เดิมทีหลงเยว่หงคิดจะเลียนแบบหัวหน้าทีม หยิบแก้วขึ้นมาชิมรสชาติของสิ่งที่เรียกว่ากาแฟว่าจะเป็นเช่นไร
แต่แล้วในตอนนี้ก็พลันมีร่างที่เตี้ยมากร่างหนึ่งวิ่งตึงตังลงมาจากบันได
หลงเยว่หงมองดูก็พบว่านั่นเป็นหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ สูงราวหนึ่งเมตร โครงโลหะเป็นสีเงิน บนร่างสวมกระโปรงสีฟ้าอ่อน บนหัวมีหมวกไหมพรมน่ารักสวมไว้
“ป๊ะป๋า ป๊ะป๋า” หุ่นยนต์ตัวเล็กวิ่งจากบันไดเข้ามาหาเกอนาวา
แต่ทันใดนั้นมันก็สะดุดอะไรบ้างอย่าง ล้มลงกระแทกพื้นเสียงดังแคร้ง
“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็หกล้มบาดเจ็บหรอก” เกอนาวารีบลุกออกจากที่นั่งเข้าไปหาทันที เขาอุ้มหุ่นยนต์ตัวเล็กขึ้นมาลูบหลัง
เดี๋ยวก็หกล้มบาดเจ็บหรอก… หลงเยว่หงจ้องมองพื้นสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นหลุมยุบและมีรอยแตกชัดเจนก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกเล็กน้อย จึงรีบยกถ้วยขึ้นมาเพื่อปกปิดอารมณ์ ยกจ่อที่ปากเพื่อดื่ม
วินาทีถัดมา รสชาติความขมที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ท่วมท้นเต็มปาก ทำให้เขาถึงกับหน้าย่นทันที หัวสมองตื่นเต็มตา
เครื่องดื่มบ้าอะไรเนี่ย… หลงเยว่หงเกือบจะพ่นกาแฟออกมาตามสัญชาตญาณทันที แทบจะคิดไปว่าตัวเองถูกวางยาพิษ แต่เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้กำลังอยู่บ้านคนอื่น กาแฟก็เป็นเครื่องดื่มที่ฝ่ายตัวเองเลือกเอง จึงพยายามฝืนกล้ำกลืนฝืนอมเอาไว้
ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสุดๆ
เขาที่อมกาแฟอยู่เต็มปากรีบเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าไป๋เฉินดื่มไปคำหนึ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เห็นไหมล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นคนเรื่องมากจู้จี้จุกจิกซะหน่อย… หลงเยว่หงเห็นเช่นนั้นก็ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจ
รอจนลูกทีมทั้งหมดได้ลองลิ้มชิมรสชาติดั้งเดิมของกาแฟไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ร้อง “ไอ้หยา” ออกมาคำหนึ่ง
“ลืมบอกพวกนายไปว่าเติมนมกับน้ำตาลได้นะ”
เธอชี้ไปที่ซองกระดาษเล็กๆ หลายซองกับเหยือกสีเงินที่เสิร์ฟพร้อมกาแฟ
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง… หลงเยว่หงยังคงมีความอยากรู้อยากเห็นเช่นเคย เขาคายกาแฟที่อมอยู่ในปากกลับคืนลงไปในแก้ว เมื่อฉีกซองกระดาษออกเขาก็เห็นน้ำตาลถูกอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์อยู่ข้างใน
“ปกติจะใส่ก้อนเดียว แต่ถ้าชอบหวานก็ใส่สองก้อน” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่อึดใจก่อนจะพูดเสริมอีกประโยค “หรือจะมากกว่านั้นก็ได้”
ใส่น้ำตาลก้อนลงไปเนี่ยนะ อะไรจะหรูหราขนาดนั้น… หลงเยว่หงไม่เคยเพลิดเพลินกับชีวิตที่มั่งมีอู้ฟู่เช่นนี้มาก่อนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’
ถึงแม้ว่าหลังจากได้รับเบี้ยเลี้ยงและรางวัลมาแล้วเขาก็ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่พักหนึ่งก็จริง ได้กินขนมดื่มน้ำหวานไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยมือใหญ่ใจโตถึงขนาดเอาน้ำตาลไปใส่ในน้ำเปล่า
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความมัธยัสถ์ เขาจึงใส่น้ำตาลลงไปในกาแฟเพียงก้อนเดียวเท่านั้น
