ในบาร์ ‘พิราบไพร’ ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในตอนนี้ได้อย่างไรถึงจะสามารถฝ่าทะลวงภาพลวงตาออกไปเพื่อ
แจ้งเหตุให้ยามจักรกลกับพวกกองกำลังอย่าง ‘นิกายมังกรพยับ’ เรื่อง ‘ศัตรูบุก’ ได้อยู่นั้น ซางเจี้ยนเย่าที่ไม่ประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับกล้องวงจรปิด จึงหยิบโทรโข่งออกมาจากเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังอยู่
ท่ามกลางเสียงดนตรีที่เปิดเอาไว้ เขาถือโทรโข่งตะโกนไปยังจิตสำนึกของมนุษย์ที่อยู่นอกร้าน
“ตอนนี้มืดแล้ว!
“ลมก็แรงมาก!
“ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องกันหรือไง!”
ฟังเผินๆ แล้วเหมือนเป็นการตำหนิผู้คนที่ออกมาเล่นนอกบ้านอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่ดูลมฟ้าอากาศกันบ้างเลย ทว่าในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นวิธีหนึ่งในการใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’
แต่เนื่องจากเป็นการใช้พลังผ่านโทรโข่ง ดังนั้นอิทธิพลของมันจึงลดลงไปเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องให้ซางเจี้ยนเย่าระบุเป้าหมายอย่างจำเพาะเจาะจง จึงมุ่งเป้าได้เพียงรายบุคคลเท่านั้น
เมื่อเสียงเขาดังออกไป สติของเป้าหมายจะชะงักหยุดนิ่งไปราวสองวินาทีก่อนจะวิ่งเหยาะออกไปยังตำแหน่งแห่งหนึ่งบนท้องถนน
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นฉากนี้ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ได้ว่าความคิดของซางเจี้ยนเย่าก็คือ…
หลังจากที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ใช้ภาพหลอนกับคนในบาร์ นั่นหมายความว่าเขากำลังสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อซางเจี้ยนเย่าไปในขณะเดียวกัน จึงไม่สามารถซ่อนจิตสำนึกเอาไว้ได้อีก
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในบรรดาจิตสำนึกของมนุษย์ที่ซางเจี้ยนเย่ารับรู้ได้นั้น มีหนึ่งในนั้นที่เป็นของศัตรูนั่นเอง
แม้ว่าศัตรูอาจจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่ก็รู้ว่า ‘ลมแรง’ นั้นเป็นเพียงภาพหลอน ไม่ใช่ของจริง ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ตัวตลกชักจูง’
ดูแล้วอาจเหมือนว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่ถูกผลกระทบของพลัง ทว่าเมื่อปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างไปจากจิตสำนึกของมนุษย์ทั่วไป นั่นก็เท่ากับว่าถูกเผยตัวออกมาแล้ว
เพราะนั่นราวกับเป็นหิ่งห้อยส่องสว่างกระจ่างตาท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ไม้ใหญ่ต้านพายุ ย่อมถูกพัดโค่น!
ทว่าการตอบสนองของซางเจี้ยนเย่ายังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมเป็นภูษาไร้ตะเข็บ เจี่ยงไป๋เหมียนสามารถมองเห็นจุดอ่อนสองสามประการอย่างรวดเร็ว
หนึ่งคือพลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นมีระยะขอบเขตที่ไกลกว่าซางเจี้ยนเย่ามาก ตำแหน่งที่ซ่อนตัวในตอนนี้อยู่นอกระยะการรับรู้ของเขา ดังนั้นจิตสำนึกของมนุษย์ที่พบจึงไม่มีแม้แต่หนึ่งเดียวที่เป็นเป้าหมายอันแท้จริง
สองคือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ สามารถทำให้คนข้างนอกเกิดอาการหูฝาดได้ ทำให้มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเดียวกับตัวเขา
สามคือจิตสำนึกของมนุษย์ที่อยู่ข้างนอกนั่น มีบางส่วนเป็นภาพหลอนที่ถูกสร้างขึ้น
นี่มันเป็นยุ่งยากชะมัด ได้แต่ต้องค่อยๆ ตัดทิ้งไปทีละข้อล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนร่วมมือกับซางเจี้ยนเย่าในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทางสัญญาณไฟฟ้า เพื่อระบุว่าคนที่ได้รับผลกระทบนั้นเป็นเพียงมนุษย์ปลอมที่เกิดจากภาพหลอนหรือว่าเป็นมนุษย์จริงกันแน่
หลังจากกระตุ้นให้ผู้คนข้างนอกกลับบ้านไปได้ ซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนเป้าหมายแล้วทำซ้ำกระบวนการเดิมไปเรื่อยๆ
ในขณะนี้ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าเมืองของนิคม กำลังใช้โทรโข่งป่าวประกาศแจ้งชาวเมือง
* * * * *
เจ้าอารามหนานเคอ โจวเยว่ ‘รำถวายเทพ’ ไปทีละก้าวๆ ตรงไปยังบริเวณที่มีพลังลวงตารุนแรงที่สุด
นี่เป็นการรับรู้ถึงสัญญาณที่สอดคล้องกันของผู้ตื่นรู้ซึ่งมีพลังพิเศษในเขตพลังที่คล้ายคลึงกัน
“เหนื่อยชะมัด…” หลังจากออกเดินทางมาได้ช่วงหนึ่ง โจวเยว่ก็อดบ่นขึ้นมาไม่ได้
ในขณะที่เดินก็ต้องส่ายเอว แกว่งตัว สะบัดมือ ไม่เหนื่อยจนหมดแรงก็แปลกแล้ว!
ในฐานะที่เป็นศาสนบุคลากรที่ปกติไม่เคยมีการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ การทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เธอเหนื่อยแทบหมดสภาพจนเริ่มเกิดความคิดนอกลู่นอกทางบางประการขึ้นมา
หรือว่าควรจะปลอมตัวเข้าไปใน ‘นิกายเตาหลอม’ เพื่อเรียนเต้นรำดีนะ…
* * * * *
ภายในโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ไอนอร์เจ้าของโรงแรมจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่วางตาไปพลาง ตัวสั่นงันงกพูดพึมพำซ้ำๆ ไม่หยุดปากไปพลาง
ทว่า ‘คน’ ที่เดินไปเดินมาด้านหลังเธอ บางครั้งก็เป่าลมรดต้นคอเธอ กลับยังคงไม่หายไปไหน
ผ่านไปหลายสิบวินาที ไอนอร์ก็พลันรู้สึกอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบบนบ่าตนเอง
เธอไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้อีกแล้ว กรีดร้องเสียงดังลั่นออกมา
“กรี๊ด!”
ขณะเดียวกันดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอก็กลายเป็นสีดำมืดมิด
* * * * *
ภายในอาคารหลังหนึ่งที่ ‘ถนนเลียบน้ำ’
ชายผู้หนึ่งจู่ๆ ก็เปลื้องเสื้อผ้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็รีบวิ่งแจ้นไปที่ระเบียง ยืนแอ่นเผชิญลมแรงแล้วปลดปล่อยสายน้ำออกไป
หลังจากปัสสาวะเสร็จเขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา อารมณ์ปนเปทั้งความงุนงงระคนเป็นสุข
เขางุนงงเนื่องจากไม่ทราบว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนเองถึงได้กระทำเรื่องราวเช่นนั้นลงไป ที่เป็นสุขก็เพราะได้ปัสสาวะใส่สายลมเพื่อพิสูจน์ตัวเองได้
ในอาคารอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากเขาไป
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถือหนังสือที่นำกลับมาจากซากเมือง พูดกับลูกตัวเอง
“ถ้าลูกอ่านหนังสือไม่ออก เดี๋ยวพอโตไปเป็นนักล่า จะไปรับภารกิจดีๆ ได้ยังไง!”
“หนูให้คนอื่นอ่านให้ฟังก็ได้” ลูกของเธอเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้นผู้เป็นแม่ก็รู้สึกเหมือนเลือดถูกสูบฉีดขึ้นสมอง ยกมือขึ้นมาตบโต๊ะอย่างไม่ทันยั้งคิด
เสียงตบโต๊ะดังปัง เธอตวาดใส่ลูก
“นั่นก็ต้องจ่ายเงินนะ!
“แกจะเรียนไม่เรียน หา!”
