ซางเจี้ยนเย่ามองเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยากทดลอง
ราวกับเขาต้องการพกพาน้ำมนต์ แขวนกระจกแปดทิศ สะพายกระบี่ไม้ท้อ แล้วออกไป ‘สัประยุทธ์ชิงชัย’ กับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น
นี่เป็นคำศัพท์ที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้มาเมื่อครั้งที่รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนิกาย ‘นิรันดร์ยืนยง’
แต่ซางเจี้ยนเย่าก็ละสายตากลับมาโดยเร็วก่อนจะเดินไปยังกล้องวงจรปิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกว่าได้เจอ
คนกันเองเสียที
“ในที่สุดแกก็พูดได้แล้ว!
“ฉันยังคิดว่าแกตายไปแล้วซะอีก นี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะต้องจัดงานศพให้หรือเปล่า เตรียมทำบุญเจ็ดวัน…”
กล้องวงจรปิดตัวนั้นเงียบเสียง ไม่มีการตอบสนอง
ซางเจี้ยนเย่ารีบเข้าประเด็นทันที
“รีบแจ้งเกอนาวาเร็วเข้า บอกเขาว่าเป้าหมายลงจากเขามาแล้ว”
กล้องวงจรปิดสร้างเสียงสังเคราะห์ทางอิเล็กทรอนิกส์ออกมาอีกครั้ง
“กรุณารอสักครู่ ผมจะช่วยคุณถ่ายทอดสัญญาณไปให้ผู้การเกอนาวา”
ซางเจี้ยนเย่าชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถามอย่างตื่นเต้น
“ที่จริงแล้วแกเป็นโทรศัพท์ที่ปลอมตัวเป็นกล้องวงจรปิดสินะ”
กล้องวงจรปิดตอบด้วยเสียงไร้อารมณ์ในขณะที่กำลังเชื่อมต่อสัญญาณไปด้วย
“ผมเป็นหุ่นยนต์ตรวจตราแบบมัลติฟังก์ชัน”
ทันทีที่มันพูดจบ เสียงผู้ชายที่ทุ้มนุ่มหูของเกอนาวาซึ่งเจือความรู้สึกของเสียงสังเคราะห์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ นั่นใครเหรอครับ”
“พี่น้องคุณไง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
“…” ที่ปลายสายของกล้องวงจรปิด เกอนาวามองเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใคร
เขาข้ามคำถามก่อนหน้านี้ไปแล้วถามขึ้น
“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นบุกเข้ามาในเมือง คนในบาร์ตกอกตกใจกันหมด คุณรีบมาดูเถอะ”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็พูดรู้เรื่องเสียที เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดกับหลงเยว่หงและไป๋เฉินที่อยู่ตรงประตูร้าน ‘พิราบไพร’
“เปิดประตูหน้าต่าง ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ”
ความหมายโดยนัยของเธอก็คือระบายอากาศเพื่อให้แก๊สกล่อมประสาทที่ยังหลงเหลือตกค้างอยู่ระเหยไป ไม่ให้คนอื่นสามารถเก็บไปวิเคราะห์องค์ประกอบจนส่งผลต่อการนำมาใช้ในภายภาคหน้า
หลังจากหลงเยว่หงกับไป๋เฉินง่วนอยู่กับคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินเข้าไปหาเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ซึ่งสะพายกระสอบถือกระจกแปดทิศ ถอนหายใจพูดขึ้น
“เจ้าอารามโจว ข้าวของพวกนี้ใช้ได้ผลจริงๆ!”
เมื่อครู่นี้เธอเห็นได้อย่างชัดเจนเต็มตาว่าเป็นเพราะโจวเยว่ใช้ขวดที่บรรจุน้ำและกระจกแปดทิศที่ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน ทำการ ‘โจมตี’ ใส่จนทำให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นตกใจกลัวจนลนลานหนีไปโดยไม่ได้เหนี่ยวไกยิงปืน
โจวเยว่หัวเราะฮาฮา
“ของพวกนี้เป็นวัตถุมงคลที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์นิกายเราน่ะ ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่ามันใช้การได้จริงๆ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองบาร์ ‘พิราบไพร’ ก่อนจะกล่าวอย่างครุ่นคิด
“ก่อนหน้านี้ฉันสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่เข้าไปในบาร์เพราะกลัวแสง เขาก็เลยสร้างภาพลวงตาเพื่อให้เกิดความวุ่นวายก่อนถึงจะเข้าไปล่า แต่หลังจากที่เห็นเขายืนอยู่ใต้แสงไฟถนนถึงได้รู้ว่าที่ฉันเดาไว้น่ะผิดถนัด และนอกจากนั้นตอนที่เขาลงมือเข่นฆ่าในภูเขาตะวันตกเฉียงใต้นั่นก็เป็นตอนกลางวันด้วย
“เจ้าอารามโจว ฉันเห็นว่าตอนที่คุณพบ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยืนอยู่ใต้ไฟถนน คุณก็รีบโยนไฟฉายทิ้งทันที นี่เป็นเพราะว่าคิดแบบเดียวกันฉันหรือเปล่า”
โจวเยว่ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตอบคำ เธอก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ว่าแต่ว่านะ พวกเรารู้จักกันด้วยเหรอ”
“ผู้หญิงที่สูงขนาดฉันเนี่ย คุณน่าจะเคยเจอไม่กี่คนหรอกนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ
“ใช่ ใช่ ใช่ ถึงฉันจะจำหน้าคุณไม่ได้ แต่รูปร่างลักษณะนี่ฉันจำได้แม่นเลยเชียว คุณก็คือสมาชิกทีมสี่คนนั่นเอง…”
ในขณะทั้งคู่กำลังสนทนากันอยู่ ก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง จากนั้นหุ่นยามจักรกลหลายตัวที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ก็เดินเท้าตรงรี่มาที่หน้าบาร์ ‘พิราบไพร’ ด้วยความเร็วประหนึ่งรถวิ่ง
ผู้ที่นำขบวนมาก็คือเจ้าเมืองทาร์นัน เกอนาวา
เมื่อเหล่าหุ่นสมองกลปรากฏตัวขึ้นมากมายในเวลาเดียวกัน อย่าว่าแต่โจวเยว่เลย แม้กระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ถึงกับวิงเวียนตาลาย แทบจะแยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน
แต่หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วเธอก็พบว่าหุ่นสมองกลพวกนี้ยังมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความสูงต่ำ ความยาวแขน ความโค้งมนของใบหน้า ความหนาของร่างกาย และอื่นๆ ไม่มีตัวใดที่เหมือนกันอย่างสมบูรณ์
ในบรรดาหุ่นเหล่านี้ เกอนาวามีใบหน้าเหลี่ยม ความสูงมากกว่าค่าเฉลี่ย ดูค่อนข้างบึกบึนล่ำสัน
และที่แตกต่างไปจากหุ่นตัวอื่นๆ มากที่สุดจนเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือหมวกทหารสีเขียวแก่ที่สวมอยู่นั้นมีสัญลักษณ์ ‘0’ ‘1’
ไม่รู้ว่าที่พวกมันแตกต่างกันแบบนี้เป็นตั้งแต่ออกมาจากโรงงานเลยเพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละตัวจะมีลักษณะอย่าง
จำเพาะเจาะจง หรือว่าต้องสะสมแต้มส่วนร่วมกันเอาเองเพื่อเอาไว้ซื้อชิ้นส่วนให้ตัวเอง ดัดแปลงด้วยตัวเอง… เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
“ทีมพวกคุณเข้าไปดูชาวเมืองข้างใน ตรวจดูว่ามีใครต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลบ้าง” เกอนาวาพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาสามคน
ยามจักรกลหนึ่งทีมประกอบไปด้วยหุ่นสมองกลสามถึงสี่ตัว และมีหุ่นจักรกลธรรมดาอีกหลายตัวเป็นลูกมือไว้คอยช่วยเหลือ
ดังนั้นยามจักรกลที่ขาดการติดต่อไปในภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้จึงไม่ได้มีเพียงแค่หุ่นสมองกลสิบตัวเท่านั้น
“ทีมของคุณให้ค้นหารอบบริเวณ รักษาการติดต่อสื่อสารเอาไว้ตลอดเวลาด้วย…” เกอนาวาแจกแจงทีละคำสั่ง จากนั้นก็เดินไปหาพวกเจี่ยงไป๋เหมียน
“เป้าหมายหนีไปแล้วเหรอ” ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับทราบข้อมูลทั่วไปจากซางเจี้ยนเย่าแล้ว แต่ก็ยังถามอย่างระมัดระวังออกมาประโยคหนึ่ง
ชิปหลักของมันนั้นได้วิเคราะห์ประเมินพฤติกรรมและคำพูดของซางเจี้ยนเย่าออกมาได้ว่า…
บุคคลผู้นี้มีปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิต คาดว่าอาจจะเป็นผู้ตื่นรู้
แต่จากทัศนคติของซางเจี้ยนเย่าที่ทำเหมือนตนเองเป็นพี่น้อง ทำให้เกอนาวารู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายสละไปนั้นน่าจะไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำถามก็ผงกศีรษะ
“ต้องขอบคุณเจ้าอารามโจว”
ที่พูดไปนั้นเป็นความจริง อีกทั้งยังเป็นการปกปิดการกระทำของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไปด้วยในตัว
เกอนาวาหมุนลำคอโลหะหันไปทางโจวเยว่
“ขอบคุณมาก”
สำหรับเขาผู้ซึ่งรับผิดชอบด้านความปลอดภัยสาธารณะและการป้องกันทาร์นั้น หากในครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแล้ว คงไม่แคล้วที่ตนจะต้องถูกไล่ออกและถูกย้ายกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ เป็นแน่แท้
“ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณองค์ผู้ครองกาลล่ะ” โจวเยว่เอนร่างท่อนบนไปด้านหลังพลางยกสองมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อคารวะองค์เทพี ‘มายาฉาย’ ในอากาศ
เกอนาวาหันไปถามเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าต่อ
“ยังมีคนอื่นที่ถูกโจมตีอีกไหม”
“มีพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตามจริง
หลังจากที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นถูกไล่เตลิดไป เธอก็สงสัยใจอยู่ว่าพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ อีกสิบสามคนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นยังไงกันบ้าง
แน่นอนว่าเธอเพียงแค่คิดเฉยๆ เท่านั้น สำหรับโจรพวกนี้แค่เธอไม่ยิงลูกปืนให้กินสักสองสามนัดก็ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว การจะให้เธอจัดทีมออกไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือพวกมันก็ฝันไปเถอะ
เกอนาวารีบติดต่อทีมหุ่นสมองกลที่รับผิดชอบเรื่องการค้นหาทันทีโดยใช้โมดูลสื่อสารที่ติดตั้งไว้ ก่อนจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟังโดยสังเขป
เพียงไม่นานนักก็ได้รับรายงานจากทีมนั้นกลับมา
“พบแล้ว
“มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่เหลือนอนจมกองเลือดในสภาพหลับใหล ขนาดตัวหนาวสั่นก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา”
“นับว่ายังโชคดี” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าเขาเปรียบเทียบกับกรณีของจางเก้า
ในเวลานี้ทีมหุ่นสมองกลที่รับผิดชอบด้านในบาร์ ‘พิราบไพร’ ได้นำส่งชาวเมือง นักล่าซากอารยะ และสมาชิกคาราวานที่ได้รับบาดเจ็บไปยัง ‘โรงพยาบาลทั่วไปทาร์นัน’ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อยู่ในภาวะสิ้นสติด้วย
เมื่อเกอนาวาเห็นเช่นนี้จึงสั่งผู้ช่วยของตน
“ชาร์ลี ไปเชิญผู้รับผิดชอบนิกายใหญ่ทั้งหมดมาปรึกษาหารือเรื่องว่าจะรับมือเรื่องนี้กันยังไง”
แล้วในตอนนี้โจวเยว่ก็ร้อง “เอ๊ะ” ขึ้นมา
“ที่แท้ก็คือผู้การเกอนาวานี่เอง”
ป่านนี้เพิ่งจะจำได้เรอะ… เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนขอดอยู่ในใจ แล้วหันไปพูดกับเกอนาวา
“งั้นที่นี่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเราแล้วใช่ไหม”
เมื่อครู่มีหุ่นจักรกลมาสอบถามพวกเขาทีละคนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ด้วย
ในด้านนี้ ถึงแม้ว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ จะไม่ได้นัดแนะกันล่วงหน้า แต่พวกเขาก็นับว่ามีความเจนจัดเพียงพอที่จะบอกเล่าวีรกรรมของตัวเองอย่างคลุมเครือ ไม่ลงรายละเอียดใดๆ พูดถึงเพียงแค่ประเด็นพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนเรื่องการเชื่อมโยงเนื้อหาแต่ละส่วนนั้น แน่นอนว่าต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทีมอย่างเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นผู้รับมือ หากมีใครถามรายละเอียดอะไรก็โยนไปว่าเป็นเพราะภาพหลอน