ในครั้งนี้เขาเริ่มรู้สึกว่ากาแฟในปากไม่ได้ขมขนาดครั้งก่อนอีกแล้ว อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมที่อธิบายไม่ถูกอีกด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าหลงเยว่หงกับไป๋เฉินนั้น คนหนึ่งเติมน้ำตาล ส่วนอีกคนรินนมใส่ ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่านั้นไม่เพียงแต่จะนั่งเฉย ซ้ำยังดื่มลงไปอีกสองสามอึกด้วย เธอจึงถามด้วยความสงสัย
“นายไม่เติมอะไรเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างลึกซึ้ง
“ความขมทำให้ผมตื่นตัวน่ะ”
ตอนนี้เขาเป็นซางเจี้ยนเย่าคนไหนล่ะเนี่ย… สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนชะงักค้างไปหนึ่งวินาที และตัดสินใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ต่ออีก
หลังจากที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงผสมกาแฟสูตรตัวเองไปแล้วคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกอย่างช้าๆ ส่วนซางเจี้ยนเย่าก็ยกเหยือกกาแฟมาเติมใส่แก้วตนเองที่เหลือกาแฟติดก้นแก้ว
สุดท้ายเขาก็เติมน้ำตาลลงไปก้อนหนึ่ง
“ไม่ใช่ว่าความขมทำให้นายตื่นตัวหรอกเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนอดถามขึ้นไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ผมตื่นตัวเต็มที่จนตื่นมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
นายพูดอะไรก็ถูกหมด นายพูดอะไรก็มีเหตุผลทั้งนั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะใส่ใจเจ้าหมอนี่อีก เธอมองไปที่เกอนาวา
เกอนาวากล่อมเด็กที่ ‘ร้องไห้แง’ เสร็จแล้วก็แนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม
“ลูกสาวผมเอง ชื่อเรสต์ เกิดเมื่อ น.ศ.41”
คงเป็นวันที่ประกอบชิ้นส่วนขึ้นมาสินะ… หลงเยว่หงตอบอยู่ในใจ
แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดแบบนั้นออกไปเด็ดขาด
เกอนาวาเห็นว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังคงให้ความสนใจอยู่กับการดื่มกาแฟ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งแรกที่ดื่มกาแฟก็แบบนี้แหละ อีกหน่อยก็ชิน”
พูดอย่างกับว่าคุณดื่มได้งั้นแหละ… เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ไม่ทราบว่าจะตอบเช่นไรดี
ซางเจี้ยนเย่าถามจากใจจริง
“ที่คุณดื่มนั่นเป็นอะไรเหรอ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละอย่างกับของพวกเรา”
เกอนาวาหัวเราะลั่นอย่างเปิดเผยด้วยความรู้สึกที่ถูกสังเคราะห์
“หุ่นสมองกลอย่างเรานั้นต่างจากมนุษย์อย่างพวกคุณ นี่คือสารหล่อลื่นรสกาแฟน่ะ
“หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว ภายในร่างผมมีเซนเซอร์จำนวนมากคอยตรวจจับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็ถ่ายทอดไปยังโมดูลหลัก ทำให้ผมสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกต้องได้โดยตรง
“เชื่อผมได้เลย ในเรื่องนี้น่ะพวกเราต่างก็มีประสบการณ์เหมือนๆ กัน”
ในตอนนี้หลงเยว่หงมีความรู้สึกราวกับว่าได้กลับไปฟังเทศน์จากอาจารย์เซนจิ้งฝ่าอีกครั้ง
เมื่อพูดจบ เกอนาวาก็ก้มศีรษะลงไปพูดกับเรสต์ผู้เป็นลูกสาว
“เอาละ ได้เวลาเรียนหลังมื้อค่ำแล้ว”
“ขอหนูเล่นต่ออีกหน่อยนะคะ” เรสต์ หุ่นยนต์สีเงินตัวน้อยพูดออดอ้อน
มันจำลองเสียงเป็นเด็กผู้หญิง มีระดับเสียงสูงๆ ต่ำๆ และมีการเน้นเสียงด้วย แต่ยังคงให้ความรู้สึกของเสียงสังเคราะห์และขาดอารมณ์ความรู้สึก
นี่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกเหมือนกำลังดูละครเวทีที่นักแสดงเล่นได้แข็งทื่อไม่สมบทบาท
การแสดงวันสิ้นปีที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นบางครั้งก็มีการเต้นรำช่วงสั้นๆ หรือไม่ก็แสดงละคร
“ไม่ได้จ้ะ” เกอนาวาอดทนคุยกับลูกสาวด้วยเหตุผล
