ในตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลับมาถึงย่านที่พักก็พบว่าเลห์แมนมารออยู่หน้าห้อง ‘05’ แล้ว
ทันทีที่พ่อค้าของเถื่อนซึ่งดูเหมือนชาวนาสัตย์ซื่อผู้นี้มองเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ลงมาจากรถ เขาก็ปรี่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
“ได้ยินว่าพวกคุณเข้าไปที่ ‘นาวาบาดาล’ ไปพบกับดิมาร์โก้งั้นเหรอ”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ครั้งนี้เขาไม่ได้พาคนคุ้มกันมาด้วย ปล่อยให้ไปรออยู่ห่างๆ เพราะเขารู้กระจ่างชัดแล้วว่าทีมที่อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่ตนเองคิดไว้มาก การมีคนคุ้มกันอยู่ด้วยหรือไม่นั้นไม่มีความแตกต่างแม้แต่น้อย
และยังรู้สึกด้วยว่าถึงแม้จะนำชุดเกราะเสริมแรงทางทหารที่ลูกค้าสั่งจองไว้เอามาใช้ก่อนก็ยังคงไร้ความหมายอยู่ดี เพราะสุดท้ายอีกฝ่ายก็มีเช่นกัน และยิ่งกว่านั้น ในระยะประชิดขนาดนี้ ชุดเกราะเสริมแรงจะไปต้านทานผู้ตื่นรู้ได้ยังไง
ดังนั้นไม่ต้องพาคนคุ้มกันมาด้วยยังจะดีกว่า
ในภาษาแดนธุลีเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การแสดงความจริงใจ’
เมื่อได้ยินคำถามของเลห์แมน เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดล้อเขาออกมาประโยคหนึ่ง
“คุณนี่มีเพื่อนเยอะจริงๆ
“ขนาดในโบสถ์นิกายตื่นตัวก็ยังมีเพื่อนคุณด้วย”
เลห์แมนไม่ได้ปฏิเสธ เขาผงกศีรษะเบาๆ
“เป็นไงบ้าง ดิมาร์โก้บอกว่าไง”
“เขาบอกว่าลาร์สพบรักแท้ใน ‘นาวาบาดาล’ และจะไม่กลับมาบนพื้นโลกอีก ถ้าคุณไม่เชื่อก็ให้ไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัว เขาจะให้ลาร์สวิดีโอคอลกับคุณ” ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ เธอก็เห็นว่าสีหน้าของเลห์แมนเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ดูเหมือนว่าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ อีกทั้งยังเกิดโทสะขึ้นมาเล็กน้อยด้วย แต่สุดท้ายเขาก็เงียบไปเพราะยังสามารถวิดีคอลคุยกับลาร์สได้
ซึ่งนั่นหมายความว่าดิมาร์โก้ไม่ได้โกหก
มีน้อยคนนักที่จะโกหกในลักษณะนี้ เพราะจะถูกเปิดโปงได้ง่ายมาก
หลังจากเงียบงันไปครู่ใหญ่ มุมปากเลห์แมนก็กระตุกราวกับพยายามจะฝืนยิ้มออกมา
“ผมจะไปยืนยันให้มั่นใจ
“ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ”
ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายและรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง ทว่าเธอก็ยังคงเอ่ยปากถามขึ้น
“งั้น… ค่าตอบแทนที่ตกลงไว้ล่ะ
“พวกคุณต้องการแบบไหน” สีหน้าเลห์แมนกลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ เขาก็เสริมอีกหนึ่งประโยค
“ความหมายของผมก่อนหน้านี้ก็คือผมจะพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้พวกคุณได้รับอาวุธควบคุม รวมทั้งชุดเกราะเสริมแรงทางทหารกับแขนกล T1 ด้วย ซึ่งจะทำให้หนี้บุญคุณติดค้างที่ผมสั่งสมเอาไว้หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ แถมยังทำให้เกิดรอยร้าวในสายสัมพันธ์ที่ผมอุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากอีกด้วย
“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ… ค่าตอบแทนของพวกคุณคือเส้นสายช่องทาง ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้แต่ก็มีค่ามหาศาล นอกจากนั้นพวกคุณก็ยังต้องจ่ายเพื่อซื้อของพวกนี้ด้วยราคาที่สมเหตุสมผลด้วย
“และแน่นอนว่าผมจะลดราคาให้ ลดให้สุดๆ เท่าที่ผมจะทำได้”
ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ ซางเจี้ยเย่าก็พูดแทรกขึ้น
“เขาเป็นคนรักของคุณ!”