หลังตวาดออกไปเธอก็พลันสำนึกเสียใจทันที รู้สึกตัวว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
เดิมทีลูกเธอนั้นเป็นเด็กที่มีจิตใจเข้มแข็ง ทว่าในตอนนี้กลับร้องไห้สะอึกสะอื้น
“หนูเรียนแล้ว หนูจะเรียนแล้ว…”
* * * * *
ภายในบาร์ ‘พิราบไพร’ หลงเยว่หงที่ฟังซางเจี้ยนเย่า ‘ออกอากาศ’ จู่ๆ ก็พลันลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วยิงไปยังจุดที่มีคนนอนสิ้นสติกันเรียงราย
นี่คือแรงปรารถนาที่เขาอยากจะทำมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงอย่างไรในสายตาของเขา คนพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็น ‘คนไร้ใจ’ ทั้งสิ้น
เคราะห์ดีที่เขายิงไปยัง ‘คนไร้ใจ’ ซึ่งกำลังก้มตัวเตรียมพุ่งเข้ามาหาตัวเอง และยิงไปในอากาศ ไม่ใช่พื้นดิน ดังนั้นจึงไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุนี้
ภายใต้หน้าต่างอีกบานหนึ่งซึ่งไป๋เฉินก้มหลบอยู่นั้น เธอรู้สึกราวกับว่าถ้าหากไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ตาไม่มองดู หูไม่ฟังเสียง ไม่ตอบสนองต่อเรื่องราวใดๆ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพหลอนมากนัก จะไม่พลั้งมือกระทำในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก
เจี่ยงไป๋เหมียนกระโดดกลิ้งม้วนตัวไปยังประตูทางเข้าออก
ขณะที่กำลังเปิดประตูออกพร้อมกับหยิบลูกระเบิดจากกระเป๋าเป้ยุทธวิธีซึ่งสะพายหลัง ขว้างออกไปข้างนอกให้เกิดเสียงดัง จะได้สร้างความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากกำลังเสริม เธอก็พลันตกตะลึงในทันที
นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่… ทำไมถึงได้หุนหันพลันแล่นอย่างนี้… ไม่ใช่ว่ากำลังรอให้ซางเจี้ยนเย่า ‘ไล่ตรวจสอบ’ จิตสำนึกข้างนอกให้เสร็จ ‘เกลี้ยกล่อม’ มนุษย์จริงๆ ให้ ‘เลิกล้ม’ จากนั้นก็ใช้ ‘ระเบิด’ มือเพื่อ ‘แจ้งเรื่อง’ ให้ยามจักรกลกับอารามหนานเคอหรอกเหรอ… ในขณะที่ความคิดกำลังวิ่งพล่าน เจี่ยงไป๋เหมียนก็กวาดสายตาไปทางซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าโยนโทรโข่งทิ้งไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังจะวิ่งผ่านหน้าเธอออกไปนอกประตู
ลำโพงตัวเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากเขานักยังคงเล่นเพลงต่อไปเรื่อยๆ
“ถามเส้นทาง ว่าต้องไปทิศไหน…”
วินาทีถัดมา ด้านนอกบาร์ ‘พิราบไพร’ จุดที่ห่างจากผู้คนไปหลายสิบเมตรก็พลันมีเสียงคำรามแหลมสูงของสัตว์ป่าดังขึ้นมา
“โฮกกก!”
เสียงคำรามนี้ดังมากจนไม่เพียงแต่จะฝ่าทะลุภาพมายาลวงตามาได้ มันยังดังเสียจนเจี่ยงไป๋เหมียนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนเต็มหูอีกด้วย
ด้วยเสียงร้องคำรามนี้ ลมกระโชกแรงก็พลันสงบนิ่งไปในทันที เหล่าบรรดา ‘คนไร้ใจ’ ในสายตาแดงก่ำของหลงเยว่หงก็กลับกลายเป็นคนธรรมดา แสงไฟที่หรี่สลัวภายในบาร์ก็กลับมาสว่างไสวดังเดิม
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้หยุดชะงัก เขาวิ่งออกไปยังตำแหน่งที่เกิดเสียงร้องคำรามอย่างสุดฝีเท้า
เขาต้องการย่นระยะห่างให้สั้นลงจนเข้าไปอยู่ในระยะขอบเขตพลังพิเศษของตน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย รีบคว้าปืนพกแล้วตามไปติดๆ ทันที
เธอต้องการจะยิงเพื่อขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสสร้างภาพหลอนขึ้นมาอีก
เวลาผ่านไปไม่เร็วไม่ช้า ซึ่งเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ซางเจี้ยนเย่ากลิ้งม้วนตัวแล้วใช้สองมือยันร่าง มองไปในมุมมืดของถนนอีกสาย
ดวงตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นดำมืดในบัดดล
‘คนไร้เหตุผล’!
วินาทีถัดมาก็มีเงาร่างสายหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่ากระโดดมาจากที่ใด เข้ามาในบริเวณที่แสงไฟถนนส่องถึง เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างโอ่อ่าผ่าเผย
เขามีเส้นผมขาวหงอกยาวยุ่งเหยิง เป็นชายชราที่อายุล่วงเลยผ่านพ้นวัยหกสิบปีมาแล้ว บนร่างมีเสื้อผ้าขาดวิ่นรุ่งริ่งสารพัดชนิดราวกับว่าดึงออกมาจากร่างคนตายมากมาย แล้วสวมทับซ้อนเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า
ใบหน้าเขาบิดเบี้ยว ดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ มุมปากยังเหลือคราบสีแดงทิ้งไว้
เจี่ยงไป๋เหมียนยกปืนพกขึ้นอย่างไม่ลังเล
ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าของเธอซึ่งควรจะ ‘ค้นหาเป้าหมาย-ยิงใส่เป้าหมาย’ กลับผิดพลาด
เธอไม่ได้เล็งไปยังเป้าหมาย แต่กลับเป็นท้องฟ้า!
ปัง!
กระสุนของเจี่ยงไป๋เหมียนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าแห่งรัตติกาล
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันนั้นเอง เธอก็เห็นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นยกมือขวาขึ้นมา
ในมือเขาถือ ‘ยูไนเต็ด 202’ เอาไว้
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของเจี่ยงไป๋เหมียนคือต้องพุ่งม้วนตัวเพื่อหลบหลีก แต่เธอกลับทำเพียงแค่คิด ไม่ได้ลงมือกระทำ ถึงแม้จะอยู่ในท่าเตรียมพุ่งออกไปแต่ก็หยุดชะงักค้างอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
นี่ราวกับว่าในการ ‘ทดสอบการสะท้อนกลับของกระดูกสะบ้า’ ที่เมื่อเคาะลงไปที่หัวเข่าแล้วแทนที่หน้าแข้งจะแกว่งกระตุก แต่กลับยกแขนขึ้นมา
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองต่อจิตใต้สำนึกของซางเจี้ยนเย่าในสถานการณ์นี้ควรจะเป็น ‘พันธนาการมือ’ เพื่อไม่ให้เป้าหมายเหนี่ยวไกยิงปืน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเลือกใช้ ‘ตัวตลกอนุมาน’ เสียอย่างนั้น
“คุณดู…”
เขายังไม่ทันจะพูดจบ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็เล็งไปที่เจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว
แต่แล้วในตอนนี้เอง เจ้าอารามหนานเคอ โจวเยว่ ที่ ‘รำถวายเทพ’ ตามทิศทางเสียงคำรามก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้ว
ทันทีที่เธอเห็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยืนอยู่ใต้แสงไฟถนน เธอก็โยนไฟฉายทิ้งไปโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นก็ปล่อยนิ้วหัวแม่มือออกจากปากขวดแล้วปาขวดพลาสติกที่บรรจุน้ำใส่เป้าหมาย
ขวดน้ำหมุนควงลอยไป น้ำที่อยู่ข้างในกระฉอกหกออกมาตลอดทาง
ในขณะที่ตนเองยังไม่ตกเป็นเป้าหมายและยังไม่ได้ถูกผลกระทบ โจวเยว่ใช้มือข้างที่ว่างลงหลังจากโยนไฟฉายทิ้งไป รีบปลดกระจกแปดทิศซึ่งห้อยไว้กับเชือกป่านที่มัดรอบเอวออกมาแล้วส่องไปทางศัตรู
ในการกระทำต่างๆ เหล่านี้ดูแล้วไม่น่าจะเกิดผลใดๆ ทว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลับไม่ได้เหนี่ยวไกปืน
เขารีบยกสองมือขึ้นมาบังใบหน้าทันที
จากนั้นเขาก็คำรามเสียงต่ำ หมุนร่างรีบหนีไปอย่างลนลาน
เสียงดังตุ๊บ ขวดพลาสติกซึ่งหลงเหลือน้ำอยู่เพียงเล็กน้อยตกกระทบพื้น ร่างของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นล้มลุกคลุกคลานแล้วห้อตะบึงเข้าไปในความมืดมิดที่แสงไฟถนนส่องไปไม่ถึง
เจี่ยงไป๋เหมียนรวบรวมเรี่ยวแรงยิงไล่หลังไป แต่ก็ไม่ทันการแล้ว
สิ่งที่ยังเหลืออยู่ในสายตาเธอมีเพียงแค่เรือนผมหงอกเทาที่ยาวยุ่งเหยิง
“โชคดีที่ใช้ได้ผล…” เมื่อเจ้าอารามหนานเคอ โจวเยว่เห็นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นหลบหนีไปแล้วก็โล่งอกถอนหายใจยาว
เธอยังพูดไม่ทันจบดี เสาไฟถนนที่ข้างตัวเธอก็พลันมีเสียงสังเคราะห์ดังออกมาจากกล้องวงจรปิด
“แก้ไขระบบผิดพลาด เริ่มต้นระบบใหม่”
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกประหลาดใจที่การแสดงประดุจนักพรตไล่ผีของโจวเยว่กลับได้ผล ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วมุ่นไปด้วย
เห็นได้ชัดมากขึ้นทุกขณะว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นสามารถส่งอิทธิพลต่อสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าและรบกวนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้จริงๆ
นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้ยามจักรกลถึงได้ขาดการติดต่อไป… โชคดีที่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าร่างกายมนุษย์เองก็มีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพด้วยเหมือนกัน ก็เลยไม่ได้จัดการกับเรื่องนี้ เฮ้อ… ความรู้คือความแข็งแกร่งจริงๆ ด้วย… ในระหว่างที่ความคิดยังคงไหลเวียนวน เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่า