ในที่สุดเรสต์ก็ตกลงเรียนครึ่งชั่วโมง
เกอนาวารู้สึกพอใจ เปิดหัวกะโหลกของลูกสาวแล้วหยิบชิปจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะเสียบเข้าไป
“…” เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสามคนพลันแปรเป็นซับซ้อนอีกครั้ง
ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นพอเห็นเข้าเขาก็บังเกิดความอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับรู้สึกว่าในตอนที่เรียนอยู่นั้นถ้าหากสามารถ ‘กรอก’ ความรู้ใส่เข้าไปได้โดยตรงเช่นนี้ก็จะประหยัดเวลาไปไม่น้อย
หลังจากปล่อยให้ลูกสาวเรียนหนังสืออยู่ข้างๆ แล้ว เกอนาวาก็มองมายัง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนแล้วถามขึ้น
“นอกจากเรื่องที่พูดมาเมื่อครู่นี้ พวกคุณยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”
เดิมทีนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนมีแผนอยู่แล้วว่าจะดึงข้อมูลจากเกอนาวาอย่างไร ทว่าในตอนนี้เธอพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่าหุ่นสมองกลจำนวนมากในทาร์นันชอบเลียนแบบมนุษย์และสร้างครอบครัว… หุ่นสมองกลจะทำตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ จึงแสดงถึงความยุติธรรมมากพอ… เกอนาวานั้นไม่เพียงจะสวมเครื่องแบบของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีภรรยามีลูกสาว และ ‘ดื่ม’ สารหล่อลื่นรสกาแฟอีกด้วย ต่อหน้าหุ่นสมองกลเช่นนี้ การใช้วาทศิลป์เพื่อหาช่องโหว่เชิงตรรกะดูท่าแล้วไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด…
ในระหว่างที่ความคิดวาบขึ้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเบาๆ
ในเวลาเช่นนี้ก็ต้องใช้ความตรงไปตรงมาของซางเจี้ยนเย่าเพื่อแสดงความจริงใจ… เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินใจได้ จากนั้นก็ตอบคำถามของเกอนาวาด้วยรอยยิ้ม
“เราได้ยินมาว่า ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณมี ‘เมนเฟรม’ อยู่เครื่องหนึ่ง”
หลงเยว่หงกำลังซึมซาบความละเมียดละไมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟอยู่อย่างช้าๆ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ทำเอาแทบจะพ่นของเหลวในปากออกมาทันที
นี่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้เลยเหรอ…
ถ้าเกิดนี่เป็นความลับของ ‘สวรรค์จักรกล’ ล่ะ ไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือไง…
เกอนาวา ‘ดื่ม’ สารหล่อลื่นรสกาแฟอีกหนึ่งคำ แสงไฟในดวงตาสีน้ำเงินกวาดผ่านใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ
“พวกคุณตรงไปตรงมามาก” หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดวินาที เกอนาวาก็ผงกศีรษะเบาๆ “แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เป็นคนเปิดเผยเรื่องการดำรงอยู่ของ ‘เมนเฟรม’ ให้โลกภายนอกรับรู้ แต่ก็มีพันธมิตรบางส่วนที่ทราบเรื่องนี้ ที่พวกคุณถามถึง ‘เมนเฟรม’ นี่มีวัตถุประสงค์อะไร”
“เรื่องก็เป็นอย่างนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนเรียบเรียงคำพูด “พวกเราเป็นทีมนักล่าซากอารยะที่กำลังตามหาโลกใหม่ ซึ่งการหาประตูสู่โลกใหม่นั้นเป็นเรื่องยากมากหากไม่เชื่อมโยงเข้ากับมรดกจากโลกเก่า เราหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างโลกเก่าจาก ‘เมนเฟรม’ ของพวกคุณ ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะเดินเครื่องปฏิบัติงานมาตั้งแต่สมัยนั้น”
เกอนาวายอมรับในเหตุผลข้อนี้
