ซางเจี้ยนเย่ารับอาหารกระป๋องมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้วางลง
ผ่านไปสองสามวินาทีถึงจะเปิดปากถามขึ้น
“มันร้องเพลงได้ไหมครับ”
“หือ” เฉินเสียนอวี่มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าหูตัวเองเริ่มมีปัญหา
ตอนนั้นเอง หลงเยว่หงที่ถือกล่องอาหารพลาสติกสีเหลืองสองกล่องเดินเข้ามาใน “ศูนย์กิจกรรม” ก็มองเห็นซางเจี้ยนเย่า
เขาทักทายด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า
“เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันสิ!”
“นายจะเลี้ยงฉันเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าวางอาหารกระป๋องในมือลงแล้วยืนขึ้น
หลงเยว่หงรีบส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด
“ไม่มีทาง
“นายยังมีแต้มอุดหนุนอยู่ตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ”
แม้ว่าพ่อแม่ของซางเจี้ยนเย่าจะไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้ แต่ว่าบริษัทก็ได้ให้แต้มอุดหนุนแก่เขาไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็ได้รับเพิ่มอีก 1,200 แต้มในแต่ละเดือน ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัยคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับเช่นกัน
นี่จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่าพอจะมีอยู่มีกิน มีเสื้อผ้าใส่ประทังไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก
แต่แต้มอุดหนุนนี้จะหยุดให้หลังจากที่จบการศึกษาและได้บรรจุงานแล้วหนึ่งเดือน
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รู้สึกอับอายที่ถูกปฏิเสธ แต่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีความสุขก็สมควรต้องแบ่งปันกับเพื่อนฝูงไม่ใช่หรือไง”
“นายจะบอกว่าการเลี้ยงข้าวเพื่อนคือการแบ่งปันที่ดีที่สุดงั้นสินะ” ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้หลงเยว่หงเริ่มคุ้นเคยกับวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่ามากขึ้น
ได้ยินสองหนุ่มพูดคุยกัน เฉินเสียนอวี่ก็หัวเราะแล้วพูดแทรก
“ใช่แล้ว เสี่ยวเยว่ เมื่อตอนบ่ายเธอยังหน้าจ๋อยเป็นหมาหงอยอยู่เลย แต่พอตกเย็นก็หน้าบานขนาดนี้ นี่ต้องเจอเรื่องดีๆ มาสินะ”
“อย่าเรียกผมด้วยชื่อเล่นสิ…” หลงเยว่หงพึมพำก่อนยิ้มแป้น “แม่บอกว่าผมไม่ต้องรอจัดสรรจับคู่ปีหน้าแล้ว เพื่อนร่วมงานของพ่อแม่มีหลายคนที่ลูกสาวไม่ได้เข้าเรียนมหา’ลัย เพิ่งได้บรรจุงาน แม่บอกว่าจะแนะนำให้ผมรู้จัก เผื่อว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อได้”
พนักงานบริษัทมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ถ้าหากว่าปล่อยโอกาสทิ้งไป ก็ต้องเข้าบรรจุงานที่ตามบริษัทจัดสรรให้ (หลังจากทำงานแล้วถ้าผลงานดีก็จะมีโอกาสได้รับการแนะนำให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยได้) ในเวลาช่วงนั้นพวกเขาเพิ่งจะอายุ 18 ปี ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าร่วมจัดสรรจับคู่แต่งงาน
หนุ่มสาวในวัยนี้มักโหยหาความรักแบบเลือกได้เอง สิ่งนี้ย่อมดีกว่าการถูกสุ่มเลือกคู่ ไม่ใช่เพราะเรื่องโชคลาภหรอก แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก
แน่นอนว่ามีน้อยคนที่สามารถเลือกคนรักได้ตามใจ นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากที่ถูกบรรจุทำงานแล้ว ทุกวันตอนเช้าต้องออกจากบ้านตั้งแต่ 7.30 น. เลิกงานกลับบ้าน 18.00 น. ต้องอยู่ประจำที่ออกไปไหนไม่ได้ ในระหว่างนั้นจะมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงสำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็น แล้วพอถึงเวลา 21.00 น. “ศูนย์กิจกรรม” ก็ได้เวลาปิดทำการ ไฟส่องทางถูกดับหมด ทุกคนต้องกลับบ้านไปพักผ่อน ดังนั้นพวกหนุ่มสาวทั้งหลายจึงแทบไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับเพศตรงข้าม และเวลาที่มีให้ระหว่างกันจำกัดมาก
ในทางกลับกัน หากเป็นที่โรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย ความรักแบบเลือกเองนั้นมีให้เห็นมากกว่า
พอหลงเยว่หงพูดเสร็จเขาพึมพำต่อ
“ไม่รู้ว่าพวกเธอจะดูถูกฉันหรือเปล่านะ ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วยังสูงแค่ 175 หล่อก็ไม่หล่อ ผลการเรียนก็ธรรมดา ไม่ถูกแผนกไหนจองตัว…”
“ทางนั้นเหมือนมีเรื่องอะไร…” ซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะหลงเยว่หงที่กำลังตัดพ้อตัวเอง พร้อมกับชี้ไปทางตำแหน่งที่อยู่ห่างจากโต๊ะยาวตัวเก่าคร่ำคร่าไม่กี่เมตร
ที่ตรงนั้นมีพนักงานหลายคนกำลังล้อมวงคุยกันอยู่
หลงเยว่หงอยากรู้อยากเห็น จึงเดินตามซางเจี้ยนเย่าเข้าไป
เขามองกวาดไปรอบๆ พอเห็นคนรู้จักก็โพล่งถามขึ้น
“น้าเหริน คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
ที่อยู่กลางวงนั้นก็คือน้าเหริน หญิงวัยกลางคน อายุราวสี่สิบปี สวมเสื้อทำจากใยสังเคราะห์ วงคิ้วงดงาม เกล้ารวบมวยผมไว้แบบง่ายๆ
เธอชื่อว่าเหรินเจี๋ย เพื่อนบ้านของหลงเยว่หง เป็นพนักงานของ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” ของบริษัท อยู่ระดับ D3
เหรินเจี๋ยมองหลงเยว่หงแล้วถอนใจ
“กำลังคุยกันเรื่องข่าวลือในช่วงนี้น่ะ”
“ข่าวลืออะไรเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
ในตอนนี้เฉินเสียนอวี่ละสายตาจากกลุ่มชน แล้วก้มมองกองอาหารกระป๋องทหารที่อยู่เบื้องหน้า อดลูบท้องกลืนน้ำลายไม่ได้
เขาเหมือนย้อนรำลึกถึงความรู้สึกที่ได้กินอาหารกระป๋องทหารในยามหิวโหยครานั้น
“มันร้องเพลงได้จริงๆ ด้วยแฮะ… ไม่สิ มันทำให้ท้องและวิญญาณร้องเพลง” เฉินเสียนอวี่รำพึงรำพันแล้วทอดถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์
ในอีกด้านหนึ่ง เหรินเจี๋ยมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลง
“ว่ากันว่าบริษัทจะยึดสิทธิ์การให้กำเนิดลูกไปจากทุกคน”
“หือ” หัวข้อสนทนานี้เกินความคาดหมายของหลงเยว่หง เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะ
เหรินเจี๋ยมองดูซางเจี้ยนเย่าที่ยิ้มอยู่ แล้วพูดต่อ
“บริษัทอาจจะขอให้สามีภรรยายที่ต้องการมีลูก ส่งมอบวัตถุทางชีวภาพของตนเองออกมา โดยจะมีแพทย์คอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือ
“จากนั้นก็จะสร้าง ‘ศูนย์ให้กำเนิด’ ขนาดใหญ่ขึ้นในเขตค้นคว้าวิจัย ซึ่งจะทำการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย พัฒนามดลูกเทียม เพื่อช่วยเหลือและแทรกแซงการเจริญเติบโตของเด็กทารก สรุปก็คือกว่าจะรอให้พวกคุณจะไปรับลูกกลับมา พวกเขาอาจจะมีอายุหลายขวบแล้วก็ได้
“เฮ้อ ทำเป็นพูดว่าจะปลดปล่อยผู้หญิงจากการตั้งครรภ์คลอดลูก เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานของบริษัท”
เมื่อเหรินเจี๋ยพูดเช่นนั้น หญิงสาววัยยี่สิบด้านข้างอดพูดขึ้นไม่ได้
“แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีหรอกเหรอ”
“จะไปดีได้ยังไง” เหรินเจี๋ยพูดด้วยสีหน้าเคร่งครึม “การตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรคือสิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพ เอ่อ… ที่สวรรค์ประทานให้กับพวกเรา จะให้เครื่องจักรแย่งไปงั้นเหรอ แล้วเธอจะสร้างสายสัมพันธ์กับลูกได้ยังไง”
“ใช่ ใช่” ชายที่นั่งเยื้องตรงข้ามเธอเสยผมแล้วพูดอย่างกังวล “ว่ากันว่าสาเหตุที่โลกเก่าถูกทำลายลง เป็นเพราะว่าทำการทดลองต้องห้ามและผิดจริยธรรมกันหลายต่อหลายครั้ง”
เหรินเจี๋ยผงกศีรษะซ้ำๆ แล้วหันไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“เสี่ยวซาง เสี่ยวเยว่ พวกเธอมีความเห็นว่าไง คิดว่าการให้ตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรนั้นเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นมนุษย์ เป็นสิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์ประทานมาให้ใช่ไหม”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“ใช่ครับ”
หลงเยว่หงเห็นน้าเหรินจ้องมองด้วยสายตาถมึงทึง จึงตอบเสียงอ่อย
“ชะ… ใช่ครับ”
“อย่างน้อยพวกเธอก็ยังเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง” เหรินเจี๋ยยิ้มออกมา
ในตอนนี้ก็พลันมีพนักงานคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา
“พวกคุณจริงจังกันเกินไปหรือเปล่า มันก็แค่ข่าวลือเอง ขนาดลุงฉันทำงานอยู่ที่หน่วยงานในสังกัดคณะกรรมการบริหารโดยตรง ไม่เห็นจะเคยได้ยินข่าวนี้เลย!”
เหรินเจี๋ยตอบด้วยท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก
“ฉันเพียงแค่เตือนให้รู้ตัวก่อนแค่นั้นเอง เมื่อถึงเวลานั้น หากมีใครมาถามความคิดเห็น ก็ต้องค้านหัวชนฝา”
บางคนนิ่งเงียบ บางคนพยักหน้า บางคนคิดต่อแล้วถามขึ้น
“ถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริง แล้วเขาจะยกเลิกการแต่งงาน ยกเลิกการจัดสรรจับคู่หรือเปล่า”
ชายคนที่ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องเล่าลือกันในโลกเก่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่หรอก
“ผู้อำนวยการจี้เคยพูดไว้ว่าการแต่งงานที่กลมเกลียวปรองดองคือหัวใจสำคัญสำหรับการประคองรักษาสภาวะจิตที่มั่นคง ของพนักงานในสภาพแวดล้อมอย่างทุกวันนี้”
ผู้อำนวยการจี้ มีชื่อว่า จี้เจ๋อ เป็นรองประธานของคณะกรรมการบริหารของบริษัท และมีระดับสูงขั้น M3 เขามักจะพูดออกอากาศทางวิทยุอยู่บ่อยๆ และตอนสิ้นปีก็ทักทายทุกคนทางหน้าจอแสดงผลของ “ศูนย์กิจกรรม”
ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ ก็มีเสียงสัญญาณดังมาจากพื้นที่ด้านข้างของ “ศูนย์กิจกรรม”
“กริ๊งงง!”
นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือเกือบทั้งหมดราวกับได้ยินสัญญาณสั่งให้บุกตะลุย ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน
เป็นเสียงกริ่งที่ดังมาจาก “ตลาดโภคภัณฑ์” เพื่อแจ้งบอกให้ทุกคนทราบว่าเหลืออีกเพียงสามนาที ก่อนที่โรงอาหารจะเปิดทำการ
เมื่อเห็นบรรดาเพื่อนบ้านต่างเริ่มมุ่งตรงไปยัง “โรงอาหารพนักงาน” หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่น่าเชื่อว่านายเห็นด้วยกับน้าเหริน”
ซางเจี้ยนเย่ากล่าวตอบในขณะที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า
“นายลองเปลี่ยนวิธีการพูดแล้วถามใหม่ซิ”
หลงเยว่หงขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“นายคิดยังไงกับเรื่อง ‘ศูนย์ให้กำเนิด’ ที่ปลดปล่อยผู้หญิงจากการตั้งครรภ์คลอดลูก”
ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ลังเล
“แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีหรอกเหรอ”
“…” หลงเยว่หงพูดไม่ออก
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็มาถึงด้านนอกของ “ตลาดโภคภัณฑ์”
ที่นี่ไม่มีประตูเข้าออก จึงสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน
ด้านซ้ายของตลาดเป็นโต๊ะยาวตั้งเรียงกันเป็นแถวๆ และตู้วางสินค้าหลากหลายตู้ บรรดาพนักงานจำนวนมากที่ไม่ได้มาเพื่อกินอาหารต่างพากันหยิบเลือกข้าวของและคำนวณราคาอยู่เงียบๆ ส่วนทางด้านขวาก็คือ “โรงอาหารพนักงาน” มีประตูหน้าต่างและกลิ่นหอมคลุ้งโชยออกมา
เพียงไม่นานประตูโรงอาหารก็เปิดออก พนักงานจากชั้น 495 ต่างก็เดินเข้ามากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือถ้วยโถโอชามหรือคนมือเปล่าก็ตาม
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เอากล่องข้าวมาด้วย พอเข้าไปแล้วก็แยกจากหลงเยว่หงไปทางด้านขวา แล้วหยิบชามไม้สองใบกับถาดมา
จากนั้นก็ถืออุปกรณ์รับประทานอาหารเดินตามคนที่อยู่ด้านหน้าไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ แล้วแยกย้ายกันไปตามช่องหน้าต่างเคาน์เตอร์ขายอาหาร
“ข้าวอบมันเทศครึ่งจิน”
“กะหล่ำปลีตุ๋นหนึ่งชุด”
“หมั่นโถวธัญพืชสองลูก”
“มันฝรั่งต้มหนึ่งชุด”
หลังจากเดินผ่านไปสี่เคาน์เตอร์ ชามสองใบของซางเจี้ยนเย่าก็เต็มจนพูนไปด้วยกะหล่ำปลีตุ๋น มันฝรั่งต้ม หมั่นโถวสองลูก ส่วนข้าวอบมันเทศอยู่ในชามอีกใบที่ร้าวจนแทบจะแตก
เขาต้องใช้จ่ายแต้มส่วนร่วมไป 14 แต้ม แบ่งเป็นห้าแต้มจากข้าวอบมันเทศครึ่งจิน สองแต้มจากหมั่นโถวธัญพืช สองแต้มจากมันฝรั่งต้ม และสามแต้มสำหรับกะหล่ำปลีตุ๋นเหยาะน้ำมัน
ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงเคาน์เตอร์ที่มีกลิ่นหอมที่สุด
นี่คือเมนูเนื้อสัตว์
เขามองซ้ายไปขวา ขวามาซ้าย ลังเลอึดใจแล้วพูดขึ้น
“ขอหมูตุ๋นน้ำแดงหนึ่งชุด ใส่ซอสชุ่มๆ หน่อยนะครับ”
ที่หน้าต่างเคาน์เตอร์มีคุณน้าในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินอมเทาถือทัพพีแล้วตักเนื้อหมูตุ๋นสีสันดึงดูดใจชิ้นบางๆ สามชิ้น แต่ละชิ้นยาวเท่านิ้วมือ ใส่ลงในชามข้าวอบมันเทศ
น้ำซอสไหลลงไปอย่างรวดเร็ว ชุ่มไปครึ่งชาม
“ดีที่เธอมาเร็วนะ ไม่งั้นคงหมดไปแล้ว” คุณน้าที่เคาน์เตอร์กับซางเจี้ยนเย่านั้นมีบ้านอยู่ใน ‘เขต’ เดียวกัน เธอจึงมีอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อเขา “32 แต้ม”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบดูเนื้อหมูตุ๋นน้ำแดงทั้งสามชิ้น หยิบเอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปรูดที่เครื่องรูด
เขากล่าวขอบคุณ แล้วยกถ้วยน้ำซุปแกงจืดที่แจกฟรีถือเดินจากไป พอพบหลงเยว่หงก็นั่งลงตรงข้ามเขา
“โห อู้ฟู่ชะมัด” หลงเยว่หงมองเห็นชามอาหารเขาแล้วถึงกับร้องชื่นชมออกมาจากใจ
ซางเจี้ยนเย่าเมินเขา จากนั้นจัดการเขี่ยข้าวอบมันเทศที่ชุ่มซอสไปด้านข้าง แล้วคีบหมูตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดคำเล็กๆ
รู้สึกได้ถึงกลิ่นเนื้อที่อบอวลภายในปาก ซางเจี้ยนเย่ารีบก้มหน้าโกยข้าวอบมันเทศส่วนที่ไม่โดนน้ำซอสราดเข้าปาก
เขาเพิ่มความเร็วในการพุ้ยข้าว เมื่อหมูหมดไปสามชิ้นก็เหลือข้าวอบมันเทศเพียงครึ่งเดียวกับกะหล่ำปลีตุ๋น ส่วนมันฝรั่งต้มและหมั่นโถวธัญพืชได้อันตรธานไปเรียบร้อย
สุดท้ายซางเจี้ยนเย่าก็เทกะหล่ำปลีตุ๋นลงไปในชามข้าวอบมันเทศที่ชุ่มซอสแล้วคลุกให้เข้ากันแล้วยัดเข้าปากในคำเดียว
“อิ่มแปล้” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงวางตะเกียบลงพร้อมกัน ร้องออกมา
หลังจากดื่มน้ำซุปแกงจืดหมดแล้ว หลงเยว่หงก็ถามขึ้น
“ไป ‘ศูนย์กิจกรรม’ กันไหม”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า
“จะกลับไปฟังวิทยุ แล้วรีบเข้านอน”
* * * * *