เป็นเพราะว่าเพิ่งได้จัดการมื้อเที่ยงแบบ ‘ชุดใหญ่’ ไปด้วยความสำราญใจแล้ว ดังนั้นในมื้อเย็น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็เลยกินอาหารกระป๋อง ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็งอย่างขอไปที ไม่ได้สนใจจะไปล่าสัตว์หรือทำอาหารอย่างอื่นกันอีก
และนอกจากนี้ก็คือแถวหุบเขาช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะหาพวกสัตว์ป่าเจอได้ง่ายนัก
“มีคนรู้จักที่นี่เยอะไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งอยู่ข้างกองไฟเอ่ยปากถามยอร์เกนเซ่นที่พยายามทำตัวเป็น ‘ทหารรับใช้’ ที่ดี
ยอร์เกนเซ่นเหลือบมองสหายตนเองที่กำลังสลับเวรยามเฝ้าระวังรอบข้าง แล้วยิ้มอย่างประจบประแจง
“ที่นี่เป็นแหล่งน้ำสะอาดแหล่งสุดท้ายก่อนจะออกจากภูชีลาร์เพื่อมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ นี่ถ้าไม่ใช่เป็นฤดูหนาวก็คงจะเห็นพวกกองคาราวานกับทีมนักล่ามาตั้งค่ายกันเต็มไปหมด ถ้าไม่คอยระวังตัวไว้ก็อาจเจอคนอื่นๆ เข้าได้”
เขาหยุดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม
“พวกเราชอบแอบซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ ถ้าเจอคนที่แข็งแกร่งก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ถ้าเป็นทีมเล็กๆ ที่มีแค่สี่คน เอ่อ… ไม่ใช่… ห้าหกคนน่ะ พวกเราก็จะรีบออกไปปล้นทันที
“ถ้าหากไม่มีสถานที่สำหรับหารายได้ประจำแบบนี้ ลูกพี่พวกเราคงไม่มีปัญญาเลี้ยงคนเยอะขนาดนี้ไหวหรอก”
ในตอนนี้โจรที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็พูดแทรกขึ้นมา
“ระยะหลังๆ เนี่ยพวกกองคาราวานเล็กๆ หรือพวกนักล่าทีมเล็กๆ ก็เริ่มเรียนรู้มากขึ้น พอต้องการตักน้ำก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่คอยช่วยกัน
“เฮ้อ… บางครั้งก็ยังถึงขนาดว่าจ้างพวกนักล่ามากวาดล้างพวกเราโดยเฉพาะอีกด้วย บางทีพวกเราก็ถูกบีบบังคับเสียจนไม่กล้าซุ่มโจมตีตามพื้นที่พวกนี้ ได้แต่ต้องอาศัยพื้นที่บนเขาไปไถหว่านเพื่อยังชีพ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหมอนี่ต้องการแย่งบทบาทหน้าที่ของตัวเองไป ยอร์เกนเซ่นก็มองเขาอย่างโกรธเคือง รีบแย่งพูดต่อ
“อย่าไปฟังเจ้าหมอนี่โม้เลย ภูชีลาร์เป็นเส้นทางการค้าสายหลักจาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ไปที่ทาร์นัน พวกข้าวของที่ปล้นมาก็เอาไปแลกอาหารที่ทาร์นันได้ง่ายๆ
“ทุ่งเน่าๆ บนเขาพวกนั้นน่ะ หลักๆ ก็เอาไว้ให้พวกยายแก่ที่บ้านทำอะไรฆ่าเวลาแค่นั้นแหละ”
ไม่ว่าจะเป็นโจรที่ทำนาแบบพาร์ทไทม์ หรือเป็นชาวนาที่มาเป็นโจรพาร์ทไทม์นี่ เจี่ยงไป๋เหมียนเคยเห็นมานักต่อนักจนไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรอีกแล้ว แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกขบขันก็คือยอร์เกนเซ่นที่เป็นชาวแม่น้ำแดงแท้ๆ แต่กลับใช้คำศัพท์ภาษาแดนธุลีได้คล่องปากอย่างเช่นคำว่า ‘ยายแก่’ หรือ ‘ขี้โม้’
ขนาดโจรก็ยังมีคู่เลย… หลงเยว่หงที่อยู่ข้างๆ พลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสซักไซ้ไล่เลียงต่อ
“การเก็บเกี่ยวเป็นไงบ้าง”
“หือ” ยอร์เกนเซ่นไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเรื่องนี้ด้วย
นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนชาวนาสองคนนั่งยองๆ คุยกันอยู่หน้าประตูบ้าน
