ภายใต้แสงสว่างจากไฟถนนแต่ละต้นที่ไม่ได้ห่างกันมากนัก หลงเยว่หงค่อยๆ เดินอย่างเชื่องช้าพลางกวาดสายตามองหาชาวเมืองที่ดูมีอายุ
ในระหว่างนี้เขาก็ถูกสินค้าสารพัดสารพันละลานตาในร้านรวงที่ตั้งเรียงรายดึงดูดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การได้เห็นข้าวของแปลกๆ จากซากเมืองต่างๆ ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง
เมื่อเดินไปได้สักพักหลงเยว่หงก็หยุดอยู่หน้าร้านริมทางแห่งหนึ่ง
ที่นี่วางขายเครื่องประดับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับที่ทำจากหยก มรกต และเครื่องเพชร
เขานึกขึ้นได้ว่ามารดาของตนไม่มีเครื่องประดับจำพวกนี้เลย จึงคิดอยากจะซื้อกลับไปฝากสักชิ้นสองชิ้น
ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น พวกเครื่องประดับของพนักงานทั่วไปส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้ผ้าไหม กิ๊บติดผม สร้อยคอ ต่างหู แหวน เข็มกลัดประดับ ผ้าพันคอจากผ้าไหม ซึ่งไม่ทราบว่าตกทอดมาตั้งแต่สมัยไหน บางทีก็เป็นของที่เจ้าหน้าที่ ‘แผนกความมั่นคง’ ออกไป ‘เก็บขยะ’ มา ซึ่งพวกของหายากทั้งหลายนั้นใช่ว่าจะได้มาโดยง่าย
หลงเยว่หงนั่งยองลงไปแล้วหยิบสร้อยเพชรที่ดูระยิบระยับจับตาเส้นหนึ่งขึ้นมาจ้องมองพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
เขาไม่มีความรู้พอที่จะบอกได้ว่าของสิ่งนี้สำหรับผู้หญิงแล้วจะเรียกว่าสวยหรือเปล่า ทำได้เพียงแค่พิจารณาจากแง่มุมอื่นเท่านั้น
พวกเครื่องประดับที่เป็นทองคำกับเงินนั้นใช้ประโยชน์ได้มากกว่า ต่อให้เขาซื้อกลับไปแล้วไม่ถูกใจมารดาก็ยังเอาไปแลกของอย่างอื่นที่มีมูลค่าเทียบเคียงกันได้
ในระหว่างการเดินทางที่ผ่านมา พวกหลงเยว่หงซางเจี้ยนเย่าได้เรียนรู้แนวคิดด้านเศรษฐกิจจากเจี่ยงไป๋เหมียนมาบ้างแล้ว
“ทำไมถึงไม่มีเครื่องประดับที่เป็นทองเลยล่ะ” หลงเยว่หงที่ยังถือสร้อยเพชรอยู่ในมือ กวาดสายตามองแผงเครื่องประดับแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
เจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวแดนธุลีมีหนวดเคราเต็มหน้าตอบอย่างขุ่นเคือง
“พวกทองคำกับเงินน่ะ มีเท่าไหร่ก็ถูกคาราวานการค้ากวาดซื้อเรียบ ยังจะต้องเอามาวางขายทำไม”
นั่นสินะ สินค้าพวกนั้นล้วนแต่เป็นของที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั้งนั้น แถมยังใช้เป็นสกุลเงินได้อีกด้วย… หลังจากหลงเยว่หงหมดความสงสัย เขาก็วางสร้อยเพชรในมือลง
เขารู้สึกว่าอากัปกิริยาของเจ้าของร้านริมทางคนนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงไม่คิดอยากซื้อของด้วย
ทว่าเมื่อเขาลุกขึ้นยืน เจ้าของร้านก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันและร้องตะโกนขึ้น
“เจ้าหนุ่ม ไม่รู้กฎของเราชาวทาร์นันหรือไง
“หยิบของขึ้นมาดูแล้วก็ต้องซื้อ!
“เอามือจับของไปแล้ว ใครจะไปอยากซื้อของชิ้นนั้นอีก”
หลงเยว่หงทั้งประหลาดใจและกลัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากอธิบายว่าตนเองไม่รู้ว่ามีกฎแบบนี้ด้วย ก็พลันเห็นจากหางตาว่ามีชายคนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนท้องถิ่นอยู่หน้าร้านค้าข้างเคียง เขาหยิบจับจานชามกระเบื้องเคลือบสีขาวขึ้นมาดูแล้วก็วางกลับไป จากนั้นก็ค่อยๆ กลับหลังหันเดินจากไป
ในระหว่างเหตุการณ์นี้ไม่มีใครร้องเรียกเขาให้หยุด อีกทั้งยังไม่มีใครบังคับให้เขาต้องซื้อของชิ้นนั้นด้วย
หลงเยว่หงที่ได้ผ่านประสบการณ์บนแดนธุลีมาไม่น้อย ในตอนนี้ก็พลันเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างทันที เขาเลิกชายเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นปืนพกที่เหน็บไว้ที่เข็มขัด
เจ้าของร้านยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“คิดจะปล้นกันงั้นเหรอ ดูท่าคงจะไม่รู้สินะว่ายามจักรกลของที่นี่น่ะแข็งแกร่งขนาดไหน!”
แน่นอนว่าหลงเยว่หงยังจำกฎที่ว่า ‘ห้ามต่อสู้กันเองในทาร์นัน’ ได้ เมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่การแสดงเจตนารมณ์ออกมาเท่านั้น
เขาเงยหน้ามองกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งบนเสาไฟใกล้ๆ แล้วถามเจ้าของร้าน
“คุณจะชกผมหรือไง นั่นก็เป็นการต่อสู้กันเองเหมือนกันนะ”
เจ้าของร้านแสยะยิ้ม
“แต่ถ้าเป็นการวิวาทโดยไม่ใช้อาวุธ ยามจักรกลก็ไม่สนหรอก”
ในขณะที่เจ้าของร้านริมทางพูดอยู่ เจ้าของร้านข้างเคียงอีกสองคนก็ยืนขึ้นมา แสดงเจตนาว่าอยู่ข้างเขา
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เมื่อหลงเยว่หงได้รับคำตอบที่ต้องการก็พลันกระจ่างในทันที
พูดจบเขาก็ก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ไม่ได้ถอยหนี แต่กลับพุ่งเข้าหา
ตอนที่ปฏิบัติการในเมืองหญ้าไพรกับไป๋เฉิน เขาก็ได้รับการชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว นั่นคือ…
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะนี้ ห้ามแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาเด็ดขาด ต่อให้อาวุธของอีกฝ่ายเหนือกว่าและสามารถสังหารคุณได้จริงๆ ก็ต้องวางมาดตบตาไว้ก่อน
แต่ถ้าหากศัตรูไม่ตกหลุมพราง เช่นนั้นก็มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า
‘ผู้เข้าใจสถานการณ์คือคนฉลาด’
เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลงเยว่หงก็ตบเสื้อผ้าปัดฝุ่น ยืนมองเจ้าของร้านแบกะดินกับพวกอีกสองคนนอนพังพาบคลุกฝุ่น แล้วพูดด้วยความ ‘สงสัย’
“แปลกแฮะ ทำไมการวิวาทมือเปล่าถึงไม่นับว่าเป็นการต่อสู้กันเองล่ะ”
เจ้าของร้านกับพวกทั้งสองนอนขดตัวเป็นกุ้ง กุมท้องร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ไม่อาจเอ่ยวาจาตอบคำได้
ว่ากันตามตรง หากทั้งสามคนบุกเข้ามาพร้อมกัน หลงเยว่หงตัวคนเดียวมีสองหมัดย่อมไม่อาจสู้หกมือ ถึงอย่างไรเขาก็สังหารคนตามใจชอบไม่ได้ เพียงแต่ในตอนนั้นเขาฉวยจังหวะรีบเปิดฉากจู่โจมอย่างกะทันหัน ใช้ความได้เปรียบเรื่องเวลารีบจัดการเป้าหมายหลักให้หมดสภาพก่อนที่เพื่อนเจ้าของร้านทั้งสองคนนั่นจะทันตอบโต้ จากนั้นก็ใช้จุดอ่อนที่คนทั้งสองมัวแต่ละล้าละลังกังวลเรื่องแผงสินค้าตนเองอยู่ จัดการเอาชัยพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นว่าผู้คนบนท้องถนนกับเจ้าของร้านอื่นๆ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย หลงเยว่หงจึงเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงกฎเกณฑ์การเอาชีวิตรอดบนแดนธุลี นั่นคือ
ในยุคสมัยนี้ สถานที่แห่งใดยังไม่ได้จัดตั้งกฎระเบียบขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ สถานที่แห่งนั้นจะใช้กฎของกำปั้น
ภายในใจเขาบังเกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้า
ในระหว่างที่เดินอยู่เขาก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย
ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่กลางถนน มองซ้ายที ขวาที ข้างหน้าที ดูลังเลใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ทำให้ไม่อาจตัดสินใจได้เสียที
หือ… เขาก็มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกันเหรอ… หลงเยว่หงรู้สึกสงสัยข้องใจ จึงคิดจะเดินเข้าไปถาม
แล้วเมื่อเดินไปเขาก็มองเห็นสถานการณ์บนถนนได้อย่างชัดเจน
ด้านขวามือมีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ กำลังเต้นด้วยท่าทางแปลกๆ ตามจังหวะกลอง บางครั้งก็ตะโกนออกมาว่า “สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่”
ด้านซ้ายมือ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่รอบเวทีไม้ยกพื้น ร้องเพลงเสียงดัง เนื้อเพลงก็คือประโยคจำพวก “โลกนี้คือมายา เป็นเพียงฝันว่างเปล่า” และ “มังกรพยับสูงส่ง มายาฉายยืนยงนิรันดร์” ทำให้เกิดความรู้สึกไร้ตัวตนและความศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง
ด้านหน้าเยื้องไปทางขวา มีกระทะเหล็กใบหนึ่งตั้งไว้ส่งกลิ่นอบอวล ปีกไก่ชุบแป้งในกระทะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนๆ ด้านหน้ากระทะเหล็กมีเสาที่เพรียวบางมากต้นหนึ่ง มีผู้หญิงยืนบนเสาด้วยเท้าข้างเดียว สองแขนกางออกอย่างสมมาตรและสมดุล
เมื่อละสายตากลับมา หลงเยว่หงก็เข้าใจแล้วว่าซางเจี้ยนเย่าลำบากใจเรื่องอะไร
ที่นี่มีสามนิกายตั้งอยู่ เต้นรำ ร้องเพลง และปีกไก่ ทำให้เขาตัดสินใจเลือกไม่ได้!
นี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในชีวิตของซางเจี้ยนเย่า… บทละครวิทยุท่อนหนึ่งพลันวาบขึ้นมาในใจของหลงเยว่หง
ที่จริงถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะทั้งสามนิกายตั้งประจันหน้ากันอยู่เช่นนี้ เขามั่นใจว่าซางเจี้ยนเย่าจะต้อง ‘กวาดทั้งหมด’ อย่างแน่นอน
ในตอนนี้เขาประเมินในขั้นต้นได้ว่านิกายทั้งสามนั้นคือนิกายอะไรบ้าง
หนึ่งคือ ‘นิกายเตาหลอม’ ที่พวกเขาเพิ่งได้พบมา อีกหนึ่งคือ ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ที่หัวหน้าคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ เฟอร์ลินเคยเล่าให้ฟัง และกลุ่มสุดท้ายน่าจะเป็นนิกายของผู้ศรัทธาในผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบเอ็ด ‘มายาฉาย’
ที่ทาร์นันนี่ครึกครื้นดีจริงๆ… หลงเยว่หงตัดสินใจเมินซางเจี้ยนเย่า แล้ว ‘ออกผจญภัย’ ด้วยตัวเองต่อ
ถึงแม้ว่าตัวเองก็อยากจะลิ้มลองปีกไก่ทอดอยู่บ้าง แต่เขานั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมทรยศความศรัทธาของตนเพียงเพื่อศีลมหาสนิท
หลงเยว่หงเดินเลยผ่านซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจริงจังผสมลังเลไปหลายสิบเมตร
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปากตรอก
หญิงชราสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีแดงเข้ม ใต้ร่างเป็นเก้าอี้หวาย ผมเผ้าขาวหงอก อายุอานามเห็นได้ชัดว่าไม่น้อยแล้ว
ด้านหน้าเธอไม่มีแผงขายของ ราวกับเธอเพียงแค่ออกมาชมความครึกครื้นเท่านั้น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นชาวแดนธุลี หลงเยว่หงก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา แล้วก็ทักทายอย่างมีมารยาท
“คุณยายครับ ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยปากพูด