รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 78 แหล่งที่มาของภาพลวงตา

เมื่อได้ยินคำอธิบายของซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หงพลันรู้สึกขนลุกเกรียว ความหวาดกลัวแผ่ลามขึ้นมา จนอดขัดจังหวะอีกฝ่ายไม่ได้

“พอ… หยุดเลย!

“เลิกพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้จะได้ไหม”

“นี่จะช่วยให้นายจำได้ฝังใจไงล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง “ทีหลังพอนายไปเจอเข้าอีก ก็จะได้สามารถตอบโต้ได้ทันที”

“ยะ… อย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่ต้องพบไม่ต้องเจอได้เป็นดีที่สุด!” หลงเยว่หงถึงกับขวัญผวาเพราะคำพูดอัปมงคลของซางเจี้ยนเย่า เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนอับโชคอยู่แล้ว กลัวว่าเพื่อนสนิทพูดอะไรออกมาตัวเองก็จะเจออย่างนั้น

ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” คำหนึ่ง แล้วหันไปทางเจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ข้างหน้า แล้วพยักหน้าให้อย่างจริงใจ

“ขอบคุณ”

เมื่อสักครู่ตอนที่เขากำลังอธิบาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็สาดไฟฉายไปด้านหลังทำให้เกิดเป็นเอฟเฟ็กต์แสงเงาที่เข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง

ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน มีเพียงเจี่ยงไป๋เหมียนเท่านั้นที่ถือไฟฉายไว้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นถืออาวุธเพื่อให้พร้อมยิงได้ตลอดเวลา จึงใช้วิธีเปิดไฟฉายแล้วห้อยเข็มขัดเอาไว้ ปล่อยให้ไฟส่องพื้นที่ในแนวตั้งส่องบริเวณรอบตัวไม่กว้างมากนัก

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแล้วหันไฟฉายไปด้านหน้า

“ที่นายเพิ่งพูดไปน่ะ คล้ายกับที่ฉันเดาไว้แหละ

“ภาพหลอนที่พวกเราเห็นกันนั้นไม่ได้เกิดมาจากจินตนาการของตัวเราเอง ต้องเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่สร้างภาพหลอนพวกนี้ขึ้นมา แต่ด้วยสติปัญญาของมันที่สูงกว่าสัตว์ร้ายแค่นิดเดียว ไม่มีทางที่มันจะประมวลผลและจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อนมากขนาดนั้นได้

“ดังนั้นเราสามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าทุกอย่างที่พวกเราเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเคยเจอมาก่อน แต่น่าจะเป็นการจับเอาหลายๆ อย่างมาผสมกันแล้วปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างให้เรียบง่ายขึ้น

“นี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ”

เมื่อได้ฟังคำพูดของหัวหน้าทีม ไป๋เฉินก็พูดอย่างครุ่นคิด

“กลิ่นอายที่ทำให้คนหวาดกลัวสุดขีดจนทนแทบไม่ไหว ดูเหมือนจะมีอยู่จริงๆ ด้วยสินะ…

“ไม่รู้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ไปเจอมาจากที่ไหน… เจ้าของกลิ่นอายนั้นมีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันนะ…”

พูดถึงตรงนี้ เธอกับเจี่ยงไป๋เหมียนก็ตอบออกมาพร้อมๆ กันทันที

“ห้องแล็บลึกลับนั่น!

“ตัวที่ส่งเสียงหอนคำรามดังสนั่นนั่น!”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าใช้มือเดียวตบที่ด้านข้างปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ราวกับว่ากำลังตบมือให้

“ขอบใจย่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบมาหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ จากนั้นก็หันไปตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากรอบตัวต่อ พร้อมกับใช้ไฟฉายส่องเพื่อสังเกตพื้นที่ไปพลาง เรียบเรียงคำพูดไปพลาง “บางที ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอาจจะเคยเข้าใกล้ห้องแล็บ อาจมีเส้นทางที่ไหนซักแห่งที่ตอนนี้คนทั่วไปยังไม่เคยเจอมาก่อน แล้วมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวสุดขีดนั่น…”

