เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังวุ่นมาก ด้านหนึ่งต้องมองทางข้างหน้าเพราะกลัวว่าจะขับลงบึงน้ำ หรือชนกับก้อนหิน รากไม้ หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ จนรถพลิกคว่ำ อีกด้านหนึ่งต้องค่อยเพ่งสมาธิตรวจจับสัญญาณไฟฟ้ารอบตัวเพื่อแยกแยะว่าหลวงจีนจักรกลเข้ามาใกล้หรือยัง สภาวะปัจจุบันเขาเป็นอย่างไร
แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ความคิด ดูเหมือนว่าสมองเธอมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากการปรับปรุงพันธุกรรม
“ในตอนนั้น…” เจี่ยงไป๋เหมียนตรึกตรองก่อนจะตอบ แต่เสียงเธอนั้นดังกว่าคนปกติทั่วไป “ฉันตกอยู่ในสภาวะแปลกๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร เอ่อ… ไม่ใช่ว่าความจำมีปัญหาหรอกนะ ตอนนั้นฉันยังจำหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้อยู่ แต่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร”
พูดมาถึงตอนนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนที่คุ้นเคยกับการทบทวนตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็พูดต่อ
“ฉันคิดว่าถ้าทำให้เกิดผลกระทบกับร่างกายของจิ้งฝ่า ก็จะทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังของผู้ตื่นรู้ได้ แต่กลายเป็นว่าฉันเข้าใจผิดไป…
“หรือว่านี่จุดคือแตกต่างระหว่างหลวงจีนจักรกลกับมนุษย์ธรรมดา”
ไป๋เฉินได้ยินแล้วสั่นหัว
“ถึงจะเข้าใจผิดไปก็ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นมันเป็นการตอบโต้ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง ไม่มีเวลามาให้นั่งคิดอะไรได้มากมาย”
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าคาดสายรัดส่วนเท้าเสร็จสิ้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดขึ้น
“พลังพิเศษส่วนใหญ่ของผู้ตื่นรู้นั้นจะต้องอาศัยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อเป็นอย่างยิ่ง มันจึงมีผลเกี่ยวพันกับร่างกายด้วย อย่างเช่นถ้าทำร้ายร่างกายให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนทำให้ผู้ตื่นรู้นั้นไม่สามารถคิดหรือคงสติที่จดจ่อเอาไว้ได้ ก็จะทำให้ใช้พลังพิเศษออกมาไม่ได้…”
พอพูดออกมาแล้วซางเจี้ยนเย่าก็พลันนิ่งเงียบไป ราวกับตระหนักว่าเรื่องพวกนี้ก็สามารถย้อนกลับมาเล่นงานเขาได้เช่นกัน
แต่ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ จะพูดอะไรออกมา เขาก็สูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ
“และในทำนองเดียวกัน ถ้าชกผู้ตื่นรู้จนหมดสติได้ เขาย่อมไม่มีทางใช้พลังพิเศษออกมาได้แน่นอน”
พอยกตัวอย่างออกมาแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ครุ่นคิดชั่วขณะและเห็นด้วยกับการประเมินก่อนหน้านี้ของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ในแง่นี้แล้ว หลวงจีนจักรกลกับมนุษย์ธรรมดาแตกต่างกันจริงๆ นั่นแหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะตัวเอง
“น่าเสียดาย ‘นิ้วทองคำ’[1] ของฉันไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าฉันสามารถแฮคเข้าไปในระบบจ่ายพลังงานของจิ้งฝ่าได้เร็วพอ แล้วปิดสวิทช์การทำงานซะ เขาก็น่าจะใช้พลังผู้ตื่นรู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ มันอาจจะไม่ได้ผลก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าจิตสำนึกของ ‘นิรันดร์กาล’ จะคงสติได้นานแค่ไหนเมื่อหลุดจากการควบคุมของชิปชีวจักรกล
“ฮ่า ฮ่า พวกนายก็จำไว้ให้ดี เป็นคนก็อย่ามั่นใจเกินไปนัก ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันล่ะก็ ดีที่สุดคือต้องหัดสงสัยการตัดสินใจของตัวเองเอาไว้บ้าง”
เมื่อไป๋เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป หันหน้าไปมองเจี่ยงไป๋เหมียน
“หัวหน้า ดูเหมือนคุณจะสบายดีนะ ไม่เห็นหดหู่เลยซักนิด”
พึงรู้ว่าในตอนนี้พวกเขากำลังถูกตามล่าโดยหลวงจีนจักรกลที่น่าสะพรึงกลัว อารมณ์ของพวกเขาควรอยู่ในสภาวะตึงเครียด หดหู่ โกรธ สิ้นหวัง และจิตใจไม่สงบมากกว่า
