หลงเยว่หงอ้าปากราวกับจะพูดเกลี้ยกล่อม แต่ก็เปลี่ยนใจ
“…งั้นไม่เป็นไร”
ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะถือถาดเดินไปที่ทางออก แล้วยื่นส่งทุกอย่างให้กับพนักงานโรงอาหารที่กำลังทำหน้าที่อยู่
ด้านนอกของ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ลำแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานที่เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบส่องสว่างลงบนทางเดินที่นำไปยังชั้นอื่นๆ บรรดาพนักงานชายหญิงคละเพศคละวัยจับกลุ่มกัน สองคนบ้างสามคนบ้าง บางส่วนมุ่งหน้าไปที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ บ้างก็กลับบ้านพร้อมกับกลุ่มมิตรสหาย บ้างก็ดูลูกๆ วิ่งเล่นอยู่รอบๆ อย่างสนุกสนาน
ซางเจี้ยนเย่าเดินอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้วรีบออกจากเขต C เดินผ่านถนนที่มีกำแพงที่ถูกวาดขีดเขียน เข้าไปยังเขต B ที่มีห้องอยู่อย่างหนาแน่นมากกว่า
ใน ‘เขตพักอาศัย’ ของอาคารใต้ดินแห่งนี้ไม่ได้มีแนวคิดในแบบสถาปัตยกรรมก่อสร้างบ้านเรือน ส่วนพนักงานนั้นอาศัยอยู่ในห้อง ไม่ใช่บ้าน มีคำเปรียบเทียบที่อยู่แบบนี้ว่ารวงผึ้ง ซึ่งคำพูดนี้มาจากคนที่ทำงานอยู่ใน ‘เขตนิเวศน์ชั้นใน’ ที่เคยได้เห็นรวงผึ้งของจริงมาก่อน
เพียงแต่ว่าทางเดินระหว่างแถวของแต่ละห้องนั้นกว้างขวางมาก พื้นปูด้วยหินเรียบสีขาวนวล ให้คนเดินเคียงเรียงหน้ากระดานกันได้ถึงห้าหกคนเลยทีเดียว
นี่เป็นนโยบายของบริษัทเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปสักพักก็เห็นห้องของตัวเอง
มันไม่ได้แตกต่างไปจากห้องข้างเคียงอื่นๆ มีผนังเป็นสีดำสนิทและมีความมันเงาในระดับหนึ่งทำให้ดูจมลึกลงไปเล็กน้อย มีบานประตูไม้สีน้ำตาลอมแดง ด้านข้างเป็นหน้าต่างแบบสี่ช่อง
สิ่งเดียวที่ระบุว่านี่เป็นห้องของเขามีเพียงหมายเลขสีขาวบนประตู :
“ห้อง 196”
ห้อง 196 เขต B ชั้น 495
ซางเจี้ยนเย่าล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจทองเหลืองออกมา จากนั้นเขาก็สอดกุญแจเข้าไปในตัวล็อกสีเดียวกันแล้วบิดเบาๆ
เสียงดังคลิก ซางเจี้ยนเย่าใช้มืออีกข้างหนึ่งบิดที่จับประตูแล้วผลักเข้าไป
ประตูเปิดเข้าไปได้เพียงครึ่งเดียวเพราะชนกับเตาที่อยู่ภายในห้อง
ห้องนี้กว้างสองเมตร ลึกสามเมตร และสูงสี่เมตร มีเตียงไม้ที่ซางเจี้ยนเย่าแทบจะนอนเหยียดขาไม่ได้ วางแนวขวางอยู่ด้านในสุด เหลือช่องว่างแคบๆ เพียงไม่ถึงสิบเซนติเมตรระหว่างปลายเตียงกับผนัง ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถวางเฟอร์นิเจอร์อื่นได้อีก แต่ก็มีตะปูเกลียวตอกไว้ที่ผนังซึ่งมีเสื้อผ้าที่ดูเรียบๆ ซ้ำๆ กันอยู่สองชุดแขวนห้อยไว้
ถัดไปด้านข้างมีอ่างล้างจานซึ่งแยกไว้ด้วยฟิล์มพลาสติกครึ่งแผ่น อีกด้านของอ่างล้างจานเป็นเตาที่มีท่อดูดควันอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นตู้เก็บของ
การมีอยู่ของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งสองอย่างนี้ทำให้ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกพอใจอยู่เสมอ เพราะไม่ใช่ทุกห้องที่จะมีได้
อาคารใต้ดินนี้มีหลายชั้นและมีผู้คนอาศัยอยู่มากเกินไป แม้ว่าจะมีลิฟต์ ระบบระบายอากาศ ระบบระบายน้ำ หรือระบบจ่ายพลังงาน แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเผชิญกับการทดสอบอันโหดร้ายจากธรรมชาติมาแล้วทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่เพียงแต่จะมีลิฟต์หลายตัว แต่ยังมีการแยกไว้สำหรับแต่ละเขตหรือสำหรับขึ้นลงไปบางชั้นที่ระบุไว้โดยเฉพาะอีกด้วย ดังนั้นระบบระบายอากาศและระบบระบายน้ำจึงถูกแบ่งซอยย่อยเป็นชุด ซึ่งในทุกๆ 15 ชั้นหรือตามจำนวนชั้นที่กำหนดไว้จะใช้งานร่วมกัน
ด้วยวิธีนี้ หากเกิดปัญหากับระบบขึ้นมาจะส่งผลกระทบเพียงบางพื้นที่เท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้ระบบล่มทั้งหมดจนใช้การไม่ได้เลย
ในบรรดาระบบสาธารณูปโภคเหล่านี้ เรื่องระบบระบายน้ำจะแตกต่างไปจากระบบอื่น ห้องที่บริษัทสร้างขึ้นในภายหลังนั้นมีเพียงส่วนน้อยมากที่เชื่อมต่อกับท่อ นี่ก็เพื่อความเสถียรภาพของระบบ
พนักงานจำนวนมากจึงต้องต่อแถวเพื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ใน ‘เขต’ ที่พักของตนสำหรับล้างหน้าแปรงฟัน และเนื่องจากการขาดแคลนพลังงานจึงส่งผลให้พื้นที่ใช้สอยหลายๆ ส่วนในตอนดึกและตอนเช้ามืดจะหนาวมาก
การไม่ต้องถ่อสังขารออกจากห้องในสภาพที่ต้องใช้ผ้าห่มห่อตัวเป็นแหนมมัดเพื่อไปล้างหน้าแปรงฟันจึงเป็นความใฝ่ฝันของพนักงานจำนวนมาก
อีกด้านหนึ่งของประตู ด้านล่างของบานหน้าต่างสี่ช่องมีโต๊ะไม้แข็งแรงทาสีแดงตั้งอยู่ สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นมีหนังสือมากมายหลายเล่ม ปากกาหมึกซึมสีดำหนึ่งด้าม และขวดหมึกดำ
ในเวลานั้น แสงไฟสลัวจาก ‘ไฟส่องทาง’ บนเพดานของถนนลอดผ่านหน้าต่างทอดตกลงบนโต๊ะ ทำให้ข้อความบนปกหนังสือพอจะอ่านได้อย่างเลือนลาง
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าห้องเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างไฟถนนสองจุด ทำให้แสงไม่สว่างมากพอ ซางเจี้ยนเย่าก็คงจะใช้ไฟถนนเพื่ออ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใช้โควต้าพลังงานของตัวเองไปแล้ว
โต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่นั้นมีตู้เก็บของอยู่ในตัว ด้านหลังถัดเข้าไปมีเก้าอี้สีน้ำตาลอมแดงและมีรอยเป็นด่างดวง ด้านหลังเก้าอี้มีม้านั่งที่ดูใกล้จะพังอยู่รอมร่อสองตัว นี่พอจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ห้องนั่งเล่น’
ด้านหลัง ‘ห้องนั่งเล่น’ คือเตียงไม้ที่ตั้งแนวขวาง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เปิดไฟในห้องเพราะเขาเหลือโควต้าพลังงานไม่มากนัก จึงต้องประหยัดสักหน่อย
หลังจากชักลูกกุญแจออกมาแล้วปิดประตู ซางเจี้ยนเย่าก็เดินข้ามผ่านบริเวณที่แสงจากไฟถนนลอดผ่าน เข้าไปยังเตียงนอนที่มืดมิด
เขาหยิบหมอนที่ยัดไส้ไว้ด้วยเปลือกธัญพืชวางพิงผนังในแนวตั้งแล้วเอนตัวพิงด้วยท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง
ด้วยท่านี้ ซางเจี้ยนเย่าสามารถมองเห็นกระทะไฟฟ้าและหม้อหุงข้าวบนเตา
พื้นผิวพวกมันปกคลุมด้วยสนิมเนื่องจากผ่านการใช้งานมาเนิ่นนานหลายปี
เท่าที่ซางเจี้ยนเย่าจำความได้ ของพวกนี้ก็อยู่ในบ้านเขาแล้ว อันหนึ่งเอากลับมาจากซากเมืองของโลกเก่า เมื่อครั้งที่พ่อของเขาเข้าร่วมปฏิบัติการภายนอกของแผนกความมั่นคง เขาถึงกับยอมสละของอื่นๆ เพื่อแลกของชิ้นนี้มา
ส่วนสิ่งของอีกชิ้นนั้น หลังจากที่แม่แต่งงาน เธอก็พยายามอดออมแต้มส่วนร่วมอยู่นานแล้วเอาไปแลกมาจากแผงลอยเล็กๆ พวกข้าวของใหม่ๆ ในตลาดโภคภัณฑ์นั้นมีราคาค่อนข้างสูงและขาดตลาดอยู่เสมอ
ห้องนี้ไม่ใช่บ้านในความทรงจำของซางเจี้ยนเย่า เขาจำได้ว่าบ้านเดิมอยู่ห้องเลขที่ 28 เขต A ในชั้นเดียวกันนี้ บ้านหลังนั้นมีห้องสองห้อง เล็กห้องใหญ่ห้อง และมีห้องน้ำที่คับแคบอีกหนึ่งห้อง
นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่าเมื่อตอนเด็กมีสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องไปต่อแถวรอคิวเข้าห้องน้ำสาธารณะและสูดดมกลิ่นฉุนอัน ไม่น่าอภิรมย์
แต่หลังจากที่พ่อเขาหายสาบสูญและแม่จากไป บริษัทก็ยึดห้องกลับเพื่อนำไปจัดสรรให้กับพนักงานคนอื่นที่เหมาะสม ห้องปัจจุบันนี้คือห้องใหม่ที่เขาได้รับจัดสรรมาหลังจากออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย
เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ห้องพวกนี้ที่แยกออกมาในภายหลังจึงไม่ได้ติดตั้งระบบล็อกอิเล็กทรอนิกส์ แต่ใช้เพียงล็อกธรรมดาที่เอามาจากเมืองในโลกเก่า และบางส่วนก็ผลิตขึ้นจากโรงงานภายใน
ซางเจี้ยนเย่ามองเรื่อยเปื่อยไปยังโต๊ะไม้ใต้หน้าต่าง
เขาได้ยินแม่บอกว่าเมื่อตอนที่แม่เพิ่งแต่งงานกับพ่อหมาดๆ พ่อต้องอดออมและประหยัดเพื่อซื้อไม้จากตลาดโภคภัณฑ์เอามาทำโต๊ะเอง
โต๊ะไม้ที่มีตู้เก็บของตัวนี้กับเสื้อผ้าที่แม่ของซางเจี้ยนเย่าเป็นคนเย็บให้ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกสองชิ้นได้ถูกส่งกลับคืนมาให้หลังจากที่เขาอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเป็นเวลาสามปี
แต่ทว่าซางเจี้ยนเย่านั้นเติบโตจนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าในตู้ได้อีกแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าหลับตา ยกมือขวาขึ้นมาคลึงขมับทั้งซ้ายขวา
จากนั้นก็วางมือลงแล้วคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก
ทั้งห้องเงียบสงัด ความมืดเหมือนกับมืดมิดลงไปอีก
ร่างซางเจี้ยนเย่าเอนลงราวกับว่าหลับไปแล้ว
* * * * *
เมื่อซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้นมา เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่มองเห็นห้องโถงอันกว้างขวางว่างเปล่า
ห้องนี้ใหญ่กว่าพื้นที่ของ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ทั้งหมดเสียอีก
ห้องโถงล้อมรอบด้วยผนังสีดำที่เป็นมันวาวของโลหะและให้ความรู้สึกเยือกเย็น เหนือศีรษะเป็นความมืดสลัว เขามองไม่เห็นเพดานด้านบน ไม่รู้ว่ามันสูงแค่ไหน
ท่ามกลางความมืดมิดนี้มีจุดสว่างอยู่นับไม่ถ้วน พวกมันค่อยๆ หมุนวนราวกับรูปร่างของสายธาราแห่งความฝันที่มีเพชรโปรยปราย
ซางเจี้ยนเย่ายังคงตื่นตะลึงกับฉากนี้เช่นเคย ไม่อาจบรรยายภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าด้วยคำพูดได้
เขานึกได้เพียงแค่ภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพรายบนหน้าจอที่อาจารย์เอามาให้ดูเมื่อตอนที่เขาเข้า มหาวิทยาลัยครั้งแรกเท่านั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท้องฟ้าราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
และตอนนี้เขารู้สึกราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
ที่ใจกลางห้องโถงนั้น ‘แสงดาว’ ที่กระจัดกระจายอยู่ได้เกาะกลุ่มรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นเงาร่างมนุษย์อันพร่าเลือน
เงาร่างนี้เหยียดสองมือออกด้านข้างโดยรักษาความสมมาตรอย่างเข้มงวดราวกับกำลังเลียนแบบตราชั่ง
เสียงของ ‘เขา’ ก้องกังวานดังสะท้อนไปทั่วห้องโถงราวกับว่ากำลังถ่ายทอดความตระหนักรู้ที่ ‘หมู่ดาว’ มอบให้
“สละหนึ่ง ได้รับสาม”[1]
“สละหนึ่ง ได้รับสาม…”
* * * * *
[1] สละหนึ่ง ได้รับสาม (一个代价,三个恩赐) จ่ายชำระค่าตอบแทนไปหนึ่งประการ ได้คุณประโยชน์สามประการ”