เลห์แมนเผยรอยยิ้มขมขื่น
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แล้วล่ะ”
ดังนั้นค่าตอบแทนก็เลยลดลงสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกขบขันกับประโยคสั้นๆ นี่เช่นกัน
เธอพบว่าเลห์แมนนั้นเป็นพ่อค้าหน้าเลือดอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว
แต่ที่จริงเธอก็ไม่คิดว่าตนเองเพียงแค่ช่วยเอ่ยปากถามไปเรื่องสองเรื่องแล้วจะได้รับชุดเกราะเสริมแรงทางทหารหรือแขนกลรุ่นใหม่มาหรอก ที่เธอจินตนาการไว้ก็คือตัวเองกับพวกพ้องลุยฝ่าห่ากระสุนและคลื่นพลังพิเศษจากผู้ตื่นรู้หลายคนบุกเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ เพื่อนำตัวลาร์สออกมา จากนั้นก็ไปรับรางวัลจากมือของเลห์แมนด้วยความมั่นใจ
ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่ประการใด พูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม
“ทำให้พวกเราเข้าใจผิดแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะออกจากชุมชนศิลาแดงไม่ได้หรือไง”
ร่างเลห์แมนแข็งทื่อขึ้นมาทันที
จุ๊ จุ๊ ภาพลักษณ์จอมวายร้ายของพวกเรานี่ทำให้คนจำฝังใจเลยสินะ… เมื่อหลงเยว่หงเห็นแบบนี้เข้าก็ถอนหายใจพลางรู้สึกขบขัน
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าเรื่องราวเริ่มดำเนินไปในทิศทางการ ‘ขู่กรรโชกทรัพย์’ เธอจึงรีบหยุดซางเจี้ยนเย่าก่อนที่เขาจะได้ทดลองแสดงละครออกมา พลางถอนหายใจ
“เห็นแก่ที่คุณเสียคนรักไป งั้นก็ตกลงตามนี้แหละ
“หลังจากคุณกลับไปแล้วก็ใช้ช่องทางสายสัมพันธ์ที่มี ช่วยหาชุดเกราะเสริมแรงทางทหารกับแขนกลอีกสักชุดให้พวกเราด้วย อย่าให้เป็นรุ่นเก่าเกินไปก็แล้วกัน
“พอได้มาแล้วก็แจ้งให้พวกเรารู้ พวกเราจะเอาวัตถุปัจจัยไปจ่าย”
ผลิตภัณฑ์ควบคุมเหล่านี้ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ใช้เอง แต่ถ้าเอาไปขายต่อก็ทำเงินได้ไม่น้อย
“นี่จะเอาทั้งชุดเกราะเสริมแรงทางทหารแล้วก็แขนกลด้วยงั้นเหรอ” เลห์แมนค่อนข้างลำบากใจ
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มัวเกรงอกเกรงใจ
เมื่อเห็นว่า ‘จอมวายร้าย’ ยอมถอยให้แล้ว เลห์แมนก็ต่อรองอีกไม่ได้ จึงได้แต่เพียงฝืนยิ้มเท่านั้น
“ไม่มีปัญหา แต่คงต้องใช้เวลานานหน่อยนะ
“แล้วผมจะส่งข่าวให้พวกคุณได้ยังไง”
ตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนบอกเขาไปแบบนั้นก็มีแผนไว้แล้วว่าจะทำเช่นไร เธอจึงพูดออกมาตามตรง
“ฉันจะให้คลื่นความถี่โทรเลขกับรหัสผ่านไว้ หลังจากคุณได้รับของทั้งสองอย่างแล้วก็ให้ส่งโทรเลขหาเราทุกคืนตอนสองทุ่มติดต่อกันหนึ่งเดือน
“ถ้าเราไม่ได้ตอบกลับ งั้นอีกหนึ่งเดือนให้หลังคุณก็เอาของทั้งสองอย่างนั่นไปขายได้เลย”
รหัสผ่านที่เธอเตรียมเอาไว้ให้นั้นเป็นรหัสที่พบได้ทั่วไปในแดนธุลี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับ
เลห์แมนครุ่นคิดแล้วตอบตกลง
หลังจากส่งพ่อค้าอาวุธกลับไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองทุกคนรอบๆ
“จัดการเสร็จไปเรื่องหนึ่งล่ะ
“ต่อไปพวกเราก็ไปหาคุณนายเทเรซ่าที่ชุมชนศิลาแดง ไปถามๆ ดูว่าเดือนที่แล้วเฮลเว็กไปทำให้ใครไม่พอใจบ้าง”
เธอลดระดับของ ‘ความขัดแย้ง’ เหลือเพียง ‘ความไม่พอใจ’ เพื่อไม่ให้มองข้ามบางเรื่องไป
“ฉันว่าคงตามสืบได้ยากแหละ” ไป๋เฉินแสดงความเห็นตนเองออกมา “ถ้าตามที่ดิมาร์โก้พูดมา แค่พูดล้อเล่นสองสามคำก็อาจทำให้ฆาตกรเกิดจิตอาฆาตได้แล้ว การล้อเล่นก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันอีกด้วย ไม่มีใครจำทุกอย่างได้เป๊ะๆ หรอก ก็เหมือนที่หลงเยว่หงบอกไม่ได้ว่าแต่ละวันโดนซางเจี้ยนเย่าอัดไปกี่ครั้งแล้วน่ะ”
หลงเยว่หงอ้าปากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
“แล้วถ้าเขาบอกได้ล่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามองผิดจุดอีกเช่นเคย
ไป๋เฉินเม้มปากไม่ตอบคำ เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“งั้นก็แสดงว่าการที่ถูกนายอัดนั่นทำให้เขาจำฝังใจนะสิ”
เธอเสริมอีกหนึ่งประโยคโดยไม่รอให้หลงเยว่หงตอบ
“โชคดีที่เสี่ยวหงของเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความคิดบวก”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” หลงเยว่หงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าเห็นเข้าก็พูดอย่างยิ้มแย้มออกมาประโยคหนึ่ง
“ตอนห้าขวบนายยังฉี่รดที่นอนอยู่เลย”
“แม่ง!” หลงเยว่หงด่าออกมาด้วยความโมโห
* * * * *
ภายใน ‘ร้านปืน’ ที่ชุมชนศิลาแดง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนได้พบกับคุณนายเทเรซ่าอีกครั้ง
เธอยังคงสวมชุดเดรสหนาสีดำและหมวกที่มีผ้าคลุมสีดำห้อยลงมาเช่นเดิม
“มีอะไรคืบหน้าไหม” เทเรซ่าถามเสียงเรียบ
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าความหวาดกลัว ตื่นตระหนก และกระสับกระส่ายของเธอลดน้อยลงไปแล้ว มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นบ้าง
“คือมันเป็นอย่างนี้น่ะ เราได้ตรวจสอบรายชื่อศัตรูของมิสเตอร์เฮลเว็กไปเบื้องต้นแล้ว แต่ไม่มีใครเป็นผู้ต้องสงสัยเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนโกหกหน้าตายออกมา “พวกเราก็เลยอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ อย่างเช่นว่าในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านนี้ มิสเตอร์เฮลเว็กไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจบ้าง หรือไปพูดล้อเลียนใครบ้าง”
เทเรซ่านึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
“มีเยอะเลย
“เขาชอบหัวเราะเยาะคนอื่นมาก ถ้าหากนับเรื่องการล้อเลียนคนอื่นเกินกว่าระดับทั่วไป เกรงว่าคนเกือบทั้งชุมชนศิลาแดงคงเป็นผู้ต้องสงสัยกันหมด”
มิสเตอร์เฮลเว็กนี่ทำตัวให้คนไม่พอใจเยอะขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอ้าปากค้าง ทั้งรู้สึกขบขันและจนใจไปพร้อมๆ กัน
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ
“น่าเสียดาย…”
“เสียดายอะไร” หลงเยว่หงเป็นลูกคู่ช่วยถามขึ้น
“น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พบกับมิสเตอร์เฮลเว็กตอนยังมีชีวิตอยู่” ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้นมาลูบหน้ากากลิง “ไม่งั้นพวกเราคงได้มาแข่งกันสักตั้ง ดูซิว่าใครจะโมโหก่อนกัน”
เทเรซ่าไม่สนใจบทสนทนาระหว่างซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง เธอเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูด
“เรื่องภารกิจให้พอเท่านี้ก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องสืบสวนต่อแล้วเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยลางสังหรณ์บางประการ
เทเรซ่าผงกศีรษะ
“เท่าที่ดูก็เห็นว่าการสืบสวนเรื่องนี้มีความหวังเพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากในชุมชนศิลาแดง ฉันต้องพิจารณาถึงอนาคตของตัวเองกับลูกๆ ด้วย
“ถึงยังไงเขาก็ล่วงเกินคนไว้มากเกินพอแล้ว ฉันเองก็เตรียมใจไว้นานแล้วว่าเขาอาจจะตายไปเมื่อไหร่ก็ได้”
ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้พูดแบบนี้สักหน่อย… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบแย้งอยู่ในใจ
แต่แล้วเธอก็พลันเข้าใจกระจ่างขึ้นในทันทีว่าเหตุใดเทเรซ่าถึงได้เปลี่ยนความคิด
ในตอนที่เฮลเว็กเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เทเรซ่าวิตกว่าธุรกิจค้าอาวุธจะถูกแย่งชิงไป เป็นกังวลว่าลูกน้องจะตีจาก จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าตนให้ความสำคัญกับสามีขนาดไหน ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เพียงใด ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะมีกองกำลังส่วนตัวขนาดเล็กขึ้นมาแล้ว และยังได้สานสัมพันธ์ธุรกิจกับพวกเลห์แมน ไม่ได้ถูกปัญหาทั้งนอกในรุมเร้าอีกต่อไป
ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว เรื่องที่ว่าเฮลเว็กเสียชีวิตได้ยังไงก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป ถึงอย่างไรระหว่างเธอกับเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว
ไม่แน่ว่าคนที่อยากให้เฮลเว็กตายนั้น อาจจะมีเธอรวมอยู่ด้วยก็ได้
เมื่อเห็นว่าสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นิ่งเงียบไป เทเรซ่าจึงเข้าใจข้อเรียกร้องของพวกเขาผิด ต้องรีบกล่าวเสริมขึ้นมา
“ฉันไม่ได้จะขอให้พวกคุณคืนค่าตอบแทนหรอกนะ
“พวกคุณสามารถหาอาวุธพวกนั้นกลับคืนมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยฉันได้เยอะมากแล้วจริงๆ”
เฮลเว็กนี่เสียทีที่เป็นมนุษย์แท้ๆ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบถอนใจแล้วผงกศีรษะเบาๆ
“งั้นก็ตามนี้แหละ คุณไปแจ้งยกเลิกภารกิจที่สมาคมก็พอแล้ว”
พอออกจาก ‘ร้านปืน’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองทุกคน เมื่อปรับอารมณ์เสร็จก็พูดกลั้วหัวเราะ
“เอาละ ไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ ‘ร้านอาหารปลอดพิษ’ กันเถอะ คืนนี้พวกเราจะทำเนื้อย่างฉลองกัน!”
ฉลองที่ทีมตนเองจัดการเรื่องราวต่างๆ ในระหว่างที่อยู่ในชุมชนศิลาแดงนี้ไปจนเกือบครบหมดแล้ว
“ดี ดี!” หลงเยว่หงตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “ฮา ฮา” ออกมา
“รอให้เอาเครื่องเทศกับถ่านมาเมื่อไหร่ ฉันจะแสดงให้พวกนายดูว่าเนื้อย่างสูตรลับของเชฟเจี่ยงคนนี้เป็นยังไง”
“จะแข่งกันไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างคึกคัก
“แข่งก็แข่งสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนมั่นใจว่าเรื่องการทำอาหารนั้นเธอก็นับว่ามีฝีมือพอตัว
พูดจบก็พลันรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที เธอถามต่อไปอีกประโยค
“แข่งยังไง”
“แข่งว่าใครกินได้เยอะกว่า” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
เจี่ยงไป๋เหมียนถ่มน้ำลายออกมาคำหนึ่ง เลิกสนใจเขาอีก
* * * * *
เวลาเย็น ณ ย่านที่พัก ‘ทีมสำรวจเก่า’ วางเนื้อหมักบนตะแกรงที่ทำมาแก้ขัด
แล้วในตอนนี้ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ส่งโทรเลขกลับมา
เจี่ยงไป๋เหมียนแปลข้อความรหัสอย่างรวดเร็ว แยกเนื้อหาคำตอบจากบริษัทออกเป็นสองบรรทัด
‘เรื่องแรก ไม่จำเป็นต้องสำรวจวิหารที่เกาะกลางทะเลสาบเพิ่มอีก
‘เรื่องสอง ให้สังเกตหานวั่งฮั่วไปอีกระยะหนึ่งก่อน’
หลังจากอ่านโทรเลขจบเจี่ยงไป๋เหมียนก็สบถออกมาด้วยความโมโหปนขบขัน
“ให้สังเกตไปอีกระยะหนึ่งก่อนงั้นเหรอ คนเขากำลังจะไปอยู่รอมร่อแล้วจะไปสังเกตยังไง พูดจริงเหรอเนี่ย!”