“เมื่อเทียบกันแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ยังดีกว่าตอนที่ถูกจิ้งฝ่าควบคุมตัวเอาไว้ตั้งเยอะ อย่างนี้ก็ควรจะต้องยินดีมีสุขไม่ใช่หรือไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงจดจ่อกับการตรวจตราสภาพแวดล้อมโดยรอบ “เมื่อกี้ถ้าไม่มีซางเจี้ยนเย่า ฉันก็คงไม่อาจหลุดจากการถูกควบคุม ต้องลงเอยอยู่ในเงื้อมมือของไอ้วิปริตจิตวิปลาสนั่น มีชะตากรรมน่าอเน็จอนาถ ถึงแม้ว่าฉันไม่เคยเห็นศพผู้หญิงที่จิ้งฝ่าฆ่ามากับตาตัวเอง แต่ก็เคยได้ยินคนเล่าให้ฟัง…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนที่ปกติเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอดก็ยังอดมีสีหน้าหม่นหมองไม่ได้
เธอไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดต่อ เพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจของไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง
ในเวลานี้ซางเจี้ยนเย่าสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขาขยับริมฝีปากอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ว่ากันว่าผู้ตื่นรู้จะมีพลังพิเศษสามชนิด”
เจี่ยงไป๋เหมียนหมุนพวงมาลัยให้รถจี๊ปเลี้ยวตีวงอ้อมต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กลางถนน
“สามอย่างเหรอ… จิ้งฝ่ามีพลังอันนั้นที่ทำให้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร… แล้วก็ ‘เปรตหิวโหย’ แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ”
หลงเยว่หงที่นั่งฟังเงียบๆ ก็นึกคำตอบออกมาได้ทันที
“ประสานใจ!
“จิ้งฝ่าบอกว่าเขาประสานใจได้ สามารถได้ยินเสียงจากในใจคนอื่นได้บางส่วน”
“ทีนี้ก็รู้จักพลังพิเศษครบทั้งสามชนิดล่ะ… บางทีอาจจะพิจารณาจากแง่มุมนี้เพื่อหาวิธีเหนือเมฆมาจัดการกับจิ้งฝ่าได้ อ้อ… ใช่แล้ว พลังของผู้ตื่นรู้ก็ควรจะต้องมีระยะขอบเขตที่จำกัดด้วย…” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเองในขณะที่ขับรถ
เพียงแต่ว่าเธอนั้นรำพึงด้วยเสียงที่ดังมาก เลยทำให้คนอื่นๆ ได้ยินชัดเจน
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดก่อนจะพูดขึ้นมา
“ตอนที่เขาใช้พลังประสานใจกับพลังที่ทำให้สับสนกับตัวเอง ก็อยู่ในระยะหนึ่งเมตร ไม่มีทางรู้เลยว่าระยะไกลสุดนั้นมากน้อยแค่ไหน”
เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วครู่ก่อนยิ้มขึ้น
“แต่ก็ยังพอประเมินคร่าวๆ ได้อยู่
“ตอนที่เขาพุ่งจากต้นไม้เข้ามาหาพวกเรา เขาเลือกใช้ ‘เปรตหิวโหย’
“ตัวเลือกนี้พอจะชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงบางประการได้ นั่นคือระยะทำการของพลังที่ทำให้คนสับสนกับตัวเองนั้นด้อยกว่า ‘เปรตหิวโหย’ มาก หรือไม่ก็มีผลกับเป้าหมายได้เพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ ‘เปรตหิวโหย’ มีผลกระทบต่อทุกคนในอาณาเขต”
ไป๋เฉินนึกทบทวนเหตุการณ์แล้วพูด
“เท่าที่จำได้ ตอนที่ฉันเห็นพวก ‘ผีหิวโซ’ อยู่รอบๆ ตัว ตอนนั้นจิ้งฝ่าเพิ่งจะกระโจนมาจากต้นไม้ไม่นานนัก น่าจะอยู่ห่างจากพวกเราราวๆ 20 เมตร หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย”
เธอรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคำสอน เรื่องราว และตำนานของชุมนุมหลวงจีนมากกว่าเจี่ยงไป๋เหมียน
“ฮื่อ ดังนั้นต้องจำเอาไว้ว่ารัศมีทำการของ ‘เปรตหิวโหย’ อย่างน้อยก็ 20 เมตร” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่มความดังของเสียงขึ้นเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปอึดใจก่อนจะพูด
“เขาแข็งแกร่งกว่าผม”
“เขาอายุมากกว่านายไม่รู้ว่าตั้งกี่เท่า อายุของการเป็นผู้ตื่นรู้ก็ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนปลอบใจเขา
เธอไม่มีทางรู้ได้ว่าจิ้งฝ่ากลายเป็นผู้ตื่นรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่ก็คาดว่าจิ้งฝ่าน่าจะเป็นผู้ตื่นรู้ตั้งแต่ก่อนจะย้ายจิตเข้าไปในชิปหุ่นชีวจักรกล กลายเป็น ‘นิรันดร์กาล’
และจิ้งฝ่าก็เป็นหนึ่งในหลวงจีนจักรกลที่ค่อนข้างกระตือรือร้นออกจาริกเพื่อแสวงหา ‘ผู้ถูกเลือก’ มาตั้งแต่ช่วงปลายของกลียุค ก่อนที่จะเริ่มใช้นวศักราช
ตอนนี้หลงเยว่หงเองก็เหมือนจะยอมรับความจริงได้แล้วในเรื่องที่ว่าเพื่อนสนิทของเขา ซางเจี้ยนเย่า ที่เติบโตมาด้วยกัน ได้กลายเป็นผู้ตื่นรู้ที่มีพลังพิเศษที่พิสดารและน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง!
เขาคิดว่าตัวเองคงไม่อาจลืมสิ่งที่ได้เห็นไปจนชั่วชีวิต
ตอนแรกนั้นหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าเต็มไปด้วยจิตสังหารอันแน่วแน่ แต่พอได้ยินซางเจี้ยนเย่าพูดเพียงสองประโยค จู่ๆ ก็พลันกลับกลายมาเป็นมหามิตรชิดใกล้ แถมยังจับไม้จับมือกับซางเจี้ยนเย่า ไม่อยากแยกจากพรากกันเสียอีก
นี่มันทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขามีอันต้องกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว
เขามองซางเจี้ยนเย่า แล้วอดถามขึ้นไม่ได้
“นะ… นายกลายเป็นผู้ตื่นรู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ไม่นานนี้เอง”
หลงเยว่หงอยากจะถามอะไรต่ออีก แต่ก็พลันนึกได้ว่าเป็นการไม่สมควร เหมือนไปสอดรู้สอดเห็นความลับของคนอื่น
ในรถจี๊ปไม่มีใครคุยกันอยู่ครู่ใหญ่
เจี่ยงไป๋เหมียนทำลายความเงียบขึ้นมา เธอมองไปข้างหน้าแล้วยิ้ม
“อยากให้พวกเราช่วยเก็บเป็นความลับไหม”
“ขอบคุณ” ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็พากันสำทับว่าพวกเขาจะเก็บเป็นความลับ
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้นก็พบสีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
และพร้อมกันนั้นเองเธอก็หักพวงมาลัยให้รถจี๊ปเลี้ยวตีวงกว้าง
ถึงแม้ว่าไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หงที่นั่งในรถ จะคาดเข็มขัดนิรภัย แต่ก็ยังถูกแรงเหวี่ยงจนเอนไปทางขวา
ลูกระเบิดลอยลงมาในตำแหน่งที่พวกเขาอยู่เมื่อก่อนหน้า
ตูม!
เปลวไฟลุกโชนตามด้วยคลื่นกระแทกที่รุนแรงจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
หลังจากรถจี๊ปหักเลี้ยวแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็กระทืบเท้าลงบนคันเร่งจนมิด ทำให้รถจี๊ปพุ่งออกไปราวกับลูกศร
เสียงฉี่ฉ่าดังขึ้น แสงเลเซอร์สีแดงเจาะลงไปบนพื้น หลอมละลายพื้นดินจนเกิดเป็นหลุมไร้ก้นหลุม
“สิบเอ็ดนาฬิกา” ไป๋เฉินใช้จังหวะนี้บอกเจี่ยงไป๋เหมียนทิศทางที่ห้ามไปด้วยตำแหน่งเข็มนาฬิกา ไม่อย่างนั้นรถจะตกลงไปในบึงน้ำและค่อยๆ จมลงไป
เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นคุ้นเคยกับการบอกทิศในลักษณะนี้อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องพูดอธิบายอะไรอีก เธอหักพวงมาลัยแล้วตะโกนขึ้น
“ซางเจี้ยนเย่า!”
ซางเจี้ยนเย่าสูดลมหายใจเข้าเพียงเล็กน้อยจนแทบมองไม่ออก แล้วก็เปิดประตูรถจี๊ปที่กำลังแล่นอยู่ทันที จากนั้นก็เอนร่างม้วนตัวกลิ้งลงไป
ด้วยความเร็วของรถจี๊ปในตอนนี้ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ทว่าตอนนี้… เขากำลังสวมเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่
ซางเจี้ยนเย่าใช้แขนยันเพื่อดีดตัวกลับมายืนได้อย่างง่ายดาย แล้ววิ่งซิกแซกไปยังตำแหน่งที่ลูกระเบิดและแสงเลเซอร์ถูกยิงออกมา
เขาไม่ได้พกปืนไรเฟิลจู่โจมหรือปืนกลมือมาด้วยเพราะมันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ต่อสู้กับหลวงจีนจักรกล
สิ่งที่เขาพึ่งพาได้มีเพียงปืนยิงระเบิดและอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าที่ติดมากับชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเท่านั้น
ตึก! ตึก! ตึก!
ซางเจี้ยนเย่าวิ่งเต็มที่โดยไม่สนใจเรื่องการสิ้นเปลืองพลังงาน การมองผ่านแว่นตาคริสตัลของหมวกโลหะทำให้เขามองเห็นหุ่นจักรกลสีดำสวมชุดหลวงจีนขาดรุ่งริ่งห่มจีวรแดง
แต่ในวินาทีถัดมา จิ้งฝ่าก็กลับหลังหันวิ่งตีโค้งอ้อมซางเจี้ยนเย่าทันที ใช้ข้อด้อยที่ว่าชุดเกราะกระดูกเสริมแรงมีความเร็วและการตอบสนองไม่ดีเท่าหุ่นจักรกล ทำให้ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างออกไป
ไล่ตามไปได้สักพัก ซางเจี้ยนเย่าก็สูญเสียร่องรอยของหลวงจีนจักรกลไปเสียแล้ว
ระบบเตือนภัยรอบทิศของเกราะกระดูกเสริมแรงก็ตรวจไม่พบอะไรเช่นกัน แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นมีระบบป้องกันการตรวจจับเป้าหมาย
เมื่อซางเจี้ยนเย่าไร้หนทางที่จะไล่ตามไป จึงได้แต่ต้องอาศัยรอยล้อรถจี๊ปเพื่อกลับไปหาเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ พอตามมาทันก็เปิดประตูขึ้นรถโดยไม่ต้องจอดรับ
ระหว่างทางที่กลับมาเขาก็เจตนาลบรอยล้อรถและสร้างรอยใหม่ลวงให้ไปทางอื่น หวังว่าจะเบี่ยงเบนการตัดสินใจของจิ้งฝ่าได้บ้าง
“เขาเล่นซ่อนแอบกับผมน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายสถานการณ์แบบรวบรัดก่อนจะปิดประตู
“เพราะเขากลัวนายเหรอ เป็นเพราะพลังของนายสามารถรับมือกับเขาได้ใช่ไหม” หลงเยว่หงพูดสิ่งที่คิดออกมาโดยอัตโนมัติ
“ไม่ใช่ ระยะพลังของเขาไกลกว่า” ซางเจี้ยนเย่าตอบคำถามอย่างไม่ได้ปิดบัง
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากพูดแต่แล้วก็หักพวงมาลัยทันที
ตูม!
การจู่โจมระยะไกลของจิ้งฝ่ามาอีกแล้ว!
แต่เมื่อซางเจี้ยนเย่าที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงลงจากรถแล้ววิ่งตามไป จิ้งฝ่าก็ถอยทันที ทิ้งระยะห่างออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าต่อสู้
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง… สถานการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยเว้นระยะอย่างไม่แน่ไม่นอน
“นี่เขาพยายามจะทำอะไรกันแน่” หลงเยว่หงสังเกตเห็นปัญหาเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะพกแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมาหลายก้อน เลยคอยตามรังควาญเราไปเรื่อยๆ รอให้เกราะกระดูกเสริมแรงของพวกเราแบตหมด ช่างมีน้ำอดน้ำทนอะไรอย่างนี้…”
“แต่เขาคงพกระเบิดมาได้ไม่เยอะ” หลงเยว่หงตอบไปตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
ไป๋เฉินเหลือบมองกระจกมองหลังแล้วพูด
“ตั้งแต่สองสามครั้งก่อน เขาใช้แต่อาวุธเลเซอร์เท่านั้น”
หลงเยว่หงรู้สึกกังวล
“งั้นเราจะทำไงกันดี”
* * * * *
[1] นิ้วทองคำ (金手指) ในอดีตมีอุปกรณ์ที่ทำให้เครื่องเล่นเกมสามารถเล่นแผ่น (หรือตลับ) ที่เป็นของปลอมละเมิดลิขสิทธิ์ได้ รวมถึงทำให้สามารถใส่สูตรโกงเพื่อเล่นเกมได้ง่ายขึ้น ชื่อว่า Golden Finger(金手指) ในที่นี้นี้จึงเปรียบเปรยถึงการแฮคข้อมูลเพื่อการโกง