หลังจากหลี่เจ๋อที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงสาธยายความรู้สึกของการ ‘อาบออร่าแห่งเทพ’ จบ เขาก็มองดูอาคันตุกะทั้งสองเบื้องหน้าแล้วเอ่ยปากถามขึ้น
“พวกคุณมีเรื่องอะไรเหรอ”
ด้านหลังเขานั้นมีแท่นบูชาที่เป็นตัวแทนขององค์เทพอยู่ บนนั้นมีเตาหลอมเป็นโลหะสีดำซึ่งมีประตูเป็นสีแดง
นี่คือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพวกเขา เป็นสัญลักษณ์ของผู้ครองกาล ‘ทวารแผดเผา’
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้สายตาบอกใบ้ซางเจี้ยนเย่า ให้เขาเอาจดหมายจากมีนส์ออกมา จากนั้นก็แนะนำตัวเอง
“พวกเราเป็นนักล่าซากอารยะมาจากข้างนอกน่ะ ระหว่างทางได้พบกับมีนส์จากสือฟางพาณิชย์ถูกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ โจมตี ก็เลยช่วยพวกเขาให้รอดจากสถานการณ์ยากลำบากมาได้
“นี่คือจดหมายที่เขาเขียนมาถึงคุณ”
เมื่อหลี่เจ๋อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ร่างเขาก็ชักกระตุกราวกับถูกน้ำร้อนลวก จากนั้นก็เต้นเป็นท่าสั้นๆ
“ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมพวกเขา” ในตอนจบท่าเต้นเขาก็เอ่ยคำสวดออกมา
ต่อจากนั้นเขาก็แสดงท่าเต้นที่เหมือนคิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
“ขอมอบการเต้นนี้ให้พวกคุณ”
ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของเขาแล้วตอบกลับ
“ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมคุณเช่นกัน”
หลี่เจ๋อตกตะลึงไปชั่วขณะ
“คุณก็เป็นสาวกนิกายด้วยเหรอ”
“ผมคิดว่าน่าจะใช่ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากคุณน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หือ” หลี่เจ๋อไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา
เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นชินชากับเรื่องเช่นนี้แล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรอีก เธอเอ่ยปากเตือนเขา
“คุณอ่านจดหมายก่อนก็แล้วกัน”
“ได้” หลี่เจ๋อคลี่จดหมายออกมาอ่านเนื้อหาที่เขียนด้วยลายมืออันคุ้นตา
หลังจากอ่านจบเขาก็พูดกับซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้คุณเองก็ศรัทธาผู้ครองกาล อยากจะเข้าร่วมกับพวกเรานี่เอง”
“ใช่ ใช่ ใช่” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย
หลี่เจ๋อระงับสีหน้าแล้วถามขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“ผมขอถามคุณอย่างเป็นทางการเลยนะ คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าต้องการเข้าร่วมกับ ‘นิกายเตาหลอม’ ของพวกเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีกฎระเบียบหยุมหยิม แต่นี่ก็หมายถึงว่าคุณจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางอย่าง จะทำอะไรตามใจชอบอย่างที่เคยทำไม่ได้อีกแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถาม
“นี่จะส่งผลต่อการช่วยเหลือมนุษยชาติของผมหรือเปล่า”
“หือ” เป็นอีกครั้งที่หลี่เจ๋อตามความคิดซางเจี้ยนเย่าไม่ทัน และครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้ช่วยอธิบายขยายความให้
‘ผู้อุทิศ’ คนนี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“น่าจะไม่นะ…”
ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย ไม่มีส่วนไหนที่ระบุว่าห้ามสาวกไปกอบกู้โลกเอาไว้นี่นา
เนื้อหาในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นสงวนไว้สำหรับผู้ครองกาล โดยเฉพาะองค์ ‘ทวารแผดเผา’
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ
“งั้นจะส่งผลต่อการที่ผมจะสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าหรือเปล่า”
หน้าผากหลี่เจ๋อเริ่มมีเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้น
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วก็ไม่นะ เราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของสาวกนิกาย ต่อให้คุณจะเป็นโจรก็ตาม ตราบใดที่ไม่ไปเข่นฆ่าสังหารผู้คนตามใจ ก็สามารถนับถือองค์ ‘ทวารแผดเผา’ ได้”
ในระหว่างที่พูดนั้น หลี่เจ๋อก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า
นี่มันคนประเภทไหนกันเนี่ย…
หลังจากดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการศาสนามาแรมปี นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเจอกับคำถามประหลาดที่ทำให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกจนใจเมื่อต้องเจอกับคำถามประเภทที่ว่า… ‘ผู้อุทิศ พอเข้าร่วมนิกายแล้วจะมีอาหารให้กินใช่ไหม’ ‘ผู้อุทิศ นิกายจะหาภรรยา (สามี) ให้ไหม’ ‘ผู้อุทิศ คำสอนของนิกายเนี่ย พอตายแล้วต้องเผาหรือเปล่า’ ‘ผู้อุทิศ ถ้าเต้นได้ดีแล้ว จะได้รับการุณย์แห่งเทพจากผู้ครองกาลหรือเปล่า’
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินคำตอบของเขาก็ผงกศีรษะ
“ผมไม่มีคำถามแล้วล่ะ จะเข้าร่วมแน่นอน”
หลี่เจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แล้วตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามด้วยความสงสัย
“ฉันเคยได้ยินมาว่าเหล่าสาวกที่ศรัทธาผู้ครองกาลองค์เดียวกัน มักจะแตกแยกย่อยออกไปเป็นคนละนิกาย สาเหตุเนื่องจากเรื่องของพื้นที่ที่ไปเผยแผ่นิกายบ้าง ขาดการติดต่อสื่อสารกันบ้าง ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่สำคัญของสถานที่ที่ไปเผยแผ่บ้าง การตีความในคัมภีร์พยากรณ์บ้าง และก็อื่นๆ อีก
“แล้วกลุ่มที่กราบไหว้ ‘ทวารแผดเผา’ เกิดสถานการณ์แบบนี้ด้วยหรือเปล่า”
หลี่เจ๋อได้ยินเข้าก็ทอดถอนใจ
“ก็มีแหละ เดิมทีก็เป็นนิกายเดียวกัน”
“แล้วทำไมถึงแยกกันล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
ที่ถามออกไปนั้นด้านหนึ่งเป็นเพราะความสนใจใคร่รู้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะต้องการชี้ให้ซางเจี้ยนเย่าเห็นถึงปัญหาในการเข้าร่วมนิกาย
หลี่เจ๋อพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ความเข้าใจในคำสอนของผู้ครองกาลของพวกเขาผิดเพี้ยนไป
“พวกเราเชื่อว่าจุดสำคัญก็คือ ‘เผาไหม้’ และ ‘เปลวเพลิง’ ซึ่งทำให้เกิดแนวคิดของ ‘เตาหลอม’ จากนั้นก็ขยายไปสู่ ‘เต้นรำ’ กับ ‘หม้อไฟ’
“ในนิกายเรานั้น เดือนแปดคือเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ ความร้อนของเดือนแปดก็คือออร่าอีกชนิดหนึ่งขององค์เทพ
“แต่พวกเขากลับคิดว่า ‘เต้นรำ’ นั้นสำคัญกว่า ‘เปลวเพลิง’ คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ครองกาลพึงพอใจมากกว่า
“ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ยังกล่าวหาว่าเราต่างหากที่ผิดเพี้ยนไปจากเส้นทางอันถูกต้อง”
ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างสงสัย
“ผิดเพี้ยนยังไงเหรอ”
“พวกเขาเชื่อว่าต้องใช้ไฟเพื่อแปรรูปอาหารโดยตรงเท่านั้นถึงจะเป็นการแสดงความเลื่อมใสเคารพศรัทธา หม้อไฟที่อยู่ในภาชนะน่ะเป็นตัวเลือกชั้นรอง ใช้เป็นศีลไม่ได้ เป็นความเชื่อที่ผิด!” หลี่เจ๋อพูดๆ ไปก็ยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน ต้องการระเบิดกบาลพวกสุนัขนอกรีตเพื่อธำรงวิถีเที่ยงแท้แห่งหม้อไฟให้ดำรงคงอยู่ต่อไป
สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนพลันกลายเป็นพิกลขึ้นมา
“ถ้างั้นศีลพวกเขาคืออะไรเหรอ”
“เป็นบาร์บีคิวน่ะ” หลี่เจ๋อพยายามสะกดอารมณ์แล้วตอบคำ
ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาคำตอบได้ก่อนแล้ว แต่กล้ามเนื้อใบหน้าส่วนล่างก็ยังอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้
ความแตกแยกทางความคิดนี้มันช่างเหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการของเธอยิ่งนัก
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ บางครั้งพนักงานของ ‘แผนกความมั่นคง’ ก็พยายามกู้ชีพคอมพิวเตอร์จากโลกเก่าขึ้นมา ข้อมูลในนั้นบางส่วนสามารถกู้คืนมาได้ แต่บางส่วนก็ไม่ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนเคยอ่านเอกสารบางส่วนที่กู้คืนมาได้ และพบว่าบางเรื่องที่บันทึกไว้ในนั้นมันไร้สาระมากเสียจนยากจะเข้าใจได้
นี่รวมถึงข้อพิพาทระหว่างกลุ่มคนที่ชอบเต้าหู้หวาน เต้าหู้เค็ม แล้วก็เต้าหู้เผ็ด
เดิมทีเธอคิดว่านั่นคงจะเป็นเรื่องตลกในอินเทอร์เน็ตของโลกเก่าเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้… ในวันนี้เธอกลับได้พบตัวอย่างตัวเป็นๆ เข้าให้แล้ว!