“แล้วแอ่งเลือดเนื้อที่ขยับตุบๆ อยู่นั่นล่ะ” หลงเยว่หงถาม

ไป๋เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“อาจเป็นตัวอย่างทดลองที่ล้มเหลวในห้องแล็บ แต่ว่านะ… โลกเก่าก็ถูกทำลายมาตั้งเกือบ 70 ปีแล้ว ไม่มีทางที่ตัวอย่างทดลองที่ล้มเหลวนั่นจะอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้”

“บางที ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอาจจะเห็นกองเลือดเนื้อแห้งๆ ปกติมันก็จับหนอนที่คลานกระดึ๊บกระดึ๊บกินเป็นอาหาร ตอนที่สร้างภาพหลอนก็เลยจับเอาทั้งสองอย่างผสมเข้าด้วยกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามทำความเข้าใจมูลเหตุของฉากนั้น “หญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นกับโครงกระดูกเด็กทารกในห่อผ้าอ้อมนั่นน่าจะมีอยู่จริง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ายังร่อนเร่ไปๆ มาๆ อยู่ที่ไหนสักแห่งในซากเมืองนี่หรือเปล่า

“สรุปก็คือหญิงชรานั่นมีพลังที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า หรือไม่ก็การที่ได้เจอเธอก็เกิดไปกระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เข้า จนมันเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง เลยทำให้สร้างภาพลวงตาขึ้นจากสิ่งที่เคยพบเห็นเคยได้ยินมาก่อนอย่างอัตโนมัติ”

ไป๋เฉินเดาต่อทันที

“หญิงชรานั่นอาจเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ แต่ว่าเด็กที่เธอคลอดออกมานั้นเสียชีวิตไปเสียก่อน เธอก็เลยยังอุ้มโครงกระดูกเด็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เพราะปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง

“นี่ก็เลยทำให้เกิดผลกระทบกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนอื่นๆ ในเรื่องสัญชาตญาณการสืบพันธุ์และความเป็นแม่”

“แต่ปัญหาก็คือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ไม่ควรจะมีความสามารถในการพูดภาษา แล้วทำไมถึงพูดว่า ‘พวกเจ้าส่งเสียงรบกวนเสี่ยวชง’ ออกมาได้ล่ะ หรือว่านี่เป็นลักษณะพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยังมีอีก… อายุของเธอก็ไม่ได้อยู่ในวัยจะตั้งท้องได้แล้ว นอกเสียจากว่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไปก็คิดไปด้วย

แต่ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมาเสียก่อน

“มีใครเกิดมาแล้วแก่เลย ไม่เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวบ้างล่ะ

“บางทีตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย หญิงชรานั่นอาจจะเพิ่งอายุยี่สิบก็ได้ ใช่ไหมล่ะ

“แล้วตอนนั้นเธอก็กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ ส่วนเด็กทารกก็ตายทันที

“นี่เป็นความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรงต่อ ‘คนไร้ใจ’ ที่มีสัญชาตญาณการสืบพันธุ์และความเป็นแม่ เลยทำให้เธอจำคำพูดที่เธอพูดตอนเด็กเสียชีวิตได้

“หลังจากนั้นเธอก็อุ้มเด็กไว้ ล่าเหยื่อไปพลาง กระซิบซ้ำๆ ไปพลาง

“‘พวกเจ้า… ส่งเสียง… รบกวน… เสี่ยวชง…’

“พอแบบนี้เธอก็เลยพูดคำนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทารกกลายเป็นโครงกระดูก ใบหน้าเธอก็มีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวันเวลาที่ผ่านไป

“จนถึงทุกวันนี้ เธออาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในซากเมืองนี้ อุ้มผ้าอ้อมที่ห่อโครงกระดูกทารกไว้ แล้วก็พูดกระซิบอยู่ประโยคเดียวซ้ำๆ

“‘พวกเจ้า… ส่งเสียง… รบกวน… เสี่ยวชง…’”

