ที่ประตูโรงงานเหล็ก หลงเยว่หงถือวิทยุสื่อสารตอบคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน
“จิ้งฝ่า! เขาบอกว่าชื่อจิ้งฝ่า!”
คู่สนทนาอีกฝั่งของวิทยุสื่อสารเงียบไปสองวินาที เสียงคลื่นแทรกดังซ่าๆ เป็นระยะ
ทันใดนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ถอนกำลังกลับมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อพูดจบเธอก็รีบปิดสวิทช์วิทยุสื่อสารทันที
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหัวหน้าทีมถึงมีปฏิกิริยารุนแรงนัก ไม่ถามด้วยซ้ำว่าหลังจากเจอกับจิ้งฝ่าแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า หรือถามพวกเขาเป็น ‘ผู้ถูกลิขิต’ หรือไม่ แต่กลับสั่งให้ถอนกำลังทันที
แม้ว่าจะยังงุนงงอยู่บ้างแต่ทั้งคู่ก็ไม่คิดจะขัดคำสั่งของเจี่ยงไป๋เหมียน ด้านหนึ่งก็คือทำตามขั้นตอนมาตรฐานปฏิบัติการของแผนกความมั่นคง เมื่อออกภาคสนามต้องเชื่อมั่นในประสบการณ์และการตัดสินใจของหัวหน้าทีม อีกด้านหนึ่งก็เพราะว่ารู้สึกกลัวหลวงจีนจักรกลที่พูดแต่ทฤษฎีประหลาดพิลึกพิลั่น
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกัน ถือปืนไรเฟิลจู่โจม ก้มตัวเล็กน้อย ก้าวยาวขึ้น รีบวิ่งออกจากโรงงานเหล็กทันที
ด้วยร่างกายที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมควบคู่ไปกับการฝึกหนักอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะรักษาสภาพการวิ่งด้วยความเร็วสูงในระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งออกจากถนนที่ถูกทิ้งร้างและเลี้ยวกลับมายังตำแหน่งที่รถจี๊ปซ่อนอยู่ ถึงได้ชะลอฝีเท้าและสูดหายใจไปสองสามครั้ง
รถจี๊ปแล่นออกจากจุดซ่อนตัวมาก่อนแล้ว จอดแวะรับพวกเขาขึ้นรถไป
ไป๋เฉินกลับมานั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับอีกครั้ง
ปัง! ปัง!
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกระโดดขึ้นเบาะหลังแล้วปิดประตู
แฮ่ก! แฮ่ก!
ทั้งสองสูดหายใจเฮือกใหญ่
“เร่งความเร็วเต็มที่!” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่งไป๋เฉินแล้วหันมาถามซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง “ตอนใช้วิทยุสื่อสาร อยู่ห่างจากจิ้งฝ่าแค่ไหน”
“ก็ไกลอยู่นะ เราอยู่ที่ประตู แฮ่ก… ทางเข้าโรงงานเหล็ก ส่วนจิ้งฝ่า แฮ่ก… ตอนนั้นน่าจะอยู่หลังปล่องไฟ มองกันไม่เห็นแล้ว” หลงเยว่หงหอบขณะตอบ
เขามองไม่เห็นจิ้งฝ่าจึงทำได้เพียงแค่คาดคะเนแบบคร่าวๆ โดยอิงจากทิศทาง ความเร็วโดยประมาณ และเวลาที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการประเมินที่ไม่ได้แม่นยำมากนัก เพียงแค่สำหรับใช้อ้างอิงเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจแผนผังอาณาเขตของพื้นที่ซากปรักหักพังของโรงงานเหล็กเป็นอย่างดี เธอคิดทบทวนจากความทรงจำแล้วพูดขึ้น
“ระยะห่างเท่านั้นยังไม่น่าจะปลอดภัยสักเท่าไหร่… ระบบตรวจจับเสียงของหลวงจีนจักรกลสามารถจับการเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างไกล
“ไป๋เฉิน ไม่ต้องสนใจเรื่องแบตเตอรี่รถ ไม่ต้องกลัวรถคว่ำด้วย รักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้”
หลงเยว่หงสังเกตเห็นว่าหัวหน้าทีมของพวกเขาหยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมาแล้วเอาระเบิดหนักที่บรรจุอยู่ออก จากนั้นใส่ลูกระเบิดที่มีพลังทำลายรุนแรงยิ่งกว่าเดิมลงไปแทนที่
“หัวหน้า จิ้งฝ่าบอกว่าพวกเราไม่มีวาสนากับชุมนุมหลวงจีน พวกเราไม่ต้องกังวลกันมากก็ได้” เขารีบแจ้งข้อมูลสำคัญเพื่อไม่ให้เจี่ยงไป๋เหมียนตระหนกเกินไป
เจี่ยงไป๋เหมียนมองกระจกหลัง สั่นศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“ไม่ใช่เรื่องนั้น
“พวกนายก็เคยเรียนมาแล้วว่าเทคโนโลยีของ ‘นิรันดร์กาล’ นั้นมีข้อบกพร่องอยู่ หลวงจีนจักรกลทุกคนจะมีปัญหาบางเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจ
“ปัญหาพวกนี้แต่ละคนก็ต่างกันไป และตามข้อมูลที่บริษัทได้รวบรวมไว้ จิ้งฝ่า อืม… เขาเป็นหนึ่งในหลวงจีนจักรกลที่ออกจาริกบนแดนธุลีบ่อยมาก ปัญหาที่สำคัญของเขาก็คือ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดชั่วอึดใจก่อนพูดต่อ
“เกลียดผู้หญิงมาก!”
“หือ” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเข้าใจความหมายของทั้งสามคำนี้ แต่ยังไม่ค่อยชัดเจนว่าหมายถึงอะไรหรือร้ายแรงขนาดไหน
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองไป๋เฉินก่อนพูด
“ถ้าหากจิ้งฝ่าเจอผู้หญิง หรือแม้จะแค่ได้ยินแต่เสียง เขาจะคุ้มคลั่งและทำร้ายคนรอบข้างไม่เลือกหน้า
“และจากร่องรอยที่หลงเหลือบนศพบางศพ เขามีแนวโน้มว่าล่วงละเมิดศพด้วย…”
“เฮ้ย เขาเป็นแค่หุ่นจักรกลเองนะ…” หลงเยว่หงนึกภาพไม่ออก
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ
“น่าสยองใช่ไหมล่ะ… อ่อ ใช่ พวกนายคนไหนจะเป็นคนสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรง”
ยังไม่ทันที่ซางเจี้ยนเย่าหรือหลงเยว่หงจะได้ตอบ สีหน้าของเธอที่เคร่งเครียดอยู่แล้วก็พลันเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นอีก
“เงียบก่อน”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเข้าใจทันที ต่างพากันหันหน้าไปนอกหน้าต่าง มองหาร่างของหลวงจีนจักรกลห่มจีวรแดง
แต่พวกเขาก็เห็นเพียงแค่ป่าโปร่ง ผืนดินสีเทาชื้นแฉะ บึงน้ำสีดำ ก้อนหินขนาดน้อยใหญ่ ไม่มีอย่างอื่นอีก
ในตอนนี้มีหลุมบ่อและก้อนหินมากมายอยู่ด้านหน้า ไป๋เฉินจำต้องชะลอรถ
เพราะถ้าหากรถพลิกคว่ำขึ้นมา ปัญหาจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นอีก
มือซ้ายเจี่ยงไป๋เหมียนที่ถือปืนยิงระเบิดเอาไว้ เลื่อนลงไปแตะข้อศอกขวาของไป๋เฉินเงียบๆ
ไป๋เฉินไม่ได้หันหน้ามา ขณะที่หักพวงมาลัยไปทางซ้ายก็ลดความเร็วรถลงจนเกือบจะเท่ากับความเร็วตามปกติ
ช่วงเวลาระหว่างนี้หน้าต่างสองด้านของรถจี๊ปก็เลื่อนเปิดออก
ทันใดนั้นร่างสีดำที่สวมชุดหลวงจีนขาดวิ่นห่มจีวรสีแดงก็พลันกระโดดลงมาจากต้นไม้ข้างทาง แล้วพุ่งตรงไปยังตำแหน่งของเจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่เบาะหน้าด้านข้างคนขับ ร่างนั่นก็คือหลวงจีนจักรกลที่บอกว่าตนเองเป็นพระ จิ้งฝ่า!