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ถามออกมาด้วยความสนใจ
“ถ้างั้นนิกายคุณกินบาร์บีคิวได้ไหม”
“กินน่ะกินได้ แต่ไม่กินได้จะดีกว่า” หลี่เจ๋อแสดงความเห็นออกมาอย่างมีไหวพริบ “ผมรู้ว่าตอนอยู่ในแดนร้าง การกินบาร์บีคิวเป็นวิธีที่สะดวกสุดในการจัดการกับวัตถุดิบ ดังนั้นในเวลาที่ต้องไปผจญภัยจึงไม่ได้เรียกร้องอย่างเข้มงวด”
เมื่อฟังถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้าไปชำเลืองดูซางเจี้ยนเย่า พบว่าอีกฝ่ายราวกับเริ่มลังเลขึ้นมาบ้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนแอบหัวเราะอยู่ในใจ แล้วถามต่อ
“นิกายนั่นชื่ออะไรเหรอ แล้วพวกเขากินหม้อไฟได้หรือเปล่า”
“พวกเขาชื่อ ‘ระบำคลั่ง’ คำสอนพวกเขากำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าห้ามกินหม้อไฟเด็ดขาด นอกจากจะไม่มีทางเลือกอื่น” หลี่เจ๋อไม่มีแก่ใจอยากพูดถึงสถานการณ์ของพวกนอกรีตต่ออีก เขาเปลี่ยนเรื่องพูดกับซางเจี้ยนเย่า “ช่วงนี้คุณยังไม่ออกจากทาร์นันใช่ไหม”
“อย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์นี้ก็ยังไม่ไปไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบแทนซางเจี้ยนเย่า
หลี่เจ๋อพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“อีกสามวันตอนบ่ายสอง เราจะมีพิธีบัพติศมา ถ้าพวกคุณมาในวันนั้นก็จะกลายเป็นสาวกนิกายอย่างเป็นทางการ
“ฮ่า ฮ่า จำไว้ให้ดีล่ะ ตอนบ่ายสองเป็นเวลาศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย เวลาสวดอธิษฐานประจำวันก็พยายามจัดให้อยู่ในช่วงเวลานี้
“ถ้าเป็นพิธีมิสซาปกติเราก็ไม่ได้จำกัดช่วงเวลาหรอก มีเพียงมหามิสซากับพิธีบัพติศมาเท่านั้นที่จัดได้ในช่วงเวลาบ่ายสองถึงบ่ายสาม”
“พิธีบัพติศมาเป็นยังไงเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความอยากรู้
หลี่เจ๋อชี้ไปที่ประตูห้องมิสซา
“ก็คล้ายกับมิสซาทั่วไปนั่นแหละ แต่ผู้ที่รับบัพติศมาจะสวมชุดที่ตัวเองเตรียมมาไม่ได้ ต้องเปลื้องผ้าออกให้หมด แล้วนุ่งผ้าขนหนูสีแดงของโบสถ์
“คนไหนยิ่งอยู่ในห้องมิสซาได้นาน ก็ยิ่งได้รับการุณย์แห่งเทพจากผู้ครองกาลได้มากขึ้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างมีรสมีชาติ ถามขัดขึ้น
“แล้วมหามิสซานี่มีอะไรที่ต่างไปเหรอ”
“มหามิสซาจะจัดแค่เดือนละครั้งเท่านั้น นอกเหนือจากมิสซาปกติก็คือเพิ่มการอาบน้ำร้อนและเต้นหมู่เพื่อสรรเสริญองค์เทพ” หลี่เจ๋ออธิบายแบบคร่าวๆ
หลังจากพูดคุยสนทนาเรื่องการเข้าร่วมนิกายจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดถึงวัตถุประสงค์ที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ มายังทาร์นัน
“พวกเรามีเรื่องบางเรื่องต้องการพบกับ ‘ซอร์สเบรน’ เพื่อสอบถาม ไม่ทราบว่า ‘ผู้อุทิศ’ พอจะมีคำแนะนำอะไรบ้างไหมที่จะโน้มน้าว ‘สวรรค์จักรกล’ ให้ยอมอนุญาตให้พวกเราเข้าพบได้”
หลี่เจ๋อฟังเงียบๆ จนจบก็ถอนหายใจออกมา
“ผมอยู่ทาร์นันมาตั้งหลายปีแล้ว…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ชี้ไปที่นอกโบสถ์
“คนในเมืองพวกนั้น หลายคนมาอยู่ก่อนผมด้วยซ้ำ แล้วก็พวกกองคาราวานซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังต่างๆ ที่เดินทางไปๆ มาๆ ต่างก็ไม่มีใครเคยเห็น ‘ซอร์สเบรน’ มาก่อน ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้เลยว่ามีตัวตนอย่าง ‘ซอร์สเบรน’ อยู่”
ความหมายของหลี่เจ๋อก็คือ…
ผมเองก็ไม่มีหนทางเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเห็นเช่นนี้ก็ไม่อาจคาดคั้นอะไรได้อีก หลังจากพูดคุยต่ออีกสองสามประโยคก็กล่าวอำลาและจากไป
ในฐานะว่าที่สาวก ‘นิกายเตาหลอม’ ซางเจี้ยนเย่าทำการเต้นให้กับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นตัวแทนของ ‘ทวารแผดเผา’ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
หลี่เจ๋อค่อนข้างพึงพอใจต่อเรื่องนี้
* * * * *
สมาคมนักล่าของทาร์นันนั้นตั้งอยู่ใจกลาง ‘ถนนเลียบน้ำ’ ซึ่งมีความคึกครื้นมากที่สุด
ผังภายในนั้นคล้ายคลึงกับสมาคมนักล่าในเมืองหญ้าไพร มีโต๊ะมากมายหลายตัว มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้งานเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักล่าในการรับและส่งมอบภารกิจเช่นเดียวกัน
ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือขนาดของสมาคมนักล่าแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เจ้าหน้าที่สมาคมก็ไม่ได้มีมาก มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น และเนื่องจากมีเครื่องจักรคอยช่วยงานอยู่จึงทำให้พวกเขาค่อนข้างเอ้อระเหยถึงขนาดนั่งว่างใจลอยได้อีกด้วย
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเดินไปหาพนักงานหญิงใบหน้ากลม มองผ่านแผงกระจกซึ่งมีช่องว่างด้านล่าง
“สวัสดีครับ” หลงเยว่หงเริ่มพูด
พนักงานเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตายังคงเหม่ออยู่บ้าง
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ” ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงจะถามออกมาด้วยภาษาแดนธุลี
เธอไม่ได้ใช้สำเนียงท้องถิ่น แต่เป็นสำเนียงที่คล้ายกับชาวชุมชนศิลาแดง
หลงเยว่หงได้ปรึกษากับไป๋เฉินมาก่อนแล้ว จึงพูดออกมาตามตรง
“เราต้องการมาเยี่ยมเยียนประธานกู้ป๋อน่ะ”
“เอ่อ ฉันจะช่วยถามให้นะ” พนักงานหยิบโทรศัพท์สีดำขึ้นมาด้วยความร้อนรนแล้วกดหมายเลข
หลังจากสายถูกเชื่อมต่อแล้ว เธอก็พูดไปสองสามประโยค จากนั้นก็ตอบรับ “ค่ะ ค่ะ” สองคำ แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับหลงเยว่หงและไป๋เฉิน
“ประธานกู้ให้พวกคุณไปพบค่ะ อยู่ชั้นสอง ห้อง 201”
หือ… ง่ายขนาดนี้เลย… หลงเยว่หงแปลกใจเล็กน้อย
เขายังจำได้ว่าตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพร การจะเข้าพบกับคนระดับสูงของสมาคมนักล่าก็ต้องแจ้งเหตุผลให้ทราบก่อน
คงเป็นเพราะสมาคมที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรละมั้ง ก็เลยไม่ได้มีกฎเกณฑ์กับความสนใจอะไรมากนัก… หลงเยว่หงเริ่มคุ้นชินกับการคิดวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างในด้านต่างๆ ไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขามักจะคิดหาคำตอบไม่ได้อยู่บ่อยครั้งก็ตาม
หลังจากสบตากับไป๋เฉินเสร็จ พวกเขาก็เดินไปที่ทางขึ้นบันได
* * * * *