นของผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังซึ่งได้เข้าไปสำรวจภายในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ แล้ว ประตูบางบานนั้นถึงกับนำไปสู่ความฝันของเหล่าผู้ครองกาล ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด มีฉากสารพัดอย่างที่เกินกว่าความเป็นจริง รวมไปถึงฉากอื่นๆ ที่แสดงถึงบาดแผลในใจซึ่งอีกฝ่ายพิชิตไปก่อนหน้านี้”
แบบนี้การที่ยังต้องไปเจอ ‘เกาะแห่งความกลัว’ อีกก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสินะ เพียงแต่นั่นไม่ใช่ความกลัวของตัวเอง แต่เป็นของคนอื่น… เจี่ยงไป๋เหมียนตระหนักได้ในทันที
ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้น
“งั้นสามารถเข้าไปในประตูของคนอื่นได้หรือเปล่า”
ซ่งเหออึ้งไปสองวินาทีถึงจะตอบออกมา
“ถ้าตามทฤษฎีก็ได้แหละ แต่ถ้าเป็นประตูที่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของผู้ตื่นรู้ธรรมดา คุณไม่มีทางเปิดออกได้ อย่างน้อยก็จนกว่าจะสามารถเข้าไปสำรวจด้านในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้เสียก่อน
“ส่วนคนประเภทพยัคฆ์ยมราชจะทำได้หรือเปล่า เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินการยกตัวอย่างเช่นนี้ คิ้วของเจี่ยงไป๋เหมียนก็กระตุกเล็กน้อย
นี่ทำให้เธอนึกถึง ‘ความประหลาด’ ที่ถือกำเนิดขึ้นในร่างของผู้นำสารมนุษย์มัจฉาขึ้นมา
เปิดบานประตูจากฝั่งโลกแห่งจิตวิญญาณของคนอื่นเพื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงงั้นเหรอ เงื่อนไขข้อแรกก็คือต้องหลอมรวมออร่าของตนเข้ากับร่างคนอื่นเสียก่อน แล้วถ้าอย่างนั้นจะกำหนดตำแหน่งพิกัดอย่างแม่นยำได้ยังไงล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้ง
เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้ววัตถุประสงค์ของการสำรวจ ‘ทางเดินแห่งจิต’ คืออะไรคะ”
ซ่งเหอแสดงอารมณ์เจือความโหยหา
“มีผู้คนมากมายบนแดนธุลีที่เชื่อว่ามีโลกใหม่อยู่ ในส่วนลึกของซากเมืองสักแห่งจะมีประตูที่นำไปสู่โลกใหม่ ที่นั่นจะไม่มีความหิวโหย การติดโรค และสงครามอีกต่อไป
“เช่นเดียวกับผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งพากันเชื่อว่าประตูบางบานภายใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั้นสามารถนำไปสู่โลกใหม่ โลกใหม่ที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ พลันนึกถึงคำที่พยัคฆ์ยมราชใช้เล็บขูดขีดเอาไว้ที่ผนังด้านในของโลงศพขึ้นมา
‘โลกใหม่’
นี่คล้ายกับที่ตู้เหิงเคยบอกเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถามด้วยความสงสัย
“แล้วถ้าเข้าไปผิดประตูล่ะ จะเป็นยังไงครับ”
“งั้นก็จะเจอกับโลกอันมหัศจรรย์พันลึกมากมายหลายแบบ ซึ่งถ้าคุณไม่สามารถรับมือกับภยันตรายภายในนั้นได้อย่างราบรื่นก็คงยากจะรอดชีวิตได้” ซ่งเหอกล่าวเตือน “ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ นั้น ความพ่ายแพ้ก็เป็นเพียงแค่ความพ่ายแพ้ตามธรรมดา อย่างมากสุดก็คือทำให้คนนั้นอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง สมาธิจิตใจไม่ดี แต่ถ้าทำได้สำเร็จ สิ่งที่สละก็จะรุนแรงขึ้น ทว่าใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั้น ความพ่ายแพ้ก็มักจะถูกถ่ายทอดออกมาสู่ความเป็นจริงด้วย”
“อันตรายชะมัด…” หลงเยว่หงถอนใจอย่างสะท้อนใจ
ซ่งเหอหัวเราะออกมา
“ถูกแล้วล่ะ
“เรื่องที่เกี่ยวกับ ‘การตื่นรู้’ นั้น หากคิดอยากจะได้รับมากขึ้นก็ต้องเผชิญกับมันมากยิ่งขึ้น
“พวกผีขี้ขลาดตาขาวอย่างผม ก็กล้าเพียงแค่อยู่ในที่ทางของตัวเองเท่านั้นแหละ”
ผีขี้ขลาด… ไม่ทราบว่าทำไมจู่ๆ หลงเยว่หงก็พลันนึกถึงคำพูดของวีลขึ้นมาได้ เขาบอกว่าผู้แจ้งเตือนซ่งนั้นเวลาที่อยู่เพียงลำพังกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่เขาสละสินะ… ขณะที่ความคิดของหลงเยว่หงกำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น ซ่งเหอก็เอ่ยปากพูดต่อ
“เรื่องเกี่ยวกับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ผมรู้เพียงแค่เท่านี้แหละ พวกคุณถามเรื่องอื่นต่อเถอะ”
“มีวิธีที่แน่นอนที่ทำให้คนกลายเป็นผู้ตื่นรู้หรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนถือคติด้านได้อายอด ถามโดยไม่สนใจว่านี่จะเป็นความลับสุดยอดของนิกายหรือไม่
ซ่งเหอหัวเราะพลางส่ายหน้า
“ไม่มีหรอก
“แต่ถ้าพวกคุณเข้าร่วมนิกาย และได้ร่วมพิธีมิสซาบ่อยๆ ก็จะได้รับความใส่ใจจากเทพี ‘ธชียมโลก’ นั่นจะทำให้ตื่นรู้ได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน
“อ้อ ถ้าหากได้รับการุณย์แห่งเทพจากเทพี ‘ธชียมโลก’ โดยตรง การตื่นรู้ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้น”
นี่คิดจะล่อลวงพวกเราให้เข้าร่วมนิกายตื่นตัวหรือไง… เหอะ เหอะ ไม่มีศีลมหาสนิทแล้วคิดจะจับซางเจี้ยนเย่าก็ฝันไปเถอะ อืม ดูแล้วพวกบรรดาผู้ครองกาลนี่เหมือนจะมีวิธีเพิ่มโอกาสของการตื่นรู้ได้สินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าถึงถามต่อไปก็คงไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี จึงปิดปากอย่างรู้ความ
ที่เหลือจากนั้น ซางเจี้ยนเย่าถามเกี่ยวกับ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ไปอีกสองสามข้อและได้รับคำตอบที่ดีมาก
เมื่อกล่าวอำลาซ่งเหอและขึ้นรถจี๊ปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับก็เหลียวกลับไปมองโบสถ์นิกายตื่นตัวอีกครั้ง
“อีกไม่นานมุขนายกคนใหม่ก็คงมาถึง พวกเรารีบจัดการอะไรอะไรให้เสร็จแล้วก็ออกจากนี่กันเถอะ
“อ้อ กลับไปย่านที่พักกันก่อน เล่าเรื่องลาร์สให้เลห์แมนฟังแล้วก็ให้เขาไปยืนยันเอาเอง จากนั้นพวกเราก็เหลือแค่รอข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ระหว่างที่รอก็สืบสวนการตายของเฮลเว็กต่อ
“ใช่แล้ว ยังต้องรอบริษัทตอบกลับด้วย”
เมื่อคืนเธอส่งโทรเลขกลับไปที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เล่าเกี่ยวกับการสำรวจวิหารและเรื่องของหานวั่งฮั่วให้บริษัทรับทราบ