ร่างของไอนอร์แข็งทื่อทันที
จากนั้นก็รีบก้มหน้างุดราวกับนกกระจอกเทศซุกหัว
“ของปลอม ต้องเป็นของปลอมแน่ๆ ของปลอม…” ไอนอร์พึมพำไปพลาง มือก็คลิกเมาส์รัวไม่หยุดไปพลาง เพื่อเปลี่ยนการตั้งค่ามาตรฐานของเกมบนเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ลมหยินเย็นยะเยือกพัดผ่านล็อบบี้โรงแรม หลอดไฟบนเพดานก็หม่นแสงหรี่ลงราวกับพร้อมจะดับลงได้ทุกขณะ
“ของปลอม… โลกนี้ไม่มีผี…” ไอนอร์ยังคงปลอบใจตัวเอง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก้มหน้าจดจ่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสามชิ้น
เธอทำทีเป็นว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องบางเรื่องอยู่จนหลงลืมความเปลี่ยนแปลงรอบด้านไปหมดสิ้น ประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ท่ามกลางแสงสลัวและกะพริบวูบวาบ เงาดำพวกนั้นปรากฏขึ้นบนผนังล็อบบี้ของโรงแรม
พวกมันบิดเบี้ยวส่ายไหวไปมาแต่กลับไม่มีรูปร่างอย่างชัดเจน ราวกับว่าเกิดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
ร่างไอนอร์ยิ่งขดตัวมากขึ้นอีก พยายามบังคับตัวเองสุดชีวิตให้สนใจอยู่แค่ซีรีส์ นิยาย และเกมบนหน้าจอเท่านั้น
แล้วทันใดนั้นเธอก็พลันรู้สึกว่ามีลมเย็นเยียบเป่ารดต้นคอจนทำให้เส้นขนลุกเกรียวชี้ชัน
ไอนอร์แทบจะระเบิดเสียงกรีดร้องดังลั่น พุ่งพรวดวิ่งออกไปนอกโรงแรมในบัดดล แต่ในที่สุดเธอก็ยังคง ‘ควบคุม’ ตัวเองเอาไว้ได้ และตัดสินใจทำในสิ่งที่มนุษย์ปกติทั่วไปไม่มีทางเลือกทำเช่นนั้นเด็ดขาด
นั่นคือเธอยังคงซุกตัวขดอยู่ที่เดิม ‘จดจ่อ’ ในการรับชมซีรีส์ เล่นเกม และอ่านนิยายอย่างคลั่งไคล้เคลิบเคลิ้ม ถึงแม้จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีคนกำลังเดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังตนเองพร้อมกับลมเย็นยะเยือกที่เป่ารดต้นคออย่าง
ไม่หยุดหย่อน
“ภาพหลอน… ทุกอย่างเป็นภาพหลอน…” ไอนอร์ให้กำลังใจตัวเองไปพลาง บังคับตัวเองไปพลางว่าให้ลืมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในความจริงให้หมด
* * * * *
ภายในบาร์ ‘พิราบไพร’ ซากศพโชกเลือดทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาไม่น้อย
ถึงแม้ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่ต่างมีตัวตนเป็นนักล่าซากอารยะก็ตามที ทว่าเป็นเพราะทาร์นันได้รับการปกป้องจาก ‘สวรรค์จักรกล’ เป็นอย่างดี อีกทั้งซากเมืองโดยรอบก็ถูกสำรวจทุกซอกทุกมุมจนทะลุปรุโปร่งมานานปีแล้ว ไม่เหลือภยันตรายมากนัก ในหมู่พวกเขาจึงมีคนไม่น้อยที่ไม่เคยประสบพบเหตุเข่นฆ่าสังหารกับตามาก่อน รวมถึงสภาพซากร่างที่ตกตายอย่างน่าสยดสยองเช่นนี้ด้วย
ในจุดนี้จึงทำให้โลกของพวกเขานั้นแตกต่างไปจากชาว ‘ชุมชนศิลาแดง’ เป็นอย่างมาก
เพียงชั่วพริบตา ความปั่นป่วนโกลาหลก็แพร่ไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มขาไพ่โป๊กเกอร์ วงไพ่นกกระจอก พวกต่อรองราคาซื้อขาย หรือเหล่านักเต้น ต่างก็ลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นทันที บางส่วนก็รีบถอยกรูดไปมุมห้อง จับกลุ่มสนทนา พูดคุยกันด้วยความตระหนกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ บางคนก็รวบรวมความกล้าเดินเกาะกลุ่มเข้าไปใกล้ประตูเพื่อมองสำรวจซากศพไม่สมบูรณ์ร่างนั้น
ตัวตน ‘นักล่าชั้นกลาง’ ของเจ้าของบาร์ไช่อี้เองก็ไม่ได้เกิดจากการเก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆ ใช้เวลาทำภารกิจสะสมไปเรื่อยๆ ดังนั้นหลังจากที่ตกตะลึงไปเพียงครู่เดียวเขาก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว ค่อยๆ สำรวจศพเบื้องหน้าอย่างระวัง
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เป็นคนของกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’”
เขาจดจำตัวตนของผู้ตายได้
และในขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนก็ช่วยยืนยันการตัดสินของเขาด้วย
“พอพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ออกจากบาร์ไปก็ถูกซุ่มโจมตีงั้นเหรอ” เธอถามเองแล้วจากนั้นก็ตอบเอง “ใช่สิ มีลมกระโชกแรงขึ้นมากระทันหัน มีเสียงเคาะประตูปังๆ ดังขึ้น เสร็จแล้วพวกเขาถึงจะออกไป”
ดูท่าแล้วปัญหาน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
ไช่อี้ละสายตากลับมาจากการตรวจสอบศพ มองไปยังกลุ่มนักล่าซากอารยะที่อยู่เบื้องหน้า
“พวกคุณกลับมาทำไม หรือเป็นเพราะรู้สึกถึงอันตราย”
เขารู้สึกเหมือนว่านักล่าทีมนี้คงจะพบเบาะแสบางประการจึงตัดสินใจวกกลับมา ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการทำความผิดพลาดซ้ำรอยกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ไปได้”
“พวกเราเดินไปเรื่อยๆ แล้วก็กลับมาถึงที่นี่น่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ใช้น้ำเสียงยานคางชวนขนหัวลุกที่เลียนแบบมาจากไอนอร์
“ผมคิดว่าน่าจะถูก ‘ผีบังตา’ มา”
ทุกคนในบาร์ได้ยินแล้วก็ชะงัก ตัวแข็งทื่อไปทันที มีบางคนอดขยับตัวเข้าไปใกล้ประตูไม่ได้ คิดจะวิ่งโร่ออกไปตามหายามจักรกล
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองแล้วเตือนออกมา
“ขืนทะเล่อทะล่าออกไปตอนนี้ คงไม่แคล้วลงเอยแบบเดียวกับเขานี่แหละ”
เธอชี้ไปยังซากศพที่ทอดร่างอยู่บนพื้น
ต่อจากนั้นเธอก็แสดงความคิดเห็นของตัวเอง
“ฉันกำลังสงสัยว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นน่าจะออกจากเขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้เข้ามาในทาร์นันแล้ว
“ลมด้านนอกเอย เสียงเคาะประตูเมื่อครู่เอย การหลงทางของพวกเราเอย ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นภาพหลอนทั้งนั้น”
การคาดเดาเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาสงบลงแม้แต่น้อย แต่ราวกับราดน้ำมันลงกองเพลิง ทำให้พวกเขาเกิดความแตกตื่นมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ยามจักรกลทั้งสิบตัวที่ออกไปจัดการกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้ก็ขาดการติดต่อ หายสาบสูญไปหมด!
นี่ก็หมายความว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ แม้กระทั่งหุ่นยามจักรกลเองก็ยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้!
ในทางกลับกัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ไม่เคยเจอผีมาก่อน จึงไม่มีใครรู้ว่ายามจักรกลนั้นจะถูกผีหลอกได้หรือไม่ ถึงอย่างไรในใจลึกๆ แล้วพวกเขาก็มั่นใจว่ายามจักรกลไม่มีทางกลัวผีเด็ดขาด
ไช่อี้แหงนมองเพดาน พยายามสงบใจเต็มที่
“ศพนี้ก็เป็นภาพหลอนด้วยเหรอ”
ทั้งลูกทั้งภรรยาเขาล้วนแต่พักอยู่ชั้นบน เขาจำต้องทำให้สถานการณ์กระจ่างโดยเร็วที่สุดเพื่อหาทางรับมือ
“ฉันขอพิสูจน์ก่อนนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็เข้ามาแทนตำแหน่งเธอ เดินตรงไปยังซากศพแล้วนั่งยองลง
เขาหยิบถุงมือยางออกมาสวมแล้วใช้มือทั้งสองข้างกดลงบนศพ
จากนั้นก็ใช้ตำแหน่งนั้นเป็นจุดศูนย์ถ่วง ทำท่าหกสูง
หกสูง… เจ้าของบาร์ถึงกับตะลึงตาค้างไปทันที เช่นเดียวกับลูกค้าทั้งหลายที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
นี่มันวิธีพิสูจน์บ้าบออะไรกันเนี่ย…
หรือว่าการทำให้เลือดสูบฉีดไปที่สมองจะทำให้มีสติปัญญาสูงขึ้น…
ไป๋เฉินมองเห็นว่าผิวของซากศพยุบลงไป แต่ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้จมลงไปด้วย เธอก็หันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“เป็นของจริง”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เธอชักปืน ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมาถือไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือ ‘ยูไนเต็ด 202’ เอาไว้
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “ฮื่อ” ออกมาคำหนึ่ง ระหว่างที่มองซางเจี้ยนเย่าหยัดกายขึ้นมายืน เธอก็หันไปหาเจ้าของบาร์ไช่อี้
“คุณมีปืนยิงระเบิดหรือเปล่า ฉันจะได้ยิง ‘พลุส่งสัญญาณ’ ออกไปแจ้งเหตุ ดูว่ายามจักรกลข้างนอกจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้างไหม”
ถึงอย่างไรหุ่นจักรกลย่อมต้องมองทะลุผ่านภาพลวงตาได้ดีกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
และในขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนก็ต้องการแจ้งให้ ‘นิกายมังกรพยับ’ ของอารามหนานเคอทราบด้วย
เธอคิดว่าถึงแม้เจ้าอารามโจวเยว่อาจจะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก แต่เมื่อเทียบกับหลี่เจ๋อจาก ‘นิกายเตาหลอม’ และไมค์จาก ‘คันชั่งเกียรติยศ’ แล้วก็เหมือนจะพอพึ่งพาในด้านนี้ได้มากกว่า
เรื่องเฉพาะทางก็ควรมอบให้เป็นหน้าที่ของมืออาชีพเฉพาะทางมากกว่า
ไช่อี้ฟังแล้วก็ตะลึงไปชั่วขณะ
“ทำไมถึงต้องยิงพลุส่งสัญญาณล่ะ
“แค่โทรเรียกยามจักรกลไปก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ
“หรือว่ากลัวถูกรบกวนสัญญาณ”
เอ่อ… เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าตัวเองนั้นคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมทางนิเวศของเมืองหญ้าไพร ชุมชนศิลาแดง เมืองน้ำล้อม และพื้นที่ส่วนอื่นๆ บนแดนธุลีมากกว่า ดังนั้นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ จึงยังปรับตัวเข้ากับทาร์นันได้ไม่ดีนัก ลืมไปว่าที่นี่นั้นไม่เพียงแต่จะมีสถานีส่งสัญญาณไร้สาย แต่เกือบทุกคนที่อาศัยอยู่ต่างก็มีโทรศัพท์ใช้งานทั้งสิ้น
ในเรื่องนี้ ทาร์นันนับว่ามีเทคโนโลยีก้าวหน้าเหนือกว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’
“โทรหาเจ้าอารามโจวแห่งอารามหนานเคอได้หรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนได้สติกลับมาทันที รีบเอ่ยถามขึ้น
ไช่อี้ผงกศีรษะ
“ผมมีสมุดรายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์”
“งั้นรบกวนด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างมีมารยาทก่อนจะหันไปมองซางเจี้ยนเย่า
หลังจากคนทั้งสองสบสายตาก็พากันสั่นศีรษะ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มั่นใจว่าความคิดซางเจี้ยนเย่านั้นตรงกับความคิดตนเองหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เธอคิดก็คือ…
ที่นี่เป็นถนนเส้นที่มีผู้คนพักอาศัยอยู่มากที่สุดในทาร์นัน จึงมีคนอยู่เต็มไปหมดทั่วทุกหนทุกแห่ง เธอไม่อาจใช้สัญญาณไฟฟ้าเพื่อตรวจหา ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นได้
ซึ่งถ้ามองจากมุมนี้ การรับรู้จิตสำนึกของมนุษย์ก็น่าจะมีปัญหาในทำนองเดียวกัน
“ตอนนี้บนถนนข้างนอกมีคนอยู่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
ซางเจี้ยนเย่าตอบตามจริง
“ก็หลายคน”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับว่านี่เป็นคำตอบของตนเองเช่นกัน
ไช่อี้ไม่อาจเข้าใจบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ได้ เขาแอบส่ายหน้าจนแทบมองไม่เห็น
“ผมจะไปโทรศัพท์นะ”
ทันทีที่เขาพูดจบ ลมเย็นเยียบก็พัดเข้ามาจากด้านบนแผ่นไม้กั้นทั้งสองบาน ทำให้เกิดบรรยากาศน่าขนลุก
วินาทีถัดมา ทั้งโคมไฟระย้าและโคมไฟติดผนังภายในบาร์ก็พลันหรี่ลงพร้อมๆ กัน ราวกับมีปัญหาเรื่องแรงดันไฟฟ้า
หัวใจหลงเยว่หงตึงเครียดขึ้นมา ครั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ม่านตาก็ขยายตัวทันที
ทุกคนที่อยู่ในบาร์ รวมทั้งสามคนที่เคยถูกเขาอัดจนหมดสภาพ ต่างก็งุ้มหลังลงเล็กน้อย ดวงตากลายเป็นขุ่นมัวผิดปกติและแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย
‘คนไร้ใจ’!
พวกเขาทุกคนกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ กันหมด!
หลงเยว่หงรีบยกทั้งสองมือที่ถือปืนไว้ขึ้นมาทันที
ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินหัวหน้าทีมร้องเตือนเจ้าของบาร์ไช่อี้ออกมาประโยคหนึ่ง
“ระวัง”
ไช่อี้ค่อยๆ หมุนร่างกลับมา
ดวงตาเขาปูดโปน และขุ่นมัวเช่นกัน
หลงเยว่หงเกือบไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของตนเองเอาไว้ได้ เกือบจะเหนี่ยวไกลั่นปืนยิงออกไป
แล้วในตอนนี้เสียงที่เบิกบานของซางเจี้ยนเย่าก็ดังขึ้น
“ถ้าหากว่าดับไฟจนมืดตื๋อ มองอะไรไม่เห็น งั้นก็จะไม่มีเรื่องอะไรสินะ”
“เอ๋” หลงเยว่หงเหลือบมองจากหางตาก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่าไปยืนอยู่ข้างสวิทช์เปิดปิดไฟตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
* * * * *
ณ อารามหนานเคอ
โจวเยว่ใช้แรงจากเอวและเท้ายันตัวพรวดขึ้นมาจากเบาะกราบ
เธอยืนขึ้นมาตบชุดคลุมยาวสีขาวบนร่างและหันไปพูดกับ ‘ผู้ชี้นำฝัน’ ที่อยู่ข้างกาย
“เฟ็ลปส์ ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย ช่วยไปหยิบกระจกแปดทิศ ของฉันมาให้ที”
‘ผู้ชี้นำฝัน’ คนนั้นมีผมสีดำตาสีฟ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกครึ่ง
เขาตอบรับออกมาประโยคหนึ่ง
“ทราบแล้ว เจ้าอาราม”
หลังจากนั้นเขาก็พูดเสริมด้วยความรันทด
“เอ่อ… เจ้าอาราม ผมคือเจินเหลียนต่างหาก”
“…เจินเหลียน เอ่อ… ใช่ๆ เจินเหลียน” โจวเยว่ฝืนยิ้ม “นอกจากกระจกแปดทิศ ให้เอาน้ำมนต์ กระสอบ อ้อ… เอาไฟฉายด้วย”
การผสมผสานกันอย่างแปลกประหลาดพิกลเช่นนี้ ทำให้เจินเหลียนและคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรให้มากความ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าอารามค่อนข้างร้อนใจ
* * * * *