นี่ถ้าอีกฝ่ายเอาสองมือซุกไว้ในแขนเสื้อด้วยก็ยิ่งเหมือนมากขึ้นไปอีก
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ทราบว่าซางเจี้ยนเย่าไปหัดวิธีพูดแบบชาวนาแก่ๆ เช่นนี้มาจากไหน เธอรีบเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยความขบขัน
“คืนนี้พวกนายจัดกลุ่มละสองคนแล้วผลัดกันเฝ้าเวรกลางคืน
“พวกเราเองก็ด้วยเหมือนกัน”
เธอไม่ปล่อยให้หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ เลิกนิสัยความเคยชินที่ฝึกมานานเพียงเพราะว่ามี ‘ทหารรับใช้’ ให้ใช้งาน
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินต่างก็ทอดสายตามองไปยังทางเข้าของแหล่งน้ำพร้อมๆ กัน
หุบเขาแถบนี้เกือบจะเป็นพื้นที่ปิด น้ำใสไหลรินจากผนังหินผาลงมาสู่แอ่งน้ำเงียบสงบ มีเพียงเส้นทางสายเดียวที่รถสามารถผ่านเข้าออกได้
แต่แน่นอนว่าหากไม่ได้ใช้รถก็ยังมีทางเดินเส้นเล็กๆ ให้เลือกเดินทางเข้าออกได้มากมายหลายเส้น
ผ่านไปไม่นานก็มีรถยนต์วิบากเสริมแผ่นเหล็กสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งขับเข้ามาในหุบเขา มันดัดแปลงยกแชสซีสูง ล้อขนาดใหญ่ ตัวถังบึกบึน
“หล่อชะมัด!” ซางเจี้ยนเย่าผิวปากดังหวีดหวิว
รถคันนี้ไม่ใช่น้องสาวคนสวย แต่เป็นพี่ชายสุดหล่อต่างหาก
ที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองก่อนเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นไม่ใช่เพราะระยะขอบเขตของพลังเพิ่มขึ้นมาอีก แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำราม
รถยนต์วิบากคันนั้นเพิ่งจะขับเข้ามาในหุบเขาก็เห็นว่าอีกฟากหนึ่งของแอ่งน้ำมีรถจอดอยู่แล้วและมีเต็นท์ที่เพิ่งกางเสร็จ
ความเร็วของมันชะลอลงทันที คนที่อยู่ในรถเองก็เตรียมหยิบอาวุธขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ตื่นตัวเต็มที่
รถยนต์วิบากค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่อยู่ห่างจากพวกซางเจี้ยนเย่ามากที่สุด ต่างฝ่ายต่างก็มองกันผ่านแอ่งน้ำซึ่งไม่นับว่าเล็กเท่าไร
คนในรถแม้ว่าจะมีท่าทางเป็นธรรมชาติและสงบเยือกเย็น แต่ก็ลงจากรถด้วยความระมัดระวัง เป็นกลุ่มชายสามหญิงหนึ่ง
พวกเขาคนหนึ่งรับหน้าที่ตักน้ำ อีกคนหาฟืน ส่วนอีกสองคนที่เหลือยืนอยู่ข้างรถยนต์วิบากคันนั้นคอยเฝ้าจับตาดู ‘ทีมสำรวจเก่า’ กับพวก ‘ทหารรับใช้’
เพียงแค่ชำเลืองมองจากรูปลักษณ์ภายนอกก็แยกแยะได้แล้ว พวกลูกสมุนโจรทั้งสี่คนอย่างยอร์เกนเซ่นนั้นเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตกหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แผ่กลิ่นอายโจร ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็ดูหวาดกลัวหลบๆ ซ่อนๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็กวาดสายตามองดูพวกเขา และมีหนึ่งในนั้นที่ทำให้เธอจำได้อย่างติดตา
เขายืนอยู่ข้างกระโปรงหน้ารถ สูงกว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ต่ำกว่าซางเจี้ยนเย่าเล็กน้อย เสี้ยวหนึ่งของศีรษะซีกขวาสะท้อนประกายโลหะสีเงินแวววาวราวกับถูกซ่อมแซมด้วยวัสดุสังเคราะห์
หน้าผากซีกซ้ายมีเศษชิ้นส่วนที่ดูไม่เป็นระเบียบฝังอยู่ ไม่ทราบว่าทำไมถึงไม่ถอนออก แต่ส่วนที่ยื่นออกมาก็ราบเรียบเสมอกัน
คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำ สะพายดาบตรงหนึ่งเล่มไว้กลางหลัง ในมือถือปืนพกที่ดูเพรียวบางกระบอกหนึ่ง
ผมสีดำของเขาสั้นเตียน ดวงตาข้างขวาเหมือนว่าถูกดัดแปลงมา ม่านตาสะท้อนสีแดงม่วงแปลกประหลาด ใต้ตาซ้ายมีไฝที่ไม่สะดุดตาอยู่เม็ดหนึ่ง
“มนุษย์ดัดแปลงจักรกลงั้นเหรอ” หลงเยว่หงถามซางเจี้ยนเย่าเบาๆ
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ตอนนี้เห็นแค่ว่าถูกดัดแปลงมา แต่ยังไม่เห็นพวกเครื่องจักรกล”
ไม่ใช่โลหะทุกชนิดที่จะเรียกว่าเป็นจักรกล
คนที่ทำหน้าที่ตักน้ำฝั่งตรงข้ามเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี มีเส้นผมยาวตรงสีดำขลับ ท่าทางอ่อนโยนมีความรู้ ดูไม่ค่อยเหมือนนักล่าซากอารยะที่ออกผจญภัยในโลกภายนอกมานานปี
นักโบราณวัตถุ… นักประวัติศาสตร์… นักธรรมชาติวิทยา… หรือว่าเธอจ้างทีมนักล่าที่แข็งแกร่งทรงพลังกลุ่มนี้ให้มาปกป้องคุ้มครองตัวเองตอนที่เข้ามาในภูชีลาร์… หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา ในใจเธอก็บังเกิดการคาดเดาไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่ากลุ่มนักล่าซากอารยะที่อยู่อีกฟากนั้นไม่คิดที่จะติดต่อสื่อสารด้วย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้ปล่อยให้ซางเจี้ยนเย่าไปกวนพวกเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ระวังซึ่งกัน รักษาสภาวะการอยู่ร่วมกันอย่างสงบเอาไว้
นี่เป็นเรื่องปกติเมื่อยามที่กองคาราวานการค้าและกลุ่มนักล่าซากอารยะเกิดพบเจอกันตามแหล่งน้ำ แต่ละคนต่างก็ไม่ใช่ญาติไม่ใช่เพื่อน ภาษาก็พูดไม่เหมือนกัน จึงไม่จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เว้นเสียแต่ว่ามีเรื่องที่ทำให้ต้องรวมกลุ่มกัน หรือมีใครรีบร้อนอยากถามทาง อยากสอบถามข้อมูล
จนกระทั่งอีกฝ่ายก่อกองไฟและกินอาหารค่ำกันเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็จัดให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเป็นเวรในกะแรก ส่วนเธอกับซางเจี้ยนเย่าจะคอยรับผิดชอบช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดซึ่งผู้คนมักจะลดความระวังป้องกันมากที่สุด
ซางเจี้ยนเย่าเข้าไปในรถจี๊ป ไม่ได้พูดอะไรมาก เขานวดขมับทั้งสองข้างแล้วผล็อยหลับไป
* * * * *
ตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มคุ้นเคยกับพลังและยังไม่ได้ออกจากชุมชนศิลาแดง เขาก็ออกเดินทางไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะแห่งต่อไปแล้ว
ในทะเลลวงตาที่สะท้อนประกายแสงระยิบระยับ ซางเจี้ยนเย่าปรับเปลี่ยนอิริยาบทสารพัดอย่างเพื่อหาวิธีให้ตัวเองได้เพลิดเพลินคลายความเบื่อหน่ายใน ‘การเดินทาง’
เขาว่ายท่าฟรีสไตล์ไปพักหนึ่ง ว่ายท่ากรรเชียงหลังไปรอบหนึ่ง ว่ายท่าลูกสุนัขตกน้ำไประยะหนึ่ง ว่ายเป็นรูปตัว S ไปอีกช่วงหนึ่ง ว่ายไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
จากนั้นไม่นานนัก ที่เบื้องหน้าเขาก็มีเกาะแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น
เกาะนี้มีภูเขา มีสายน้ำ มีต้นไม้ใบหญ้า เมื่อเทียบกับสองเกาะที่เคยพบมาก่อนหน้านี้แล้ว ที่แห่งนี้ก็ประหนึ่งสรวงสวรรค์
เมื่อซางเจี้ยนเย่าปีนขึ้นไปบนเกาะเสร็จก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีทันที ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบกับสัตว์ที่แปรสภาพมาจากความกลัวแม้แต่ตัวเดียว
เขาครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจนั่งขัดสมาธิ รอดูว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน
แสงตะวันอันอบอุ่น สายลมอันชุ่มชื่น ทำให้เขาเริ่มรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้
สภาวะธรรมดาที่ไม่มีอะไรผิดปกติเช่นนี้ดำเนินต่อไปจนเขารู้สึกเบื่อหน่าย
ดังนั้นซางเจี้ยนเย่าจึงตัดสินใจออกจาก ‘ทะเลต้นกำเนิด’ กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เขาลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน มองไปที่เบาะหน้าของรถจี๊ป อ้าปากออกมาได้ครึ่งหนึ่ง
หลังจากลังเลไปชั่วขณะ ซางเจี้ยนเย่าก็ตัดสินใจหุบปากลงดังเดิม หลับตาลงอีกครั้ง
ในครั้งนี้เขาผล็อยหลับไปจริงๆ
* * * * *
เวรยามตั้งแต่กะดึกผ่านไปจนกระทั่งฟ้าสาง เจี่ยงไป๋เหมียนสั่งให้ลูกทีมกับ ‘ทหารรับใช้’ เก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทาง
ในตอนที่รถทั้งสองคันของพวกเขากำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปยังทางเข้าออกของหุบเขา ชายคนที่ดูเหมือนผ่านการดัดแปลงด้านจักรกลซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตะโกนออกมา
“พวกคุณกำลังจะไปทางตะวันตกเฉียงกันใช่ไหม”
“ใช่!” ซางเจี้ยนเย่าลดกระจกหน้าต่างลงแล้วตะโกนตอบกลับไป
ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าซีกขวาซึ่งเป็นโลหะเย็นเยียบ พูดด้วยเสียงอันดังกังวาล
“ถ้างั้นอ้อมไปจะดีกว่า
“ที่บริเวณภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ปรากฏตัวขึ้น”
“คนไร้ใจขั้นสูง…” เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดกระจกหน้าต่างรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ถามด้วยความสงสัย
“เกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”
พวกมีนส์เพิ่งออกจากทาร์นันไป พวกเขาต้องผ่านพื้นที่แถวนั้นเพื่อกลับไปที่ ‘สมาพันธ์หลินไห่’
ชายที่หัวกะโหลกครึ่งเสี้ยวเป็นโลหะสีเงินตอบกลับ
“เพิ่งเร็วๆ นี้เอง
“ตอนแรกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก เพิ่งจะเข้าไปแถวๆ ภูเขาเมื่อวานน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนจึงได้เข้าใจสถานการณ์ เธอถามต่ออีก
“เป็น ‘คนไร้ใจ’ กลายพันธุ์ หรือว่าเป็นผู้ตื่นรู้ที่เป็น ‘โรคไร้ใจ’ เหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้แค่ว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องที่พวกนักล่าหลายทีมแลกมาด้วยการบาดเจ็บล้มตาย” อีกฝ่ายตอบมา
ราวกับเขาไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจ ไม่คิดจะรบกวนต่ออีก เธอพูดเสียงดัง
“ขอบคุณมาก!”
“ขอบคุณมาก!” ซางเจี้ยนเย่าเองก็แสดงความคิดในใจตนเองออกมาเช่นกัน
เมื่อออกมาจากหุบเขาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ทันจอดรถเพื่อถามรถของพวกยอร์เกนเซ่นเกี่ยวกับเส้นทางอ้อม ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“เมื่อคืนนี้ผมเจอเกาะที่สามแล้ว
“แต่ว่ามันแปลกมาก”
ทำไมเพิ่งจะมาบอกเอาป่านนี้… ความคิดนี้วาบขึ้นมาในหัวเจี่ยงไป๋เหมียนโดยอัตโนมัติ จากนั้นเธอก็ถามอย่างนุ่มนวล
“แปลกยังไงเหรอ”