หลังจากจัดการเก็บอาหารที่ยังเหลืออยู่จนเสร็จแล้ว ทั้งห้าคนก็ออกจากห้อง 605 เดินลงบันไดไปยังชั้นล่างสุด
“จะขับรถไปไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนมองรถจี๊ปที่จอดอยู่ด้านข้าง
หนังงูเหล็กบึงดำที่ถูกผูกไว้บนหลังคานั้นเด่นสะดุดตาจนไม่มีใครสังเกตแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์
“เสียงดังเกินไป” เฉียวชูส่ายหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะบอกว่านี่เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า ตราบใดที่ไม่เปิดเสียงเครื่องยนต์จำลองก็แทบจะไม่มีเสียงดังเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนั้นจู่ๆ ก็เริ่มออกวิ่งเหยาะออกไปทันที ทิ้งเพียงคำพูดไว้คำหนึ่ง
“ตามมา!”
เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป ตัวเธอ ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ถืออาวุธและวิ่งก้าวสั้นๆ ตามไปยังทางออกทันที
ในเวลานี้บนฟ้ามีเมฆมาก มองเห็นดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง ดวงจันทร์ปรากฏโฉมเพียงบางส่วนเป็นครั้งคราว ฉายแสงเรืองรองรางๆ
ความมืดเป็นโทนสีหลักของภายในซากเมืองแห่งนี้
ภายใต้สภาพแวดล้อมอันเงียบสงัดไร้ซึ่งชีวิตใดๆ ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครเปิดไฟฉาย พวกเขาวิ่งเหยาะๆ ผ่านถนนสายหลักเข้าไปยังถนนฝั่งตรงข้าม
ระหว่างนี้พวกเขารู้สึกราวกับกำลังถูกความมืดยามราตรีกลืนกินเข้าไป เงาตะคุ่มของรถที่ถูกทิ้งไว้กลางถนนและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสัตว์ประหลาดกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด
เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมดังกล่าว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กระจายตัวออกตามรูปขบวนที่ฝึกกันไว้ รักษาระยะห่างระหว่างตำแหน่งในระยะคงที่
ในหมู่พวกเขานั้น เจี่ยงไป๋เหมียนตามติดอยู่ด้านหลังเฉียวชู หลงเยว่หงอยู่ด้านขวา ไป๋เฉินไปทางซ้าย ซางเจี้ยนเย่าปิดท้ายขบวน
พวกเขารักษาความเร็วคงที่ไว้ตลอดทาง แม้ว่าจะวิ่งอยู่แต่ก็ไม่ได้ละเลยการสังเกตและระแวดระวังสภาพแวดล้อมรอบตัว
ขณะที่กำลังวิ่ง จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนทิศทาง รี่ตรงไปยังห้องที่เปิดโล่งซึ่งเยื้องไปทางซ้ายมือของถนนฝั่งตรงข้าม
เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที พวกเขาต่างกลิ้งม้วนตัวกับพื้น แล้วแยกย้ายพุ่งไปยังรถที่จอดทิ้งไว้เพื่อใช้เป็นที่กำบัง
เฉียวชูก็หยุดฝีเท้า หันไปมองซางเจี้ยนเย่า
‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงบอกเขาว่ารอบข้างนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่ว่าเขายังคงยกปืนไรเฟิลสีเงินที่มีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างแปลกขึ้นมาเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
จากนั้นเขาก็ใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อสำรวจตรวจตราจุดหมายของซางเจี้ยนเย่า
แม้ว่าจะเป็นค่ำคืนที่ค่อนข้างมืดสลัว แต่เฉียวชูมีอุปกรณ์เสริมช่วยเหลือ จึงทำให้เขาสามารถมองเห็นสภาพการณ์ทางด้านซ้ายของถนนจากระยะไกลได้
ที่นี่ก็เฉกเช่นเดียวกับถนนสายอื่น นั่นคือมีห้องแถวตั้งเรียงรายอยู่ชิดติดกันเป็นแถว ประตูของห้องฝั่งที่หันหน้าออกถนนนั้นถูกเปิดไว้เกือบทุกห้อง ภายในห้องดูทรุดโทรมเก่าคร่ำคร่า สิ่งเดียวที่แต่ละห้องเหมือนกันก็คือไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น
ป้ายร้านบ้างก็ร่วงหล่นอยู่บนพื้น แตกออกเป็นชิ้นๆ บ้างก็เป็นรอยดำด่างซีดจาง บ้างก็ตัวหนังสือพร่าเลือน ตัวหนังสือบางตัวหลุดหายไปเหลือเพียงแค่บางส่วน บ้างก็ห้อยเอียงเกือบจะร่วงลงมา
ส่วนห้องที่ซางเจี้ยนเย่าวิ่งเข้าไปนั้นยังมีป้ายแขวนไว้อยู่ เป็นป้ายสีน้ำเงิน มีตัวอักษรสีขาวซึ่งเหลือเพียงแค่คำว่า
“…ซ่อมบำรุง…”
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าหยิบไฟฉายออกมาส่องกวาดรอบๆ ห้องอันคับแคบแห่งนั้น
เขารีบเปิดตู้ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เจอพวกอุปกรณ์กับเครื่องมือขนาดเล็ก รวมไปถึงชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ สารพัดชนิดซึ่งมีทั้งใส่และไม่ใส่หีบห่อ เขารีบหยิบมายัดใส่ลงไปในกระเป๋าเป้ลายพราง
หลังจากที่สะพายเป้กลับคืนไว้บนหลังและห้อยไฟฉายที่เข็มขัดเรียบร้อยแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ วิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ถนน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉียวชูที่สวมหมวกเกราะก็วิ่งก้าวยาวๆ เข้าไปหา
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ ‘ติดตาม’ เขานั้นไม่เคยมีใครทำตามใจตัวเองมาก่อน นอกเสียจากว่าเขาจะแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะโจมตีใส่ ไม่เช่นนั้นแล้วทุกคนจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด ถ้ามีข้อสงสัยหรือสับสนไม่เข้าใจก็จะถามและทำตามคำแนะนำจนถึงที่สุด
จนถึงขณะนี้ เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็แสดงออกอย่าง ‘ปกติ’ ตามที่ควรจะเป็น
เมื่อเขามาถึงเบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่า เฉียวชูก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ทำไมออกจากกลุ่มโดยพลการ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“สมองกระตุกน่ะ”
“…” เฉียวชูหรี่ตา ร่างของซางเจี้ยนเย่าในแบบภาพกราฟิกก็ปรากฏในแว่นคริสตัลทันที และมีเป้าเล็งแสดงขึ้นมา
นี่คือ ‘ระบบเล็งเป้ารอบทิศ’ ที่จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อเขายกปืนไรเฟิลสีเงินขึ้นมา
หลังจากเงียบไปสองสามวินาที เฉียวชูก็ผ่อนหายใจช้าๆ แล้วค่อยๆ ลดปากกระบอกปืนลง
“เดินทางต่อได้แล้ว”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างกำลังสนใจสถานการณ์ตรงนี้อยู่จึงได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขารีบออกจากจุดซ่อนตัวและกลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม
คนทั้งห้าวิ่งตรงไปยังสามแยกโดยรักษารูปขบวนและท่วงท่าเดิมค้างเอาไว้
ในซากเมืองแห่งนี้ ลมในยามค่ำคืนค่อนข้างเย็น ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหนาวเย็นราวกับได้กลับไปยัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ในช่วงเวลาที่ดับไฟไปแล้ว
เมื่อหลงเยว่หงกำลังจะเลี้ยวซ้ายก็อดแหงนหน้ามองฟ้าไม่ได้
ตั้งแต่ขึ้นสู่พื้นโลก ความปรารถนาแรกของเขาคือการได้เห็นท้องฟ้าของจริง ความปรารถนาประการที่สองคือได้เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างทุกสรรพสิ่ง ความปรารถนาประการที่สามก็คือได้เห็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เคยเห็นในหนังสือเรียน
ความปรารถนาแรกและสองนั้นสมปรารถนาไปแล้ว มีเพียงความปรารถนาที่สามที่ยังคงต้องเลื่อนออกไปก่อน
สภาพอากาศในช่วงนี้ มันค่อนข้างผิดปกติมาพักใหญ่แล้ว ตอนกลางคืนนั้นมีหมู่เมฆบดบังอยู่ตลอดเวลา มีเพียงแค่บางเวลาเท่านั้นที่พอจะเห็นบางส่วนของดวงจันทร์และดวงดาวได้บ้าง แต่ก็เห็นดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น นี่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าจริงๆ สักที
หลงเยว่หงเพิ่งจะละสายตากลับมา ก็พลันเห็นว่าเฉียวชูกับเจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นในเวลาเดียวกัน เล็งเป้าไปยังตำแหน่งเดียวกัน แล้วเหนี่ยวไกยิงออกไป
ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนชักปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ แทนที่จะเป็นเครื่องยิงระเบิด แล้วยิงออกไปก่อน
ปัง! เปรี้ยง!
สองเสียงที่แตกต่างกันเล็กน้อยดังขึ้นติดต่อกัน
แสงสายฟ้าสีเงินยวงสว่างวาบตรงไปยังต้นไม้ริมทาง ที่อยู่กลางถนนฝั่งขวา ร่างหนึ่งในชุดที่ขาดรุ่งริ่งเผยเนื้อหนังบางส่วน ร่วงหล่นลงมากระแทกกับหลังคารถที่จอดทิ้งไว้
เลือดเขาไหลกระฉูด เจิ่งนองอย่างรวดเร็ว
ปืนลูกซองแบบหยาบในมือหลุดร่วงหล่นลงบนถนน
“‘คนไร้ใจ’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถือปืนยิงระเบิดในมือซ้ายเอาไว้แน่น
ทัศนวิสัยยามค่ำคืนของเธอนั้นดีกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋เฉินถามออกไปโดยอัตโนมัติ
“จะเก็บปืนนั่นไปด้วยไหม”
“ถึงเอามาก็ไม่ได้ใช้หรอก ปืนนั่นน่าจะเป็นปืนทำมือที่ทำโดยนิคมคนเร่ร่อนในแดนร้าง ไม่จำเป็นสำหรับเรา” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะ
โลกเก่าล่มสลายมาหลายปีแล้ว ปืนจำนวนมากไม่อาจใช้การได้อีก กระสุนหลากหลายขนาดก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น กองกำลังขนาดใหญ่ที่มีกำลังผลิตจึงเริ่มผลิตขึ้นใหม่โดยเลียนแบบอาวุธจากโลกเก่าทั้งหมดเพื่อใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลังจากนั้นไม่กี่สิบปีให้หลังก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกำหนดมาตรฐานภายในขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยังคงอ้างอิงกับอาวุธในอดีต แต่ความหลากหลายก็ค่อยๆ ลดลง
ด้วยเหตุนี้อาวุธปืนที่พวกนักล่าซากอารยะกับคนเร่ร่อนแดนร้างได้รับมาจากซากเมือง จึงมักเป็นอาวุธที่ชำรุด ซ่อมแซมไม่ได้ กระสุนที่ใช้คู่กันได้ก็หายากขึ้นทุกขณะ ทำให้พวกเขาต้องเพิ่มความพยายามค้นหาจากซากปรักหักพังมากขึ้น หรือไม่ก็ซื้อของที่ลักลอบนำออกมาจากกองกำลังใหญ่ อีกด้านหนึ่งก็สร้างอาวุธทำมือและกระสุนขึ้นมาเอง
ในภายหลังต่อมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปืนลูกซองย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากผลิตได้ค่อนข้างง่าย และนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนใหญ่ต่างก็มีวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสร้างของพวกนี้อยู่แล้ว
ปืนลูกซองกระบอกนี้ตกอยู่ในมือของ ‘คนไร้ใจ’ นั่นหมายถึงความเป็นไปได้ว่ามีนักล่าซากอารยะหรือคนเร่ร่อนแดนร้างถูกสังหารแล้วชิงอาวุธไป
“ต้องค้นตัวไหม” ไป๋เฉินถามต่ออีกประโยค
“ไม่ต้อง” เฉียวชูที่เมื่อสักครู่ใช้ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงตอบกลับมาขณะที่หลังหันกลับไป
ไป๋เฉินไม่ได้ยืนกรานต่ออีก กลุ่มคนทั้งห้าก็ออกวิ่งเหยาะไปยังจุดหมายปลายทาง
หลังจากที่เลี้ยวเข้าไปยังถนนอีกสาย เฉียวชูก็ลดความเร็วลงอย่างกระทันหัน
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาแล้วกดลงไปเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงหยุด
ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างกว่าก่อนหน้านี้ ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นรถสีดำคันหนึ่งที่จอดทิ้งไว้
ด้านข้างรถซีดานมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น
คนผู้นี้มีใบหน้าเหลี่ยม สวมชุดที่โลกเก่าเรียกว่าชุดอย่างเป็นทางการ ร่างส่วนบนเอนพิงประตูรถ ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“อู๋โส่วสือ…” เจี่ยงไป๋เหมียจดจำชายผู้นี้ได้
นี่คือนักล่าซากอารยะที่พวกเขาได้พบในแดนร้างก่อนหน้านี้
เขากับพวกพ้องบอก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เรื่องการค้นพบซากเมืองแห่งใหม่ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่
ในขณะนี้มีแค่อู๋โส่วสืออยู่เพียงลำพัง ไม่ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
“ยังมีสัญญาณชีพอยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดโดยประเมินจากสัญญาณไฟฟ้าที่รับรู้ได้
เฉียวชูสังเกตอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูด
“เขาหลับอยู่”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลับ’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ม่านตาขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย รีบยกมือขวาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่อู๋โส่วสือ
ทว่าสิ่งที่เธอเล็งเอาไว้ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นกระจกรถ
แต่ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าได้ยิงออกไปก่อนแล้ว เขายิงไปที่รถยนต์ด้านหลังอู๋โส่วสือ
เสียงเพล้ง กระจกหน้าต่างรถก็แตกกระจาย
ดวงตาของอู๋โส่วสือขยับวูบไหวเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะตื่น แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว ร่างกายกระตุกสองครั้งก่อนจะสูญเสียการเคลื่อนไหวไปอย่างสิ้นเชิง
“เขาตายแล้วเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจ
“ตามทฤษฎีแล้วยังพอมีโอกาสช่วยชีวิตอยู่…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด แต่เธอก็ยังไม่คิดจะเดินเข้าไป ในขณะเดียวกันก็สำรวจรอบข้างก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังรถที่จอดทิ้งไว้
ไป๋เฉินก็ทำเช่นเดียวกัน และเตือนออกมา
“ม้าฝันร้ายที่น่ากลัวนั่นน่าจะมาถึงนี่แล้ว”
หลงเยว่หงสะดุ้งโหยง พยายามถ่างตาเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ
เฉียวชูไม่ได้พูดอะไร เขารีบเปิดใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อค้นหา ‘ศัตรู’ โดยรอบ
ซางเจี้ยนเย่ามองดูอู๋โส่วสือเบื้องหน้าแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น
“ถึงแม้ว่าผมจะนอนหลับข้างถนนได้ก็เถอะ แต่พวกคุณนอนกันได้เหรอ…”
“หรือว่าม้าฝันร้ายนั่นทำให้คนหลับได้ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่าได้ในทันที “แต่ว่าที่เราเจอก่อนหน้านี้ มันไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นี่นา”
หลังจากที่เธอและซางเจี้ยนเย่าตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่กลายเป็นจริง ก็ไม่ได้หลับกันอีกเลย
“หรือว่ามันทำให้หลับได้ทีละคนเท่านั้น พอเจอเป้าหมายหลายคนก็เลยล้มเลิกไป…” ซางเจี้ยนเย่าเงยหน้ามองเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่
ก่อนหน้านี้ เฉียวชูเผชิญหน้ากับม้าฝันร้ายเพียงลำพัง แต่เขาก็ยังรอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้
ซางเจี้ยนเย่าหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ
“หรือว่ามีสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่นี่ด้วย สัตว์ประหลาดที่ทำให้คนนอนหลับได้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลงเยว่หงก็หนาววาบขนลุกเกรียวทั่วร่าง รู้สึกเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ในความมืดรอบกายเต็มไปหมด
“ผมจะไปดูว่าพอจะช่วยอะไรเขาได้ไหม ช่วยระวังรอบข้างให้ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปหาอู๋โส่วสืออย่างเปิดเผยราวกับจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ
เขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว ทันใดเสียงหอนที่แหบแห้งอ้างว้างก็พลันดังขึ้นมาจากภายในซากเมือง
“บรู๊ววว!”
เสียงหอนนี้ดังก้องจนทะลุผ่านชั้นเมฆ จนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน