เจี่ยงไป๋เหมียนจับป้ายตราเล่น แล้ววางนิ้วชี้มือซ้ายทาบไว้ที่ชิป
ราวกับมีกระแสไฟฟ้าที่เล็กจนไม่อาจรู้สึกได้กะพริบวูบวาบ
ไม่กี่วินาทีเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกนิ้วออกแล้วยิ้ม
“เขาเป็น ‘นักล่าทางการ’[1] ด้วย”
คำว่า ‘นักล่าทางการ’ นั้นเป็นหนึ่งในคำเรียกชื่อของระดับนักล่าในสมาคมนักล่า ซึ่งมาจากการแบ่งระดับของพวกนักล่าซากอารยะ
การแบ่งระดับนักล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าแต้มเครดิต โดยเนื้อแท้แล้วนั้นความตั้งใจเดิมที่ก่อตั้งสมาคมนักล่าขึ้นมาก็คือต้องการช่วยให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและทรัพยากรได้ดีขึ้น ไม่ได้นำเสนอช่องทางเพื่อการเติบโต
ในการทำการค้านั้น ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญมากกว่าความแข็งแกร่ง
ดังนั้นประธานคนแรกสุดของสมาคมนักล่าซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบบางอย่างของโลกเก่า จึงได้ออกแบบระบบ “แต้มนักล่า” ขึ้นมา
หลังจากที่นักล่าซากอารยะเข้าร่วมสมาคมแล้ว เมื่อพวกเขาทำภารกิจได้สำเร็จ ทำการค้ากับคนอื่น หรือส่งมอบข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ให้แก่สมาคม ก็จะได้รับแต้มนักล่าจำนวนแตกต่างกันไป ซึ่งตรงนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับรางวัลที่จะได้รับ ทั้งแต้มนักล่าและรางวัลตอบแทนสามารถรับซ้อนกันได้
จนกระทั่งสะสมแต้มนักล่าได้ถึง 100 แต้มแล้ว ‘นักล่ามือใหม่’ ก็จะเลื่อนขั้นเป็น ‘นักล่าทางการ’
ระดับที่สูงกว่า ‘นักล่าทางการ’ มี ‘นักล่าชั้นกลาง’ ‘นักล่าอาวุโส’ ‘นักล่าชั้นสูง’ และ ‘ปรมาจารย์นักล่า’ ซึ่งจะต้องหมั่นรับภารกิจไปเรื่อยๆ หมั่นทำการค้าไปเรื่อยๆ เพื่อสะสมแต้มนักล่า และย่อมแน่นอนว่ามีภารกิจมีการค้ามากมายที่กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ หากว่ามีระดับไม่สูงพอ มีแต้มนักล่าไม่ถึงขั้น ก็จะไม่สามารถรับภารกิจนั้นได้ ไม่สามารถทำการค้านั้นได้ เพราะว่าคนอื่นจะไม่เชื่อถือ นอกเสียจากว่าจะสามารถหานักล่าคนอื่นที่มีความน่าเชื่อถือสูงสักคนหรือหลายๆ คนมาช่วยค้ำประกันให้
ดังนั้นแล้วจึงไม่แน่เสมอไปว่า ‘นักล่ามือใหม่’ จะอ่อนแอกว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ และ ‘ปรมาจารย์นักล่า’ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง การที่สามารถรับภารกิจมากมายและทำการค้าหลายครั้งในแดนธุลีที่แสนอันตรายนี้ได้โดยที่ยังมีชีวิตรอด และยังสะสมแต้มนักล่าได้เพียงพอ นั่นก็สามารถตอบคำถามได้หลายประการแล้ว ด้วยเหตุนี้ ‘นักล่าชั้นสูง’ และ ‘ปรมาจารย์นักล่า’ จึงมักจะมีความโดดเด่นทั้งแง่ของพละกำลัง ความแข็งแกร่งของทีม และทรัพยากรที่มี
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนที่มีแต้มนักล่าต่ำนั้นไม่แน่ว่าจะอ่อนแอ ส่วนคนที่มีแต้มนักล่าสูงย่อมต้องแข็งแกร่ง อย่างน้อยก็ในบางด้าน
เนื่องเพราะเน้นในเรื่องแต้มนักล่า ดังนั้นทาง ‘สมาคมนักล่า’ จึงดำเนินการอย่างเข้มงวดเรื่องละเมิดสัญญา ทุจริต ฉ้อโกง การค้าตุกติก ถ้าหากพบเจอเมื่อไหร่ แต้มนักล่าที่เกี่ยวข้องจะถูกหักออกทันที และสถานการณ์ในเหตุการณ์ของพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ก็จะถูกบันทึกไว้ในชิปบนป้ายตราด้วย
ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรง ทางสมาคมจะถอดถอนสมาชิกภาพของคนที่สร้างปัญหา และขึ้นบัญชีดำไปทั่วทุกหนทุกแห่ง คนพวกนี้โดยทั่วไปจะถูกเรียกว่า ‘นักล่าบัญชีดำ’
แต่แน่นอนว่าเป็นเพราะไม่มีเครือข่ายข้อมูลที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งแดนธุลี กว่าที่เรื่องการขึ้นบัญชีดำจะกระจายไปครบทุกสาขาจึงอาจกินเวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกนักล่าจะทำตัวเป็น ‘โจรพาร์ทไทม์’[2] หรือไม่ หรือว่าไปฆ่าใครหรือเปล่านั้น ตราบใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจหรือการค้า ทางสมาคมย่อมไม่สนใจเข้าไปก้าวก่าย
นอกจากนี้แล้ว สมาคมนักล่าก็ยังมีฉายาของระดับขั้นอยู่อีกชื่อหนึ่ง นั่นก็คือ ‘ราชันนักล่า’[3]
นี่นับว่าเป็นเกียรติคุณ ดังนั้นจึงยิ่งต้องมีคุณวุฒิและประสบการณ์ ซึ่งในแต่ละสาขาของสมาคมนักล่านั้นจะมีตำแหน่งนี้ได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ซางเจี้ยนเย่าเรียนมาจากในชั้นเรียนและในช่วงการฝึก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกเกี่ยวกับคำว่า ‘นักล่าทางการ’ แม้แต่น้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างจริงจัง เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มมองดูตัวเองแล้วก็พลันหัวเราะขึ้น
“นายสงสัยว่าทำไมฉันถึงอ่านข้อมูลจากชิปในป้ายตรานักล่าได้สินะ”
โดยปกติแล้วของสิ่งนี้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษซึ่งมีอยู่ที่แต่ละสาขาของสมาคมนักล่า ถึงจะสามารถอ่านข้อมูลออกมาได้
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าทันทีโดยไม่ปิดบัง
เจี่ยงไป๋เหมียนยกแขนซ้ายขึ้นแล้วตอบออกไป
“ก็เพราะว่าเป็นแขนชีวภาพพลังไฟฟ้า การที่จะติดตั้งชิป เซ็นเซอร์ สายรับส่งข้อมูล หรือพวกอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าก็ย่อมสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
“การอ่านข้อมูลในชิปไม่เรื่องยากอะไร อ้อ… แต่ที่ยากก็คือการลบข้อมูลแล้วเขียนทับลงไป สมาคมนักล่าใช้ชิปชนิดพิเศษและเครื่องจักรพิเศษที่ซื้อจาก ‘สวรรค์จักรกล’ พวกนี้เป็นเนื้อหารายละเอียดเชิงเทคนิคที่ไม่ได้เขียนเอาไว้”
ซางเจี้ยนเย่าพลันจ่างขึ้นมาก เลยถามข้อสงสัย
“อวัยวะเทียมชีวภาพในปัจจุบันสามารถติดตั้งระบบแมคคาทรอนิกส์[4]ลงไปได้แล้วเหรอ”
“ปรัชญาของเราคืออะไรที่เป็นประโยชน์ก็ใช้ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดร่วมของชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์ และก็จักรกล พวกนี้ล้วนแต่เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาวิจัยทั้งนั้น ก็เหมือนกับที่กองกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างพยายามผสมผสานอุปกรณ์เกราะเสริมแรงกับชุดเกราะไบโอนิกสมองกลเข้าด้วยกันเพื่อสร้างชุดเกราะพลังขับเคลื่อนที่สามารถใช้งานได้อย่างแท้จริงนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างไม่ได้จริงจังอะไรนัก
จู่ๆ เธอก็ร้อง “โอ๊ย” ออกมาคำหนึ่ง
มือซางเจี้ยนเย่ารีบเอื้อมไปจับที่ด้ามของ ‘มอสน้ำแข็ง’ ทันที
“ฮ่า ฮ่า ฉันนั่งยองนานเกินไปน่ะ ขาเลยเป็นเหน็บ” เจี่ยงไป๋เหมียนยืนขึ้นอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วสะบัดแข้งขยับขา ผมหางม้าสะบัดไปมาอยู่ด้านหลัง
รอจนซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นมาแล้วเธอถึงจะเริ่มพูดต่อ
“ภารกิจนี้ค่อนข้างแปลกซักหน่อย ให้รวมรวมข้อมูลของคนคนเดียวอย่างเฉพาะเจาะจงในแดนร้างบึงดำ พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับให้เหวี่ยงแหในทะเลเพื่อหาปลาตัวหนึ่งอย่างเจาะจงเลย”
ซางเจี้ยนเย่าถามกลับทันที
“หัวหน้าเคยเห็นทะเลไหม”
“…นั่นไม่ใช่ประเด็นซักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนแว้ดใส่ “อย่างน้อยฉันก็เคยเห็นทะเลสาบของจริงมาแล้วล่ะน่า ทะเลก็น่าจะใหญ่กว่านั้นเยอะ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจคำตอบของเจี่ยงไป๋เหมียน ย้อนกลับไปคุยหัวข้อก่อนหน้า
“บางทีภารกิจนี้อาจจะไม่ได้มอบหมายให้นักล่าแค่คนเดียว”
“ก็จริง มีแหหลายปาก ก็มีโอกาสมากขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย
พอพูดจบทั้งเธอและซางเจี้ยนเย่าต่างก็ถอนหายใจพร้อมกัน
“รวยชะมัด!”
ใครที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็จะได้รับค่าตอบแทน นี่ย่อมหมายความว่าต้องเตรียมแป้งไว้มากกว่าหนึ่งตัน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังส่วนลึกของบึงน้ำ ซึ่งนั่นก็คือทิศเหนือของสถานีเยว่หลู่ แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“หมอนั่นที่จริงแล้วเป็นใครกันนะ
“ถึงได้มีราคาให้ใส่ใจถึงขนาดนั้น…”
ตอนนี้ไป๋เฉินซ่อมรถจี๊ปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอนั่งตำแหน่งคนขับแล้วลองสตาร์ทเครื่องยนต์
เสียงหึ่งดังขึ้นมา ซึ่งแม้แต่ซางเจี้ยนเย่าเองเมื่อได้ยินก็ยังบอกได้ว่ามันไม่ปกติสักเท่าใดนัก
ไป๋เฉินชะโงกหัวออกนอกหน้าต่าง ตะโกนเสียงดังคุยกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“ด้านหลังก็เสียหาย เสียหายหลายจุดเลย ตอนนี้พอจะถูไถขับไปได้ แต่เร่งความเร็วไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะตายแหง็กเครื่องดับเอาตอนไหน”
“ซ่อมไม่ได้เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเสียงเครียด
ไป๋เฉินส่ายหน้าสั่นหัว
“ขาดอะไหล่ชิ้นสำคัญน่ะ เลยยังซ่อมไม่ได้
“หัวหน้า ฉันจำได้ว่าแถวนี้มีนิคมของคนเร่ร่อนอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางซักสองสามชั่วโมงไปถึงแล้ว เราลองอ้อมไปดูซักหน่อยดีไหม เผื่อว่าอาจจะพอหาแลกของที่ต้องการได้
“ถึงรถจะเดี้ยงระหว่างทาง แต่ฉันขี่มอเตอร์ไซค์คันนั้นรีบไปรีบมาได้”
เธอชี้ไปยังมอเตอร์ไซค์หนักคันที่ยังอยู่ในสภาพดี
ส่วนอีกคันหนึ่งนั้นเสียหายจากการระเบิดก่อนหน้านี้ไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ซากกองเศษเหล็กเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่สองวินาที
“ตกลง”
ไป๋เฉินกับซางเจี้ยนเย่ารีบตรวจดูอีกสองศพที่เหลือทันที สิ่งที่ได้รับมามีดังนี้
รถมอเตอร์ไซค์หนักที่เสียหายเล็กน้อยหนึ่งคัน ปืนกลมือขนาดเล็กสองกระบอก กระสุนปืนกลมือ อะไหล่บางอย่างจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ยังเหลืออยู่ ขนมปังครึ่งแถว และใบยาสูบอีกนิดหน่อยที่มวนเป็นบุหรี่ไว้แล้ว
และก็ปืนกลมือ ‘พายุฝน’ ที่ก่อนหน้านี้ได้มาจากร่างของชายฉกรรจ์ที่ตายไปแล้วด้วย
หลงเยว่หงสวมชุดเกราะเสริมแรงแล้วหยิบปืนกลเบากลับมา
“ปืนกลมือสามกระบอกนี้ใช้กระสุน 9 มม. เป็นขนาดทั่วไป พวกเรามีเตรียมไว้เยอะเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนตรวจสอบแล้วก็พูดอย่างดีใจ
จากนั้นเธอมองไปที่ปืนกลเบาแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“กระสุน 7.92 มม. ไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้
“เอาไปเก็บในรถก่อนละกัน กลับไปแล้วค่อยขาย ไม่ก็เอากลับบริษัท”
“ถ้าเอาเจ้านี่ไปใส่ท้ายรถ งั้นก็ไม่มีที่วางชุดเกราะเสริมแรงแล้วล่ะ” ไป๋เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ท้ายรถนั้นมีอาหารกระป๋อง บิสกิต กระสุนปืน ชิปเครื่องกรองน้ำ แล้วก็ข้าวของอื่นๆ
“เกราะกระดูกเสริมแรงวางที่เบาะข้างคนขับก็ได้ คนที่เหลือก็ผลัดกันขี่มอเตอร์ไซค์ ที่จริงแล้วสามคนนั่งเบียดกันอยู่เบาะหลังก็ยังได้ มันกว้างพอแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ไป๋เฉินตอบรับ “อืม”
“มอเตอร์ไซค์ต้องใช้น้ำมัน เราอาจหาน้ำมันเติมไม่ได้ ลองพยายามขายทิ้งละกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบสนองโดยตรง แต่มองไปรอบๆ แทน
“เอาล่ะ ทุกคนไปช่วยกันเก็บปลอกกระสุนที่หล่นอยู่ มันเป็นทรัพยากรด้านการรบ
“หลงเยว่หงถอดเกราะไปเก็บก่อนจะได้ประหยัดแบต เราติดแบตสำรองคุณภาพสูงมาแค่ก้อนเดียว ต้องระวังไว้ด้วย”
แผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งไว้บนหลังคารถนั้นพอให้ชาร์จรถจี๊ปได้เพียงแค่วันละครั้งเท่านั้น
“ครับ หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบเสร็จก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับมาแล้วชี้ที่ข้างถนน “แล้วจะทำไงกับเจ้านั่นดี”
เขาพูดถึงซากศพขนาดใหญ่ของงูเหล็กบึงดำ
คิ้วที่ดูองอาจงดงามของเจี่ยงไป๋เหมียนขมวดขึ้น
“ไม่มีทางขนไปได้แน่…
“งั้นก็ไม่ต้องเอาเนื้อละกัน สิ่งมีชีวิตพวกนี้มันกลายพันธุ์เพราะมลพิษ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่มีอะไรจะกินจริงๆ แล้วละก็ ทางที่ดีอย่าไปกินมันเลย
“ถุงพิษในปากก็เอามาไม่ได้เหมือนกัน เราไม่ได้เอาอุปกรณ์ปิดผนึกติดมาด้วย ของเหลวข้างในมันระเหยได้ง่าย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเจ้างูยักษ์มันล้างแค้นสำเร็จแบบไม่ทันรู้ตัว
“ลอกหนังมันออกก็น่าจะพอขนไปได้ อื้อ พับแล้วมัดไว้บนหลังคาละกัน นี่น่าจะเป็นวัตถุดิบชีวภาพที่ยอดเยี่ยม พวก ‘แผนกค้นคว้าวิจัย’ ปลื้มชัวร์ พวกเขาเคยสร้างเกราะไบโอนิกอะไรแบบนี้มาแล้ว
“หลงเยว่หง นายสวมเกราะเสริมแรงไปจัดการมันซะ ที่หมวกมีระบบป้องกันแก๊สพิษ แล้วถ้าฉันจำไม่ผิด มันน่าจะมีอุปกรณ์ช่วยตัดด้วยความร้อนสูง จำไว้ว่าให้เริ่มจากส่วนตาและปากก่อนนะ”
หลังจากทำงานหัวปั่นกันร่วม 15 นาที หลงเยว่หงก็ถลกหนังงูยักษ์เสร็จโดยมีซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากกันแก๊สคอยช่วยเหลือ
เจ้าสิ่งของชิ้นนี้ถูกพับซ้อนหนึ่งทบก่อน จากนั้นถึงค่อยม้วนแล้วใช้เชือกมัดไว้กับแผงชาร์จพลังแสงอาทิตย์อย่างแน่นหนา
“ฟู่ เสร็จเรียบร้อย” เจี่ยงไป๋เหมียนปัดตบมือแล้วมองดูหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าช่วยกันวางชุดเกราะเสริมแรงไว้ที่เบาะข้างคนขับ
“เจ้านี่เอาไงดี” เธอชี้ไปที่ศพทั้งสามที่อยู่ไม่ไกล “พวกนายอยากจะลอกคราบไปด้วยไหม”
เสื้อผ้าก็เป็นเงินตราอีกรูปแบบหนึ่งบนแดนธุลี เพียงแค่ด้อยกว่าอาหารและอาวุธ
ก่อนที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจะแสดงความเห็นออกมา ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าจริงจัง
“โยนทิ้งในหนองน้ำเถอะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วพยักหน้าตกลง
“ได้”
* * * * *
[1] นักล่าทางการ (正式猎人) หมายถึง ผู้ทำหน้าที่นักล่าอย่างเป็นทางการ
[2] โจรพาร์ทไทม์ (兼职强盗)หมายถึง คนที่ทำหน้าที่อื่นและเป็นโจรควบคู่ไปด้วย
[3] ราชันนักล่า (首席猎人)หมายถึง ผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวในกลุ่มนักล่า
[4] แมคคาทรอนิกส์ (机械电子) Mechatronics คือ การนำวิศวกรรมเครื่องกลและวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์มาบูรณาการเข้าด้วยกัน แต่เมื่อระบบด้านเทคนิคมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คำๆ นี้จึงถูกขยายความให้รวมถึงพื้นที่ทางเทคนิคมากยิ่งขึ้น เช่น วิศวกรรมด้านการควบคุมอัตโนมัติ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่วนในนิยายหมายถึงแค่การเอาเทคโนโลยี แมคคานิก (จักรกล) มารวมผสมผสานกับ อิเล็กทรอนิกส์ (ไฟฟ้า)