“พวกคุณไปได้” เกอนาวาหยุดไปอึดใจแล้วพูดต่อ “แต่ว่าในอนาคตอาจจะต้องรบกวนพวกคุณอีก”
ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของมันกวาดมองพวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ
“พวกคุณทำได้ดีมาก”
“นี่คุณดูออกด้วยเหรอ” ผู้ที่ถามออกมาคือซางเจี้ยนเย่า
“พวกเราพอจะเข้าใจสถานการณ์ของจางจิ้นได้คร่าวๆ ดังนั้นในข้อเท็จจริงที่ว่าบาร์ ‘พิราบไพร’ ไม่เกิดเหตุน่าสลด ก็เพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความสามารถของพวกคุณแล้ว” เกอนาวาอธิบายสั้นๆ
จากนั้นก็เสริมอีก
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร พี่น้องกันไม่จำเป็นต้องขอบคุณให้มากความ” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวด้วยสีหน้ามีคุณธรรมประดุจดั่งป๋ออวิ๋นเทียน
ดูเหมือนว่าโปรแกรมของเกอนาวานั้นไม่มีอัลกอริทึมสำหรับตอบสนองถ้อยคำพวกนี้ ดังนั้นมันจึงทำเพียงแค่เงียบ ไม่ตอบสนองอะไร
หลังจากกล่าวอำลาเกอนาวาแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับไปยังโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ ด้วยความระแวดระวัง ตลอดทางไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก
ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรม ไอนอร์กำลังขดตัวจ้องมองคอมพิวเตอร์ตัวสั่นเทิ้ม
“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความห่วงใย
ไอนอร์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา แล้วตอบด้วยเสียงสั่นฟันกระทบกึกๆ กักๆ
“ฉันกำลัง… กำลังดูหนังผีอยู่น่ะ”
กลัวจนน้ำตาเล็ดเลยเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าผู้หญิงที่ดูภายนอกเหมือนอายุสามสิบกว่า แต่มักพูดด้วยน้ำเสียงสาวใหญ่วัยเกินห้าสิบผู้นี้ กลับมีจิตใจอ่อนไหวราวกับเด็กสาว
แม้ว่าพวกซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงจะไม่เคยดูหนังผีก็จริง แต่รายการวิทยุใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นบางครั้งก็เคยมีเล่าเรื่องผีอยู่บ้าง ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความหมายของคำนี้ได้โดยไม่ลำบากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาต่างก็ชะโงกหน้าเข้าไปมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของไอนอร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บนหน้าจอนั้นจู่ๆ ก็มีใบหน้าซีดขาวเต็มจอ เผยให้เห็นปากที่เปื้อนเลือด
หลงเยว่หงเห็นเข้าก็ตกใจจนหัวใจแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวดังอยู่ข้างหู
เขาคิดจะหลุบตัวกลับไปตามสัญชาตญาณทันที แต่ก็ไม่อยากแสดงความขี้ขลาดให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะเป็นไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า รวมไปถึงเจี่ยงไป๋เหมียน จึงได้แต่พยายามฝืนใจเอาไว้
“น่าเกลียดชะมัด” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นออกมาอย่างจงใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหมอนี่มีข้ออ้างดูหนังผี รีบพูดขึ้นทันที
“งั้นพวกเรากลับห้องก่อนนะ มีเรื่องต้องทำอีกน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาอย่างอิดออดไม่เต็มใจ ส่วนหลงเยว่หงนั้นถึงแม้ว่าจะกลัวแต่ก็อดแอบมองหน้าจอไอนอร์ต่อไม่ได้เพราะอยากรู้ว่าจะบนหน้าจอจะเป็นยังไงต่อ
หลังจากกลับไปยังห้อง 221 เจี่ยงไป๋เหมียนก็งับปิดประตูไม้ก่อนจะมองไปรอบๆ
“อย่าลืมเรื่องทบทวนหลังศึก
“ฉันขอถามคำถามแรกนะ
“พวกนายคิดว่าอะไรที่ทำให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวจนเผ่นแน่บไป”
ไป๋เฉินคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เอ่ยปากตอบอย่างใจเย็น
“น่าจะเป็นกระจกนั่น กระจกแปดทิศน่ะ”
* * * * *