ซางเจี้ยนเย่าเล่าถึงประสบการณ์ของตนบนเกาะนั้นอย่างรวบรัด สุดท้ายก็สรุปออกมา
“ไม่เจอเรื่องยุ่งยาก ไม่เจอสัตว์ประหลาด บางทีพวกมันคงกำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะยอมแพ้ยังไงดีละมั้ง”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ใส่ใจประโยคครึ่งหลังของซางเจี้ยนเย่า พูดพึมพำกับตนเองอย่างครุ่นคิด
“แปลกจริงๆ แปลกมากด้วย
“นี่มันเป็นบาดแผลในใจแบบไหนกันนะ”
พูดแล้วเธอก็หันมาทางซางเจี้ยนเย่า เอ่ยให้คำแนะนำ
“นายลองไปอีกสักสองสามครั้ง ดูว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม”
ในเมื่อยังไม่มีวิธีการอย่างอื่นก็คงต้องใช้วิธีนี้แหละ สถานการณ์ที่มีเบาะแสไม่เพียงพอ ก็ทำได้เพียงแค่พยายามรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้นเท่านั้น
หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่ข้างซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้ม
“‘เกาะ’ นั่นดูอย่างกับเอาไว้ให้พักผ่อนนอนเล่นเลยแฮะ”
“ไม่น่าจะใช่นะ เกาะแต่ละแห่งที่อยู่ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ มันต้องมีความหมายในตัวเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดสายตามองหลงเยว่หงแล้วหัวเราะออกมา “แต่ถ้าเป็นนาย ฉันก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเกาะนั้นน่าจะหมายถึงเรื่องอะไรที่อยู่ในใจ และหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น”
“คืออะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย
หลงเยว่หงพยายามห้ามไว้แต่ไม่สำเร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มันก็คือความกลัวว่าความมุ่งมั่นของตัวเองจะถูกกัดกร่อนให้เสื่อมสลายไปของเสี่ยวหงน่ะ
“พวกนายลองคิดดูนะ เกาะที่มีแสงแดดสดใส ลมทะเลที่อบอุ่น บ้านช่องใหญ่โตโอ่โถง อาหารมากมายสารพัดอย่าง วัตถุปัจจัยอะไรก็มีให้ไม่ขาดแคลน ภรรยาที่หมดจดงดงาม ญาติสนิทมิตรสหายคนนั้นคนนี้แวะมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ถ้าหากว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดเป็นจริงขึ้นมาก็คงทำให้เสี่ยวหงหลงลืมความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวเองแน่ๆ คงไม่เหลือความคิดที่จะทำงานอย่างขยันขันแข็งอีกแน่นอน”
ถ้าหากมีที่แบบนั้นจริงๆ งั้นยังจะต้องทำอะไรให้เหนื่อยยากลำบากลำบนอีกล่ะ ไอ้ที่ฉันต้องพยายามอย่างหนักทุกวันนี้ก็เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นไม่ใช่หรือไง… หลงเยว่หงไม่กล้าพูดเรื่องที่คิดในใจออกมา
“เขาอาจจะคิดว่าเป็นการประทานพรจากผู้ครองกาลด้วยซ้ำ” ซางเจี้ยนเย่าช่วยพูดสนับสนุน
ครั้งนี้หลงเยว่หงไม่ได้เถียงออกมา เพียงแต่แก้บางคำด้วยเสียงอ่อย
“ประทานพรจากสวรรค์ต่างหาก”