แต่ก็ราวกับว่าเจี่ยงไป๋เหมียนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เธอยกปืนยิงระเบิดขึ้นมารอไว้แล้วเล็งไปที่ ‘นิรันดร์กาล’
ทั้งหมดนี้เมื่อมองดูแล้วก็ราวกับว่าจิ้งฝ่าเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาระเบิดเสียเอง
ลูกกระสุนระเบิดที่บรรจุระเบิดพลังทำลายสูงมีความรุนแรงมากเพียงพอสำหรับสร้างความเสียหายให้กับหลวงจีนจักรกลได้
แต่ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะเหนี่ยวไกนั้นเอง ดวงตาสีแดงบนใบหน้าโลหะของจิ้งฝ่าก็กะพริบขึ้น
ในฉับพลันทันใด เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นผู้คนมากมาย
ร่างเหล่านั้นเป็นเหมือนภาพลวงตาเลือนลาง แต่ละร่างนอนเกลือกกลิ้งอยู่รายรอบ ต่างคว้าเอาดิน หิน ใบไม้ยัดใส่ปากตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
ท้อง ‘พวกเขา’ พองป่องราวกับจะแตกออกได้ทุกเมื่ออันเนื่องมาจากสิ่งที่กินเข้าไป แต่ ‘พวกเขา’ กลับยังไม่รู้สึกอิ่ม ยังคงกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ราวกับจะกลายเป็นหนึ่งในคนพวกนี้ ทางด้านสรีรร่างกายแล้วเธอไม่ได้รู้สึกหิว แต่ทว่ากลับรู้สึกว่าตัวเองหิวมาก รู้สึกว่าหิวเจียนตายจนต้องหาอะไรมากินให้ได้
ด้วยแรงกระตุ้นนี้ ด้วยการรับรู้ในจิตนี้ ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอคลายนิ้วชี้มือขวาที่แตะไกปืนออกทันที วางปืนยิงระเบิดกลับลงไปบนตัก
แล้วเธอก็รีบหยิบถุงบิสกิตอัดแข็งออกมาฉีกซองอย่างบ้าคลั่งก่อนจะยัดอาหารใส่เข้าปาก
ในระหว่างนี้ แม้กระทั่งดื่มน้ำเธอก็ไม่อาจทำได้ ทำให้สำลักจนตาเหลือก ไม่สามารถกลืนอาหารต่อไปได้อีก
ไม่ใช่เพียงแค่เธอคนเดียว ไป๋เฉินเองก็แตะเบรคแล้วกินธัญพืชอัดแท่งอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน ซางเจี้ยนเย่ากับหลวเยว่หงก็หยิบอาหารออกมากิน เพลิดเพลินกับมื้อค่ำอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
พวกเขาต่างก็ไม่ได้สนใจว่าศัตรูตัวฉกาจที่มีชื่อเสียงเลวร้ายกำลังพุ่งเข้าหา
เสียงดังตุ้บเบาๆ หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าลงมายืนอยู่ข้างรถจี๊ป
จากนั้นเขาก็เปิดประตูฝั่งเบาะที่นั่งข้างคนขับด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวานั้นเล็งไปที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉิน ซึ่งทั้งซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่เองก็อยู่ในรัศมีการยิงด้วยเช่นกัน
แล้วจู่ๆ ในช่วงเวลาขณะนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หลุดพ้นจากภาพลวงตาแห่งความหิวโหยที่กำลังเผชิญอยู่
ภาพลวงตาจางๆ ของร่างที่ท้องบวมป่องบนพื้นดินรอบตัวได้อันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าก้มศีรษะเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเกือบจะในเวลาเดียวกัน
จิ้งฝ่าหยุดนิ่งไปสองวินาที เขาไม่ได้ใช้อาวุธเลเซอร์หรือเพลิงชำระล้างคนทั้งสี่ แสงสีแดงในดวงตาเขากะพริบสองสามครั้งก่อนจะพูดขึ้น
“ประสกคิดว่าหลวงจีนยากไร้ผู้นี้จะส่งพวกประสกไปสู่สุคติหรือ