“เรื่องนี้ผมก็พอจะเข้าใจได้ และก็เคยได้พบกับพวกนักล่าซากอารยะที่ไล่ตามหาโลกใหม่มาแล้วด้วยเช่นกัน”
เขาหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายแต่ไร้อารมณ์
“ข้อแรก ตอนนี้ไม่ได้เรียกว่า ‘เมนเฟรม’ อีกแล้ว แต่เรียกว่าสมองต้นกำเนิด ‘ซอร์สเบรน’
“ข้อสอง ผมไม่สามารถตัดสินใจแทน ‘ซอร์สเบรน’ ได้ว่าต้องการพบพวกคุณหรือไม่ ผมต้องรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปตามขั้นตอน นี่อาจจะต้องรอ 1-3 วันกว่าจะได้รับการตอบกลับ”
การออกเสียงของเขาชัดเจนได้มาตรฐานมาก เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ฟังแล้วรู้ว่าเขาพูดว่า ‘สมองต้นกำเนิด’ ไม่ใช่ ‘สมองต้มระเบิด’ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเขาเรียก ‘Source Brain’ หรือว่า ‘Sauce Brain’ กันแน่
ในตอนนี้นิ้วข้างหนึ่งของเกอนาวาก็พลันเรืองแสงสีแดงขึ้นมา จากนั้นเขาก็ใช้ลำแสงเขียนตัวอักษรคำว่า ‘Source’ บนม่านที่มีลักษณะแปลกๆ ซึ่งแขวนไว้ที่ผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้องนั่งเล่น
“ได้ พวกเราไม่มีปัญหา” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยความยินดี
เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นเกินกว่าที่เธอคาดไว้
แน่นอนว่าถ้าหาก ‘ซอร์สเบรน’ ไม่ยอมพบพวกเขา อย่างนั้นก็คงต้องหาวิธีอื่นมาโน้มน้าวเจ้าแกนศูนย์กลางตัวนี้แล้วล่ะ
เดี๋ยวนะ… เกอนาวาบอกว่า ‘ซอร์สเบรน’ จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะพบพวกเราหรือเปล่า… ‘ซอร์สเบรน’ สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เองเลยงั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกข้องใจเรื่องนี้ขึ้นมา
เกอนาวา ‘ดื่ม’ สารหล่อลื่นรสกาแฟเข้าไปอีกคำ
“ที่ริมฝั่งตะวันออกมีโรงแรมอยู่หลายแห่ง พวกคุณไปหาที่พักที่นั่นได้”
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้ว่าเขาต้องการส่งแขกกลับแล้ว จึงรีบจัดการกาแฟที่เหลือเพื่อไม่ให้เสียของ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอำลา
ส่วนพวกยอร์เกนเซ่นนั้นยังต้องอยู่ในความดูแลของยามจักรกลที่นี่ต่อ
เมื่อออกมานอกบ้านแล้ว หลงเยว่หงสูดอากาศเย็นริมน้ำยามวิกาลพลางพูดด้วยความสะเทือนอารมณ์
“หุ่นสมองกลของที่นี่ทำให้รู้สึกแปลกๆ พิกล”
“แล้วนายเคยเห็นหุ่นสมองกลของที่อื่นหรือไง” ซางเจี้ยนเย่าถามในขณะที่เปิดประตูรถจี๊ป
“ไม่เคย” หลงเยว่หงตอบออกมาตามตรง
“งั้นนายเอามาตรฐานอะไรมาเปรียบเทียบ” ซางเจี้ยนเย่าถามต่อด้วยรอยยิ้ม
“…” หลงเยว่หงอับอายกลายเป็นโทสะทันที “ก็ใช้สามัญสำนึกนะสิ!”
ในขณะที่พูดพวกเขาก็ขึ้นรถจี๊ปกันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ขับรถตรงไปยังสะพานที่ทอดไปทางริมฝั่งตะวันออก
ระหว่างทาง บางครั้ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็เห็นพวกหุ่นสมองกลเดินเล่นบ้าง เดินลาดตระเวณบ้าง พูดคุยสนทนากันบ้าง พวกมันต่างก็สวมเสื้อผ้า บางตัวยังสวมถุงเท้ารองเท้าอีกด้วย
ย่านสะพานริมฝั่งตะวันตกในยามราตรีนั้นเงียบสงบ
เมื่อรถจี๊ปแล่นข้ามสะพานมาถึงริมฝั่งตะวันออก พื้นที่ข้างหน้าก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น
บนถนนเส้นที่ใกล้เชิงสะพานมากที่สุดมีไฟถนนสว่างไสว ผู้คนเดินไปเดินมา มีร้านค้ามาตั้งแผงมากมายเช่นเดียวกับถนนตะวันตกในเมืองหญ้าไพร เพียงแต่ว่ามันตั้งอย่างไม่เป็นระเบียบ
ถึงแม้ว่าหน้าต่างรถจะปิดอยู่ แต่เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ก็ยังได้ยินเสียงแตรรถดังเป็นระยะมาจากรถคันอื่นเพื่อเร่งให้คนบนถนนหลบเปิดทางให้
* * * * *