เขาไม่เชื่อถือศรัทธาผู้ครองกาลองค์ใดทั้งสิ้น ดังนั้นก็มีเพียงแค่ประทานพรจากสวรรค์เท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอแล้วจึงไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้อีก เธอครุ่นคิดพิจารณาแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“เกาะนั้นกัดกร่อนความมุ่งมั่นตั้งใจของนายบ้างหรือเปล่า”
“ผมรู้สึกแค่ว่ามันน่าเบื่อน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าตอนนี้คุยเรื่องนี้ไปก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เธอจึงหยิบวิทยุรับส่งขึ้นมากดปุ่มแล้วพูดกับรถคันหลัง
“เมื่อกี้พวกนายได้ยินนักล่าคนนั้นเตือนหรือเปล่า”
แม้ว่าเธอยังไม่มั่นใจว่าคนกลุ่มนั้นเป็นนักล่าซากอารยะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ในแดนร้างนั้น ไม่ว่าจะเจอใครก็เรียกไปก่อนว่าเป็น ‘นักล่าซากอารยะ’ ได้ทั้งนั้น
ยอร์เกนเซ่นหยิบวิทยุสื่อสารที่ไป๋เฉินโยนให้ตั้งแต่ตอนที่ออกเดินทางขึ้นมาแล้วตอบกลับ
“ได้ยินครับ
“แต่เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ที่นั่นอยู่ใกล้กับทาร์นันมาก ไว้รอให้คนจาก ‘สวรรค์จักรกล’ รู้ข่าว เดี๋ยวเขาก็ส่งยามหุ่นสมองกลไปจัดการเองแหละ พวกมันไม่กลัว ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ หรอก”
และก็คงไม่กลัวผู้ตื่นรู้ด้วยสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำในใจ แล้วถามออกมาตรงๆ
“น่าจะใช้เวลาสักกี่วัน”
“ไม่รู้ครับ ต้องดูว่าทาร์นันจะได้รับข่าวเมื่อไหร่” ยอร์เกนเซ่นตอบออกมาอย่างซื่อๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
“งั้นมีเส้นทางอื่นที่จะผ่านแถวนั้นอีกหรือเปล่า”
“มี มี ต้องขับรถไกลอีกครึ่งวัน ถนนแย่มากจนพวกรถบรรทุกวิ่งผ่านไม่ได้ แต่รถสองคันของพวกเราไม่น่ามีปัญหา” ยอร์เกนเซ่นพยายามเต็มที่เพื่อสวมบทบาท ‘ผู้นำทาง’ ของตนเอง
เขาไม่อยากถูกมัดมือไพล่หลังเหมือนพวกพ้องคนอื่นๆ
ในระหว่างที่รอให้รถคันหลังแซงไป หลงเยว่หงก็อดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้
หากว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเกิดย้ายที่ แล้วดับประจวบเหมาะเป็นทางใหม่ที่เราจะไปพอดี งั้นก็งานงอกนะสิ
นี่ไม่เหมือนกับสัตว์ป่าที่จะมีพื้นที่อาณาเขตที่แน่นอน และต่อให้เป็นสัตว์ป่าจริงๆ ก็ยัง ‘ย้ายบ้าน’ ได้ถ้าถูกรบกวน
ทว่าเรื่องนี้หลงเยว่หงไม่ได้พูดออกมาเพราะเกรงว่าหากพูดออกไปเมื่อไหร่ก็จะสมพรปากทันที
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ ‘ถอนหายใจ’ ด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
“เฮ้อ… นี่แหละพลังของการมีชื่อไม่เป็นมงคล”
* * * * *
บางทีอาจเป็นเพราะหลงเยว่หงไม่ได้เอ่ยปากเรื่องในใจออกมา จึงทำให้ตลอดเส้นทางของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ หลังจากนั้นไม่ได้พบพานเรื่องไม่คาดฝันอย่างอื่น มีเพียงแค่ถนนสภาพย่ำแย่จึงทำให้รถขับได้ค่อนข้างช้า มีสิ่งกีดขวางที่ต้องเคลื่อนย้ายอยู่หลายครั้งหลายครา ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย
จนกระทั่งเวลาเย็น หลังจากข้ามสะพานหินเก่าแก่แห่งหนึ่งมาแล้ว ยอร์เกนเซ่นก็รายงานผ่านวิทยุสื่อสาร
“ลงใต้ต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงทาร์นันแล้วล่ะ”
ราบรื่นขนาดนี้เลยเหรอ… หลงเยว่หงแทบไม่อยากเชื่อ
แม้ว่าความกังวลของเขายังคงมีอยู่ ทว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่มีอะไรให้ตื่นตระหนกตกใจ เวลาล่วงเลยจนฟ้าใกล้เปลี่ยนสีเป็นมืดค่ำ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กับพวก ‘ทหารรับใช้’ ก็เดินทางมาถึงทาร์นัน
ที่นี่เป็นเมืองเล็กที่มีแม่น้ำพาดผ่าน มีอาคารสูงไม่มากนัก ถนนสีเทาสว่างนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีความเสียหาย
“เทพธิดาแห่งโชคช่วยคุ้มครอง” ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็สามารถพูดคำนี้ออกมาได้
“ผิดแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าแย้ง “ต้องเป็นโชคของเสี่ยวหงช่วยคุ้มครองต่างหาก”
“เขาจะไปคุ้มครองได้ไงยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนสวนกลับไปประโยคหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังขับรถอยู่ตอบมาด้วยรอยยิ้ม
“เพราะเขาไม่ได้พูดออกมาไง”
ทั้งสองคน พอทีเถอะ… ภายในใจหลงเยว่หงร้องตะโกนอย่างอ่อนใจ
ดีที่พอรถเข้าสู่ทาร์นันแล้ว ความสนใจของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าต่างก็มุ่งไปที่เมืองเล็กซึ่งถูกปกครองโดยหุ่นสมองกลแห่งนี้
สองข้างทางของถนนลาดซีเมนต์ที่สะอาดเป็นระเบียบร้อยมีเสาไฟฟ้าส่องทางตั้งเรียงราย ภายใต้ค่ำคืนมืดมิด พวกมันส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงดาราที่สะท้อนอยู่บนพื้นดิน
เลยจากทางเท้าไปมีอาคารที่สูงเพียงไม่กี่ชั้นเรียงเป็นทิวแถว เมื่อชำเลืองผ่านก็เห็นว่าอาคารหลังที่สูงที่สุดมีเพียง 15-16 ชั้นเท่านั้น
อาคารเหล่านี้เรียงตัวเป็นพื้นที่ปิดล้อมครึ่งหนึ่ง แม้ว่าผนังภายนอกจะดูเก่าแก่แต่ก็สะอาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเถาวัลย์วัชพืชงอกออกมาจากรอยแตกแม้แต่น้อย
นี่ทำให้พวกหลงเยว่หง ไป๋เฉิน พากันนึกถึงซากปรักบึงหมายเลข 1
ที่แห่งนั้นเมื่อเปิดไฟฟ้าส่องสว่างก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่นี่ เพียงแต่ว่ามันใหญ่โตโอฬารกว่า ดูน่าตระหนกมากกว่า
ในตอนนี้ก็พลันมีรถบรรทุกสีแดงที่มีลักษณะตัวถังรถดูซับซ้อนเล็กน้อยเลี้ยวมาจากสี่แยกแล้วหยุดลงข้างเสาไฟถนน
ที่หลอดไฟดับอยู่
วินาทีถัดมารถบรรทุกเล็กคันนี้ก็เปลี่ยนสภาพอย่างแปลกประหลาด
ตอนแรกมันค่อยๆ ยกตัวขึ้น จากนั้นก็มีชิ้นส่วนต่างๆ ยื่นออกมา ปรับเปลี่ยนโครงสร้างไปบางส่วน
ราว 30-40 วินาทีหลังจากนั้น มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนร่างจนกลายเป็นหุ่นยนต์สูงราวห้าหกเมตร
ต่อมามันก็ค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ทว่ามั่นคงตรงไปยังเสาไฟถนนที่หลอดไฟชำรุด จับถอดออกมาซ่อมแซมวงจร