“หลวงจีนยากไร้จะไม่ทำตามที่ประสกปรารถนา อาตมาจะจับประสกถ่วงบึงน้ำลึกก่อน จากนั้นก็จะหาสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดรบกวนเพื่อให้ประสกได้เล่นสนุกอย่างเพลิดเพลิน”
ขณะที่พูดนั้นเขาให้ความสนใจเพียงเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินเท่านั้น
สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร ราวกับว่ากำลังคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์อยู่
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ายืดตัวขึ้นมาแล้วถามเพื่อยืนยัน
“ท่านเป็นผู้ตื่นรู้เหรอ”
“ใช่” ถึงแม้จะเป็นศัตรูกันและกำลังคุ้มคลั่งเพราะเห็นผู้หญิง แต่จิ้งฝ่าก็ยังคงรักษาหลักการเรื่อง ‘บรรพชิตไม่กล่าวมุสา’
ในขณะที่สังเกตดูที่นั่งในรถ เขายังคงใช้มือขวาเล็งอาวุธเลเซอร์กับเครื่องพ่นไฟไปที่เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉิน พลางเดินมายังที่นั่งด้านหลังแล้วเปิดประตูออก
“หลวงจีนยากไร้จะนั่งตรงกลาง” จิ้งฝ่าพูดอย่างเย็นชาและไร้อารมณ์
ด้วยวิธีนี้จะทำให้เขาสามารถสอดส่องทุกคนในรถได้ทั่วถึง ปล่อยให้รถจี๊ปขับไปยังจุดหมายของตนได้อย่างราบรื่น
ซางเจี้ยนเย่ารีบลงจากรถจี๊ปและเว้นที่ให้จิ้งฝ่าราวกับว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นศัตรู
หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าไม่ได้ลดการระวังป้องกันพวกเขา นั่งลงที่ตำแหน่งกลางของเบาะหลังอย่างกล้าหาญไม่กริ่งเกรงเรื่องใด
ซางเจี้ยนเย่านั่งด้านข้าง สีหน้าราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะถามขึ้นมา
“เกลียดผู้หญิงคือข้อบกพร่องของท่านเหรอครับ”
เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘สละ’ แต่ใช้คำว่า ‘ข้อบกพร่อง’ ตามที่คนทั่วไปใช้อธิบายเกี่ยวกับหลวงจีนจักรกล
จิ้งฝ่าไม่ได้โกหก ตอบกลับมาตามความเป็นจริง
“ไม่ใช่ สิ่งที่อาตมาต้องสละก็คือ การเพิ่มความกระหายในกามารมณ์
“แต่เดิมอาตมาคิดว่าหลังจากย้ายจิตเข้าสู่ชิปหุ่นชีวจักรกลแล้วจะได้รับความสงบ ไม่ต้องถูกผลกระทบอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เช่นนั้น”
ซางเจี้ยนเย่าตระหนักได้ในทันที
“ตอนแรกผมคิดว่าสิ่งที่ท่านสละคือห้ามโกหกเสียอีก”
“ไม่มุสาคือข้อบัญญัติของชุมนุมหลวงจีน” จิ้งฝ่าตอบซางเจี้ยนเย่าทุกคำถาม “อย่างไรเสียพวกประสกก็ต้องถูกปลดเปลื้องอยู่แล้ว จะรู้หรือไม่รู้จึงไม่สำคัญ”
ซางเจี้ยนเย่าปิดประตูรถจี๊ป แล้วถามด้วยความสงสัย
“เมื่อครู่คือพลังอะไรครับ”
“เส้นทาง ‘เปรตหิวโหย’ ของสังสารวัฏหกทาง[1]” ดวงตาสีแดงของจิ้งฝ่ามองไปที่ไป๋เฉิน “ออกรถ ขับตรงไป”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างซางเจี้ยนเย่ากับจิ้งฝ่า ทำเอาหลงเยว่หงกับไป๋เฉินรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระชอบกล
เห็นอยู่ว่าหลวงจีนจักรกลต้องการจับตัวพวกเขาเพื่อพาไปทรมานที่ไหนสักแห่งก่อนจะฆ่าทิ้ง แต่ซางเจี้ยนเย่ากับเขากลับพูดคุยสนทนากันราวกับเป็นสหายที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเนิ่นนานหลายปี
พอไป๋เฉินเหยียบคันเร่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า เข้าใจแล้ว!
“แกเกลียดผู้หญิงเพราะว่าร่างกายในตอนนี้ไม่สามารถปลดปล่อยเพื่อตอบสนองความต้องการได้สินะ ก่อนหน้านี้แกต้องการหลีกหนีจากเรื่องนี้ถึงได้ทำการย้ายจิต แต่นั่นกลับกลายเป็นการขยายข้อบกพร่องไปตลอดกาล ไม่มีวันจบสิ้น! สภาวะจิตของแกมันบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว มีเพียงการใช้ความรุนแรงทางกายภาพเท่านั้นถึงจะปลดปล่อยได้!
“ฮ่า ฮ่า นิกายของพวกแกไม่ใช่ว่าสอนเรื่องอายตนะทั้งหก[2]ต้องสะอาดบริสุทธิ์หรอกเหรอ แล้วทำไมจิตใจของหลวงจีนอย่างแกมันถึงได้สกปรกนักล่ะ!”
จิ้งฝ่าที่กำลังระงับความแปรปรวนของจิตสำนึกอยู่นั้นก็พลันสูญเสียการควบคุมตัวเองทันที ดวงตาสีแดงสว่างวาบ เอนตัวไปข้างหน้าเพื่อตะครุบเจี่ยงไป๋เหมียนที่เบาะข้างคนขับอย่างรุนแรง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้หลบแต่ตั้งใจเผชิญหน้า เธอพลิกแขนซ้ายไปคว้าลำคอโลหะสีดำสนิทของจิ้งฝ่า
นิ้วชี้มือซ้ายของเธอเหยียดรอไว้ล่วงหน้าแล้ว เส้นกระแสไฟฟ้าสีเงินยวงขนาดเล็กวาบขึ้น แล้วก็มีอะไรบางอย่างสอดเข้าไปในรูที่ลำคอของหลวงจีนจักรกล
นั่นคือ ‘เครื่องมือ’ ที่ติดตั้งไว้กับแขนชีวภาพพลังไฟฟ้า ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับชิป วงจร เซ็นเซอร์ และส่วนประกอบอื่นๆ ได้เพื่ออ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ และยังสามารถเจาะทะลุระบบไฟร์วอลล์[3]ได้ในระดับหนึ่ง!
หลวงจีนจักรกลนั้นนอกจากจะมีจิตสำนึกของมนุษย์แล้ว ก็ยังมีพื้นฐานโครงสร้างเป็นหุ่นสมองกลอีกด้วย
* * * * *
[1] สังสารวัฏหกทาง (六道轮回) คือ “หกเส้นทางของการเวียนว่ายตายเกิด” ในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ประกอบด้วย เส้นทางสวรรค์ (天人道), เส้นทางมนุษย์ (人道), เส้นทางเดรัจฉาน (畜牲道), เส้นทางอสุรกาย (阿修罗道), เส้นทางเปรต (饿鬼道) และเส้นทางนรก (地狱道)
[2] อายตนะทั้งหก(六根) อายตนะ หมายถึง สิ่งที่ใช้รับรู้ (อายตนะภายนอก) และการรับรู้ (อายตนะภายใน) ซึ่งก็คือประสาทสัมผัสทั้งหกของร่างกาย ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และใจสัมผัส
[3] ไฟร์วอลล์ (防火墙 Firewall) คือ ซอฟต์แวร์ (โปรแกรม) หรือฮาร์ดแวร์ (อุปกรณ์) ในระบบเครือข่าย มีหน้าที่กรองข้อมูลที่ผ่านเข้าออกเพื่อดูแลระบบเครือข่าย ป้องกันไม่ให้ระบบมีช่องโหว่ และนำไปสู่การโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์