ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ในยามเช้า หานวั่งฮั่วขับรถออฟโรดสภาพอนาถามายังย่านที่พักโรงแรม
“นี่เป็นข้อมูลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ที่ผมรวบรวมมาได้” เขายื่นกระดาษปึกหนึ่งส่งให้เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงาม
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีบร้อนอ่าน เธอเพียงแค่เหลือบมองแล้วเอ่ยปากถามขึ้น
“ผู้แจ้งเตือนซ่งได้ตามหาคุณหรือเปล่า”
“คุยกันแล้ว” หานวั่งฮั่วผงกศีรษะเล็กน้อย “แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องคุยหรอก”
แค่มองก็รู้แล้วว่าคุณมันคนประเภทเที่ยงตรง มีความตั้งใจแน่วแน่… เจี่ยงไป๋เหมียนตอบในใจ
ขณะที่เธอกำลังเรียบเรียงคำพูด ซางเจี้ยนเย่าก็ขัดจังหวะ ถามแทรกขึ้น
“คุณมีแผนว่าจะไปที่ไหน”
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ” ถึงแม้ว่าหานวั่งฮั่วจะไม่ใช่สาวกของนิกายตื่นตัวแต่ก็อยู่ในชุมชนศิลาแดงมานานหลายปี จึงถามออกมาตามสัญชาตญาณ
และนอกจากนั้นแล้ว นี่ก็เป็นความเคยชินของนักล่าซากอารยะมากประสบการณ์ที่จะไม่เปิดเผยตำแหน่งตัวเองโดยง่าย
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
“พวกเราต้องคอยสังเกตคุณ”
“หือ” หานวั่งฮั่วรู้สึกงุนงง
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายเพิ่มเติมอีก
“ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน การสังเกตและใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่”
“เพื่อน…” หานวั่งฮั่วทวนคำด้วยเสียงต่ำราวกับรู้สึกประหลาดใจ
ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง
“ผมควรไปที่ปฐมนคร
“ที่นั่นจะมีโอกาสมากมายให้ไขว่คว้า สภาพแวดล้อมก็ซับซ้อนมาก เหมาะกับคนอย่างผมแล้วล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
“ฉันได้ยินมาว่ามีวุฒิสมาชิกของที่นั่นก่อตั้งกองทัพมนุษย์ชั้นรองขึ้นมากองหนึ่ง”
กองทัพนี้ถูกชาวเมือง ‘ปฐมนคร’ เกลียดชัง มีอคติ และถูกกีดกัน จึงต้องยึดผู้มีอำนาจในวุฒิสภาเอาไว้ให้มั่น มิฉะนั้นก็คงยากจะออกจากปฐมนครได้อย่างมีชีวิต หรือไม่ก็ถูกกวาดต้อนให้ ‘ย้ายที่อยู่’ ไปยังเขตทำเหมือง
ผลก็คือผู้ที่มีอำนาจในวุฒิสภาได้รับกองทัพที่มีความจงรักภักดี เชื่อฟัง และมีความสามารถในการต่อสู้
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผม” หานวั่งฮั่วตอบง่ายๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
แล้วเขาก็พูดต่อ
“ผมควรไปได้แล้ว”
“พวกเราจะไปหาคุณที่ปฐมนคร!” ซางเจี้ยนเย่าโบกมือขวา ท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจ
หานวั่งฮั่วเดินหน้าไปสองสามก้าวแล้วหยุดคิดชั่วอึดใจ จากนั้นก็หมุนตัวกลับมา ผงกศีรษะจนแทบมองไม่เห็น
“ไว้เจอกันใหม่”
“ไว้เจอกันใหม่” เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉินตอบ
หานวั่งฮั่วผ่อนลมหายใจอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็เปิดประตูรถออฟโรดขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ
เขาขับรถผ่านซากเมืองตรงไปทางตะวันตก จนมาถึงบริเวณที่โล่งริมทะเลสาบ
ที่นี่มีเป้าไม้ตั้งเรียงไว้มากมาย ยามเมืองผลัดกันยิงใส่อย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างนี้บางทีพวกเขาก็ยิงในท่านอน บางทีก็คุกชันเข่ายิง บางครั้งก็เปลี่ยนไปยิงในท่ายืน ค่อยๆ เพิ่มระดับมาตรฐานความแม่นยำการยิงในอริยาบทต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นหานวั่งฮั่วลงจากรถเดินเข้ามา เหล่ายามเมืองในบริเวณจุดพักก็ตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
“นายอำเภอหาน”
ยามเมืองบางคนพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง
หานวั่งฮั่วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้แล้วพูดขึ้น
“เป็นไง ฝึกซ้อมกันเป็นยังไงบ้าง”
เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดงถามซ้ำอีกครั้งเพื่อแสดงความไม่ลำเอียง
ถานเจี๋ยสีหน้าไร้อารมณ์เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว
“ในช่วงนี้ทักษะของทุกคนพัฒนาขึ้นมาก การฝึกซ้อมร่วมกันและการสื่อสารกันก็เกิดประสิทธิภาพขึ้นอีกไม่น้อย”
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างคนภาษาธุลีกับคนแม่น้ำแดง รวมถึงความเชื่อเรื่องการตื่นตัวและการซ่อนตัว ดังนั้นถึงแม้ว่าหานวั่งฮั่วจะพยายามใช้สารพัดวิธีการด้วยความเหนื่อยยาก ก็ยังไม่อาจทำให้การฝึกซ้อมร่วมกันบรรลุผลได้ จึงทำได้เพียงแค่ให้เหล่าบรรดายามเมืองผลัดสลับช่วงเวลาฝึกซ้อมกันตามกลุ่มเท่านั้น
ทว่าหลังจากการบุกจู่โจมของมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาในครั้งนี้ ทำให้ชาวชุมชนศิลาแดงราวกับถูกกระตุ้น ทำให้ไม่สุดโต่งกันอีก ยอมจำใจมาร่วมฝึกซ้อมและสื่อสารกัน เพราะที่ผ่านมาทั้งญาติสนิทมิตรสหายของพวกเขาต่างก็ล้มตายลงไปต่อหน้าต่อตา เป็นซากศพไม่สมบูรณ์ เลือดไหลเจิ่งนองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถยิ่งกว่าครั้งใดๆ
นี่ต้องขอบคุณแนวคิดของหานวั่งฮั่วที่ต้องการรวบรวมคนภาษาธุลีกับคนแม่น้ำแดงเข้าด้วยกัน ให้พวกเขาพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงสถานการณ์วิกฤตขณะทำศึก สุดท้ายก็ได้จุดประกายของความไว้วางใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
หานวั่งฮั่วเผยรอยยิ้มที่ยากเห็นออกมาอีกครั้ง
“ดีแล้วล่ะ”
ในตอนนี้ก็มีคนแม่น้ำแดงคนหนึ่งซึ่งมีผมสีน้ำตาลทองก้าวออกมาพูด
“นายอำเภอหาน ตอนนี้กระสุนพวกเราค่อนข้างอัตคัดเต็มแก่แล้ว”
นี่ไม่ใช่ว่ากระสุนของยามเมืองมีไม่เพียงพอ เพียงแต่พวกเขาต้องสงวนบางส่วนเอาไว้เผื่อเกิดเหตุกองกำลังพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองกับพวกโจรบุกจู่โจมกะทันหัน จึงไม่อาจนำกระสุนจริงมาใช้ฝึกซ้อมได้
หานวั่งฮั่วผงกศีรษะเบาๆ
“ส่งคนไปหาอันเฮอบัส เขาเคยบอกแล้วว่าจะช่วยสนับสนุนชุมชน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว บรรดายามทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคนภาษาธุลีหรือคนแม่น้ำแดงก็ตาม ต่างก็พากันหัวเราะลั่น
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้หานวั่งฮั่วจะพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง แต่คนภาษาธุลีในที่นี้ก็ยังพอจะเข้าใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ทราบแล้ว นายอำเภอหาน!” ยามเมืองหลายคนตอบรับเสียงหนักแน่นหลังจากหัวเราะกันครื้นเครง
เมื่อพูดคุยเรื่องนี้จบแล้ว หานวั่งฮั่วก็เดินไปยังพื้นที่ซ้อมยิงโดยมีถานเจี๋ยติดตามไปข้างกาย
“หลังจากเสร็จศึกพวกเขาก็ยอมรับว่าคุณคือหัวหน้าอย่างแท้จริง แนวป้องกันของคุณยืนหยัดจนมีสภาพน่าสลดใจมากที่สุด” ถานเจี๋ยพูดออกมาสองประโยคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หานวั่งฮั่วนิ่งเงียบไม่ตอบคำ
ขณะที่เขาเดินไปตามทาง ยามเมืองที่ฝึกซ้อมเสร็จแล้วต่างก็พากันหันมาทักทายเขาตลอดทางเดิน
“นายอำเภอหาน”
“นายอำเภอหาน”
“นายอำเภอหาน”
* * * * *
หานวั่งฮั่วเดินมาจนสุดทางแล้วหลับตาลง
จากนั้นเขาก็กลับหลังหันมามองดู เห็นคนแม่น้ำแดงที่มีสีผมหลากหลายกับคนภาษาธุลีที่ผมดำดวงตาสีน้ำตาลยืนรวมกันอยู่ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะยังดูห่างเหินและมีท่าทีระแวดระวังอยู่บ้าง แต่ก็ยังพูดโต้ตอบกันบ้างสักคำสองคำเป็นครั้งคราว
หานวั่งฮั่วละสายตากลับมาแล้วพูดกับถานเจี๋ย
“ดูแลพวกเขาด้วยนะ”
“ทราบแล้ว” ถามเจี๋ยมองดูหานวั่งฮั่วเดินอ้อมพื้นที่ซ้อมยิง เดินทีละก้าวตรงไปยังรถออฟโรดสีดำ
เมื่อเข้ามาในรถแล้วหานวั่งฮั่วก็นั่งนิ่งไปหลายสิบวินาที จากนั้นถึงได้สตาร์ทรถแล้วขับไปยังชุมชนศิลาแดง
หลังจากเข้าไปยังชั้นใต้ดินและจอดรถ เขาก็ทอดสายตามองดูก่อนจะสูดหายใจเข้าอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออกช้าๆ
จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ เข้าไปข้างในชุมชนศิลาแดงโดยใช้บันไดเลื่อน
ครั้นพอเดินผ่านกล่องป้ายโฆษณาที่เหลือมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า เขาก็งอนิ้วแล้วเคาะลงไป
“เกิดเรื่องอะไรบ้างไหม” หานวั่งฮั่วเอ่ยปากถามท่ามกลางเสียงเคาะดังก๊อกๆ ที่ดังสะท้อนก้องกังวาล
“ไม่มี ทุกอย่างเรียบร้อย” เสียงดังออกมาจากกล่องป้ายโฆษณาโลหะ
หานวั่งฮั่วร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“อย่าลืมพักผ่อนและเปลี่ยนเวรละกัน”
พูดจบเขาก็เดินไปที่บันไดเลื่อนที่นำไปสู่ชั้นล่างสุด
แล้วตอนนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสาธารณะที่อยู่ในกล่องป้ายโฆษณาโลหะก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง
“นายอำเภอหาน อรุณสวัสดิ์!”
หานวั่งฮั่วชะงักฝีเท้า ค่อยๆ หมุนกายกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์”
บันไดเลื่อนเคลื่อนลงไปชั้นล่าง หานวั่งฮั่วมาถึงสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ
แวร์ตูร์ไม่อยู่ที่นั่น มีเพียงแค่เจ้าหน้าที่สองนายที่ซ่อนตัวอยู่
หานวั่งฮั่วเดินไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง จ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ล้วงจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
จากนั้นเขาก็วางจดหมายลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วนำแก้วที่ไม่มีน้ำมาวางทับไว้
เขาค่อยๆ กวาดสายตาไปช้าๆ อย่างตั้งใจ มองดูสิ่งคุ้นเคยรอบตัว โต๊ะ เก้าอี้ โคมระย้า เครื่องเขียนและผนัง
ฟู่… เขาถอนหายใจแล้วกลับหลังหันเดินออกจากประตูไป
ระหว่างที่ขึ้นบันไดเลื่อน หานวั่งฮั่วแหงนหน้ามองไปรอบๆ ดูชุมชนที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา
พอออกจากชุมชนมาแล้วเขาก็ขับรถออฟโรดสภาพอนาถาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของซากเมือง
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เนินเขาซึ่งอยู่ชายขอบของซากเมืองก็ปรากฏสู่สายตา
หานวั่งฮั่วแตะเบรคตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเพื่อหยุดรถออฟโรด
เขาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับส่งสายตามองไปยังกระจกมองหลัง
ภาพบนกระจกมองหลังคือชายขอบของซากเมืองที่ทรุดโทรม ถูกอาบไล้ด้วยแสงตะวันแห่งเหมันต์ฤดูในเวลาใกล้เที่ยง ราวกับถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีทองจางๆ
หานวั่งฮั่วเหม่อมองดูอยู่ครู่ใหญ่จึงละสายตากลับมา ลูบปืนไรเฟิลที่วางอยู่ข้างกาย จากนั้นก็ยกเท้าขวาซึ่งเหยียบเบรคไว้ขึ้น
เมื่อรถเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง เขาก็เห็นเนินเขาและพื้นที่เพาะปลูกที่รกร้างอยู่เบื้องหน้า
รถออฟโรดพุ่งผ่านผืนดินรกร้างไร้ผู้คน
* * * * *
หลังจากได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘สวรรค์จักรกล’ มาแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็ไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัวเพื่ออำลาซ่งเหอ
เมื่อคืนนี้พวกเขาไปร่วมพิธีมิสซาส่งวิญญาณ อธิษฐานให้กับเหล่าผู้เสียชีวิตในสงครามก่อนหน้านี้
มิสซาส่งวิญญาณของโบสถ์นิกายตื่นตัวไม่ได้มีพิธีกรรมในส่วนของการซ่อนแอบ แต่ทุกคนที่เข้าร่วมล้วนสวมหน้ากากเอาไว้ ประหนึ่งเป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากากอันเศร้าสร้อย
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ผิดหวังเพราะเรื่องนี้ เขาเข้าร่วมพิธีอย่างจริงจัง
เมื่อออกจากโบสถ์มาขึ้นรถจี๊ปแล้ว หลงเยว่หงที่กำลังจะเอ่ยปากพูดก็พลันเห็นวัยรุ่นสองสามคนกำลังเล่นอยู่แถวๆ ซากอาคารที่พังถล่ม
วีลผมสีบลอนด์อ่อนก็อยู่ในนั้นด้วย
“ฮ่า ฮ่า นี่ฉันเกือบจะลืมไปสนิทเลยว่าเขายังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่” ถ้าไม่ได้เห็นภาพนี้ หลงเยว่หงคงจะลืมเรื่องอายุของวีลไปแล้ว
เจ้าเด็กโตเกินวัยที่ดูลึกลับและคำพูดแปลกๆ ที่พูดคุยนั้นทำให้ผู้คนหลงลืมอายุของเขาไป
และนอกจากนั้น เขาซึ่งชอบมองความเป็นจริงจากช่องระบายอากาศก็มักแสดงถึงวุฒิภาวะที่โตเกินกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน
“เจ้าหนูนี่มีบางอย่างไม่ปกติ เหมือนว่าจะก่อปัญหาเอาไว้ แต่พวกเราไม่ใช่เจ้าหน้าที่รักษาความสงบฯ ที่ต้องไปตรวจสอบทุกเรื่องละนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
ตอนนี้ไป๋เฉินก็เริ่มเคลื่อนรถ
ซางเจี้ยนเย่าหันกลับไปมองโบสถ์นิกายตื่นตัว ราวกับรู้สึกไม่เต็มใจที่จะจากไป
“ยังมีอะไรค้างคาใจอยู่อีกหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมไม่สามารถทำให้คนที่นี่อยู่กันอย่างสงบสุขได้ ทั้งมนุษย์มัจฉา ปีศาจภูเขา คนภาษาธุลี คนแม่น้ำแดง”
เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“เรื่องนี้มันต้องใช้เวลาไม่น้อย ผู้แจ้งเตือนซ่งเองก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน
“แล้วก็นะ ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเสียหน่อย ตอนที่กลับจาก ‘สวรรค์จักรกล’ ยังไงก็ต้องผ่านที่นี่อยู่แล้ว
“ไว้พอถึงตอนนั้นนายอยากทำอะไรก็ทำไป แต่ดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็คึกคักขึ้นมาทันที
“งั้นผมจะพูดกับทุกคนในชุมชนศิลาแดง บอกกับพวกเขาว่า…
“พวกเราจะกลับมาอีก!”
พวกเขาคงไม่อยากต้อนรับเราแหง… หลงเยว่หงพูดเสียดสีอยู่ในใจ
เป็นเพราะพวกเขาเก็บข้าวของกันมาหมดแล้วจึงขับรถมุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ได้เลย ไม่ต้องย้อนกลับไปที่ย่านที่พักกันอีก
ที่หมาย: ‘สวรรค์จักรกล’
* * * * *
ด้านนอกโบสถ์นิกายตื่นตัว เด็กชายซึ่งอายุไล่เลี่ยกับวีลนั่งอยู่ริมขอบของตึกที่พังถล่ม บ่นขึ้นมา
“ทีตอนที่ฝังพ่อฉัน ไม่เห็นนายจะมาเลย เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
เด็กชายวัยรุ่นคนนี้มีดวงตาสีเขียวแก่
วีลซึ่งนั่งอยู่ริมขอบตึกที่พังถล่มเช่นเดียวกัน มุ่ยหน้าพูด
“นายก็รู้นี่นาว่าฉันไม่ชอบเขา เขาชอบหัวเราะเยาะเรื่องความสูงฉันประจำ”