เมื่อสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในรถจี๊ปเห็นฉากนี้ก็ถึงกับอ้าปากค้าง สติเลื่อนลอยไปพักใหญ่
เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นเกิดความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
ซางเจี้ยนเย่านั้นรู้สึกตื่นเต้นคึกคัก ตื่นตาตื่นใจ ฮึกเหิมเร้าใจ เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกประหลาดใจตื่นตะลึง จิตใจถูกปลุกเร้า กระหายใคร่รู้ ไป๋เฉินตื่นตระหนก ตกตะลึง งุนงงสงสัย ส่วนหลงเยว่หงนั้นหวั่นไหว มึนงง แปลกประหลาด
เมื่อเห็นว่ารถคันหลังชะลอความเร็ว ยอร์เกนเซ่นก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด
“ไม่ต้องกลัว นี่คือหุ่นยนต์ซ่อมแซมของทาร์นัน เทอะทะงุ่มง่าม ไม่แคล่วคล่องว่องไว ต่อสู้ได้ไม่ดีเท่าไหร่”
“แต่มันแปลงร่างเป็นรถได้นะ!” เสียงซางเจี้ยนเย่าดังลอดออกมาจากวิทยุสื่อสารของเจี่ยงไป๋เหมียน
แค่นี้ก็เท่สุดๆ แล้วล่ะ!
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาพลางทอดถอนใจ
“พาพวกเราไปหาเจ้าเมืองเกอนาวาก่อนก็แล้วกัน”
“ได้” ยอร์เกนเซ่นพยายามแนะนำสถานที่อย่างละเอียด “ที่นี่คือริมน้ำตะวันตก เป็นบริเวณที่หุ่นยนต์ของ ‘สวรรค์จักรกล’ ทำงานอยู่… พอข้ามสะพานไปก็จะเป็นริมน้ำตะวันออก เป็นเขตที่กันเอาไว้ให้มนุษย์โดยเฉพาะ… บ้านของเจ้าเมืองเกอนาวาอยู่ข้างสะพานริมน้ำตะวันตก…”
ในระหว่างที่แนะนำสถานที่อยู่ เขาก็สั่งโจรคนที่กำลังขับรถอยู่ให้เลี้ยวไปยังจุดหมาย
แน่นอนว่าการขับรถบนทางภูเขาทั้งวัน เขาย่อมขับรถมือเดียวไม่ไหวอยู่แล้ว หลังจากได้รับการอนุมัติจากพวกเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วเขาก็ปล่อยเพื่อนคนหนึ่งที่ตนเองสามารถจัดการได้ให้เป็นอิสระเพื่อจะได้ผลัดกันขับรถ
เมืองนี้ไม่นับว่าใหญ่มากนัก ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็มาถึงสะพานแห่งหนึ่งซึ่งยังดูค่อนข้างใหม่
ฝั่งขวาของสะพาน บริเวณที่ติดกับแม่น้ำมีอาคารเดี่ยวตั้งเรียงรายอยู่ใต้ร่มไม้ ประตูบ้านบางหลังมีสนามหญ้าที่ยังดูเขียวชอุ่มแม้ในฤดูหนาว
“ตึกสีขาวหลังนี้แหละ” ยอร์เกนเซ่นบอกให้เพื่อนจอดรถ ส่วนตัวเองก็เปิดประตูลงมาแนะนำ
ภายใต้แสงจากไฟถนน เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ จึงยากจะมองเห็นบริเวณที่พักอาศัยของพวกหุ่นสมองกลได้ชัดเจน พวกเขาก็ยังเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินจากสะพานอีกฝั่งมายังด้านนี้ด้วย
หัวหน้ากลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พานาเนีย ถือหมวกเขาวัวของตนเอง เดินคุยกับลูกน้องที่อยู่ข้างกาย
“ไปคุยกับผู้การเกอนาวาโดยตรงเลยดีกว่า ครั้งนี้พวกเราแม่งโคตรเสียหายยับเยิน ถ้าไม่รีบขายพวกวัตถุปัจจัยออกไปให้เร็วที่สุดก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะรอดผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้ยังไง!
“ถ้าไอ้พวกพ่อค้าหน้าเลือดพวกนั้นเห็นพวกเรามีสภาพแบบนี้ คงต้องถูกพวกมันกดราคาต่ำเตี้ยติดดินแหงๆ แต่ถ้าเป็นหุ่นยนต์ก็ยังได้ราคายุติธรรม ถึงจะให้ราคาไม่สูงนัก แต่ก็ไม่กดราคาแน่”
ระหว่างที่พูดคุยกัน พวกเขาก็เลี้ยวมาทางถนนเลียบแม่น้ำ เตรียมจะเดินข้ามมายังที่พักของเจ้าเมืองจักรกล เกอนาวา
แล้วตอนนี้เอง ด้วยแสงสว่างจากไฟถนนทำให้พวกเขาเห็นร่างที่คุ้นเคยหลายคน
นั่นเป็นพวกพ้องที่ถูกทิ้งเมื่อก่อนหน้านี้ รวมทั้งพวกคนที่ทำให้พวกเขาแทบสิ้นเนื้อประดาตัวด้วย!
ถึงแม้ตอนนั้นพวกเขาไม่เจอกับซางเจี้ยนเย่า และก็มองไม่เห็นหน้าหลงเยว่หงที่อยู่ในหมวกเกราะของชุดเกราะเสริมแรงก็ตาม ทว่าสาวสวยที่แบกปืนบาซูก้าไว้บนบ่านั่นประทับอยู่ในใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
เพราะเป็นภาพความงดงามที่อยู่ท่ามกลางเลือดเนื้อและเปลวเพลิง
เสียงระฆังเตือนภัยดังหึ่งขึ้นมาในหัวพวกเขาทันที ต่างรีบชักอาวุธขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมป้องกันโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตรวจพบพวกเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เธอมองกวาดสังเกตพื้นที่อย่างรวดเร็วแล้วพึมพำกับตัวเอง
“สิบสี่…”
เธอพูดกับซางเจี้ยนเย่าทันที
“นายแถวหน้า ที่เหลือปล่อยพวกเรา”
ความหมายก็คือนายรับผิดชอบเก้าคนที่อยู่ด้านหน้า ฉันกับเสี่ยวไป๋เสี่ยวหงจะรั้งห้าคนด้านหลังไว้ให้
เรื่องนี้ง่ายมาก
เมื่อบรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาโดยฉับพลัน พวกยอร์เกนเซ่นก็ตัวสั่นขึ้นมา ไม่ทราบว่าควรจะเชื่อฟังคำสั่งของ ‘เจ้านาย’ คนปัจจุบัน ไปต่อสู้กับลูกพี่ดี หรือว่าควรฉวยโอกาสทรยศปลดตรวนดี หรือว่าจะทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนอะไรทั้งนั้น ซึ่งก็คงทำให้ถูกยิงทิ้งทันที
ทว่าเพียงวินาทีถัดมา กล้องวงจรปิดสีดำที่อยู่ข้างไฟส่องทางก็ส่งเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์ขึ้นมา
“ห้ามต่อสู้กันเองในทาร์นัน กรุณาเก็บอาวุธทันที หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พานาเนียกับพวกโจรก็ถอนใจโล่งอกพร้อมกัน
โชคดีที่ตอนนี้อยู่ที่ทาร์นัน
พวกเขาเพิ่งจะเกิดความคิดนี้ผุดขึ้นในใจก็พลันเห็นซางเจี้ยนเย่ารีบวิ่งไปที่เสาไฟส่องทางแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“พูดอีกสิ พูดอีก!”
กล้องวงจรปิดพูดได้ตัวนั้นเงียบเสียงลง ประหนึ่งว่าไม่เคยได้รับคำร้องขอเช่นนี้มาก่อนจึงไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอยู่ในฐานข้อมูล