“เฮ้ย นายอย่าเอาน้ำเสียงที่ใช้เล่าเรื่องผีมาเล่าซะเป็นจริงเป็นจังแบบนี้สิ! มันก็แค่สิ่งที่เดาเอาเองทั้งนั้น!” หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกขนลุกซู่ ในหูก็เหมือนจะได้ยินแต่คำว่า ‘พวกเจ้า… ส่งเสียง… รบกวน… เสี่ยวชง…’ ดังวนซ้ำไปซ้ำมา

“นายไม่คิดเหรอว่าเล่าแบบนี้น่ะ เข้ากับบรรยากาศจะตาย” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกเสียใจ

“นายไม่กลัวบ้างหรือไง” หลงเยว่หงถามด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนขัดจังหวะ ‘การถกเถียง’ ระหว่างคนทั้งคู่ พูดพลางพยักหน้าเบาๆ

“นี่คล้ายกับที่ฉันคิดมากเลยล่ะ

“เอาละ เลิกคุยเรื่องนี้กันได้แล้ว ตอนนี้เราต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ให้กระจ่างกันก่อน

“พวกเราต้องรีบออกจากพื้นที่ใต้ดินนี้โดยเร็วที่สุดและกลับขึ้นไปชั้นหนึ่ง ถึงตอนนั้นก็มีเวลาเหลือเฟือให้ทบทวนหลังศึกแหละ”

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบรับหนักแน่นแต่พยายามกดเสียงลง

ขณะที่พูดกันอยู่ พวกเขาก็มาถึงสุดปลายทางเดินกันแล้ว

“เลี้ยวซ้าย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไม่ลังเล

หลังจากเลี้ยวซ้าย เดินไปจนสุดทาง และเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ก็จะกลับไปถึงทางเดินที่เป็นทางเข้าเพื่อขึ้นบันได

พอออกคำสั่งเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้าไปมองทางขวาโดยไม่รู้ตัว

มันเป็นทางลงไปสู่ชั้นล่างที่ลึกลงไป

“เฮ้อ น่าเสียดายชะมัด ที่จริงแล้วฉันอยากจะไปห้องเครื่องใต้ดินแล้วเปิดเครื่องจ่ายพลังงานให้กับซากเมืองนี้ เปิดประตูห้องแล็บลึกลับ ดูว่าข้างในนั้นมีความลับอะไรที่ซ่อนอยู่บ้าง และค้นคว้าวิจัยเรื่องอะไรกันแน่”

ประโยคที่พูดออกมานี้ไม่ใช่เสียงผู้หญิง แต่เป็นเสียงห้าวของผู้ชาย

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหันหน้ากลับมาทันที แล้วกลอกตาใส่ซางเจี้ยนเย่า

“หือ… ช่วยพากย์เสียงให้ฉันหรือไงยะ

“แต่ก็ใช่ล่ะ เมื่อกี้ฉันก็คิดแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ

“แล้วนายเดาได้ไหมว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“คิดว่า… อยากจะตบกบาลสุนัขของเจ้าซางเจี้ยนเย่านี่เสียจริงๆ ”

ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันได้ตอบ ไป๋เฉินก็อดถอนใจไม่ได้

“หัวหน้า พวกเราต้องรีบกลับไปชั้นหนึ่งให้เร็วที่สุดนะ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า “ต้องโทษไอ้หมอนี่คนเดียว เป็นตัวทำลายบรรยากาศชัดๆ ฉันพูดกับนายนั่นแหละ จริงจังหน่อยสิ!”

พูดจบเธอก็ไม่สนใจซางเจี้ยนเย่าอีก สาวเท้าก้าวไปยังทางเดินด้านซ้ายมือ

ไป๋เฉิน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่าตามหลังไปติดๆ

ประตูห้องทั้งซ้ายขวาสองด้านของทางเดินเส้นนี้ล้วนแต่เปิดออกหมด ทำให้มองเห็นทางเดินฝั่งตรงข้าม บางห้องถูกปิดสนิท จึงไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแต่คอยตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้พยายามเปิดประตูบานอื่นๆ เพื่อค้นหาว่ามีความลับที่อะไรซ่อนอยู่ข้างใน

ขณะที่กำลังเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็จ้องเขม็ง รีบตะโกนขึ้นมา

“หลบ!”

ระหว่างที่กำลังพูด เธอก็พุ่งกระโจนแนวเฉียงไปด้านหน้า กลิ้งม้วนตัวเข้าไปในห้องด้านข้าง

ไป๋เฉิน หลงเยว่หง ซางเจี้ยนเย่า ทั้งหมดต่างก็เชื่อมั่นเธออย่างหมดใจ รีบหลบในทันที

สองคนแรกกระโดดเข้าไปในห้องด้านข้าง เหลือเพียงซางเจี้ยนเย่าคนเดียวที่ประตูไม้บานใกล้ตัวที่สุดกลับปิดสนิท

แต่นั่นไม่อาจหยุดยั้งซางเจี้ยนเย่าไว้ได้ เขาพุ่งกระแทกบานประตูให้เปิดออกแล้ว ‘รีบ’ เข้าไป

วินาทีถัดมา ลูกระเบิดที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหนก็หล่นลงมาในตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้

ตูม!

ประตูรอบข้างแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พื้นเป็นหลุมยุบลงไป ถูกเปลวเพลิงแผดเผาเป็นรอยดำไหม้เกรียม

ทว่าหลังจากการระเบิดนี้กลับไม่มีการโจมตีอื่นติดตามมา และไม่มีใครปรากฏออกมาด้วย

เจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน หลงเยว่หง ต่างยังคงซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่กล้าออกมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

ในตอนนี้ ห้องที่ซางเจี้ยนเย่าพุ่งชนเข้าไปนั้นมีแสงส่องออกมา

ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นหน้าจอ LCD ส่องแสงจ้า บนหน้าจอมีภาพที่ไม่ใช่คนของจริง และมีลักษณะแปลกๆ เคลื่อนไหวไปมา

ด้านหน้าของจอ LCD มีอุปกรณ์เครื่องสีดำเครื่องหนึ่งวางอยู่ เด็กชายผมสีดำคนหนึ่งซึ่งเดิมทีนั้นนั่งอยู่หน้าเครื่อง แต่เนื่องจากมีคนบุกรุกเข้ามา ด้วยความตกใจเขาจึงโยนแป้นควบคุมทิ้งทันที แล้วกระโดดไปซ่อนอยู่หลังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก

ปฏิกิริยาของซางเจี้ยนเย่านั้นต่างไปจากที่เด็กชายคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้โจมตีออกไปหรือว่าเคลื่อนไหวเพื่อหลบ แต่กลับจ้องมองจอ LCD อย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วถามขึ้น

“นี่คืออะไรเหรอ”

เด็กชายชะงักไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบกลับมาอย่างกลัวๆ

“ปะ… เป็นเกมน่ะ

“เกมเก่ามาก… ผมหาอุปกรณ์วีอาร์[1]ไม่เจอ ก็เลย… ก็เลยเล่นได้แต่เกมแบบนี้…”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอีก

“สนุกไหม”

“สนุกสุดๆ” เด็กชายตอบกลับมาโดยอัตโนมัติ

“เล่นยังไงเหรอ” ซางเจี้ยนเย่านั่งลงแล้วถามขอคำแนะนำจากใจจริง

เด็กชายคนนั้นมองสำรวจซางเจี้ยนเย่าสิบกว่าวินาทีก่อนจะออกจากที่ซ่อนอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วค่อยๆ ลงไปนั่งข้างๆ ซางเจี้ยนเย่าอย่างช้าๆ หยิบเอาแป้นควบคุมขึ้นมา

“อ้อ ใช่ เธอชื่ออะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นอย่างมีมารยาท

เด็กชายอายุประมาณ 7-8 ปี เมื่อยามที่ได้ถือแป้นควบคุมเอาไว้ ใบหน้าตุ้ยนุ้ยจ้ำม่ำก็ราวกับเปล่งประกายออกมา

เขาตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ

“ผมเหรอ

“ผมชื่อเสี่ยวชง”

* * * * *

[1] อุปกรณ์วีอาร์ (虚拟游戏舱) หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมเกมเสมือนจริง (Virtual Reality – VR) ซึ่งมีทั้งแบบแว่นสวม แบบที่นั่งควบคุม หรือแบบเป็นแคปซูลให้นอนลงไปได้ทั้งตัว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset