หลังจากจ้วงกินโยเกิร์ตสูตรน้ำตาลต่ำจนหมดเกลี้ยงแล้ว ซางเจี้ยนเย่าถือกล่องอาหารเงยหน้าจ้องมองเหรินเจี๋ยกับหลี่เจินอีกครั้ง
หญิงสาวทั้งสองที่รับหน้าที่แจกจ่ายศีลมหาสนิทจงใจเมินเขาโดยสิ้นเชิง ตักโยเกิร์ตแจกในภาชนะทรงกระบอกให้กับสมาชิกแต่ละคนในลำดับทวนเข็มนาฬิกา
หลังจากเสร็จพิธีรับศีลแล้วหลี่เจินก็ถืออุปกรณ์รับประทานอาหารเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในโดยผ่านประตูกลาง ส่วนเหรินเจี๋ยนั้นพูดคุยสนทนากับสมาชิกคนอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง และถามความคิดเห็นเกี่ยวกับศีลมหาสนิทในวันนี้
ในระหว่างที่พูดคุยกัน เธอไม่ได้หันหน้าไปทางซางเจี้ยนเย่าแม้แต่นิดเดียว เพราะเธอพอจะเดาได้ว่าเจ้าหมอนี่จะพูดอะไร
เขาต้องบอกว่า ‘อร่อยมากแต่น้อยไปหน่อย’ แน่ๆ ทำไมตอนนั้นถึงได้ดึงคนแบบนี้มาเข้านิกายได้นะ ถึงแม้ว่า ‘คุรุศักดิ์สิทธิ์’[1] จะพูดเสมอว่าต้องการให้เราเพิ่มจำนวนสมาชิกที่เป็นหนุ่มสาวเยาวชน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งจะถึงวัยจัดสรรจับคู่ แต่คนหนุ่มสาวนั้นก็น่าจะต้องคัดเลือกกันซักหน่อย…
เหรินเจี๋ยเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า และตัดสินใจเลิกล้มความคิดที่จะให้ซางเจี้ยนเย่าเล่าประสบการณ์ที่ไปออกภาคสนามให้คนอื่นฟังกัน
เธอเดินไปยังทางเดินที่นำไปสู่ประตูกลาง แล้วก็หันกลับมาพูดกับทุกคน
“การชุมนุมวันนี้ก็จบลงเท่านี้ ทุกคนค่อยๆ ทยอยกลับออกไปได้แล้วล่ะ ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วย”
สมาชิกทุกคนโค้งคำนับพร้อมกันแล้วทยอยออกจากบ้านของหลี่เจิน จากนั้นต่างก็แยกย้ายเดินไปในทิศทางต่างๆ บนถนนยามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงไฟถนนส่องทาง
ซางเจี้ยนเย่ากับเสิ่นตู้เดินไปด้วยกัน พวกเขาสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่ ถือไฟฉายอันใหญ่เทอะทะ เดินเงียบๆ หลบกล้องวงจรปิด
เมื่อตอนจะแยกจากกัน เสิ่นตู้แหงนมองเพดานที่จมอยู่ในความมืดแล้วถามขึ้น
“ท้องฟ้าของจริงนี่เป็นยังไงเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูแสงจากไฟฉายก่อนจะตอบ
“อยู่สูงมาก สีฟ้ามาก เวิ้งว้างมาก”
เสิ่นตู้นิ่งเงียบไป จากนั้นก็แยกจากซางเจี้ยนเย่าและเดินกลับไปบ้านตัวเอง
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากลับไปถึงห้อง 196 เขต B แล้วก็นอนหลับต่อ รอจนกระทั่งช่วงเวลาเร่งด่วนจบลง เขาถึงจะรีบออกไปกินมื้อเช้าก่อนที่โรงอาหารจะปิด
เมื่อเติมกระเพาะจนเต็มแล้ว เขาก็ไปที่โถงลิฟต์ตรงหัวมุมเขต C
ลิฟต์ทั้ง 12 ตัวที่นี่จะพาไปยัง ‘เขตค้นคว้าวิจัย’
ซางเจี้ยนเย่ากดปุ่มชั้น 25 อย่างชำนาญ ขณะที่ลิฟต์กำลังเลื่อนลงเขาก็รูดบัตรแล้วกด ‘3’
หลังจากที่มาถึงชั้น 3 ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปตามทางเดินด้านนอกของประตูโลหะ เข้ามายังห้องด้านในสุดทางขวามือ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เขาเคาะประตู
“ใครคะ” เสียงอ่อนโยนของผู้หญิงดังออกมา
ซางเจี้ยนเย่าแจ้งชื่อตัวเองแล้วต่อด้วยวัตถุประสงค์
“คุณหมอหลิน ผมมาตามเวลานัดติดตามอาการครับ”
คุณหมอหลินภายในห้องยิ้มขึ้นทันที
“เสี่ยวซางนั่นเอง…
“พอดีเลย ตอนนี้หมอว่างแล้ว เข้ามาเถอะ”
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าที่ได้รับอนุญาตแล้วบิดลูกบิดแล้วผลักประตูเปิดเข้าห้อง
หมอหลินยังคงสวมแว่นตากรอบทอง สวมเสื้อคลุมสีขาว เธอนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสีไม้ธรรมชาติ ควงปากกาในมือเล่น
ที่ต่างจากครั้งก่อนหน้านี้ก็คือเธอไม่ได้เกล้าผมม้วนไว้ แต่ปล่อยให้มันห้อยสยายลงมา ทำให้ดูอ่อนวัยลงไปหลายปี
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหมอหลิน” ซางเจี้ยนเย่าทักทายด้วยรอยยิ้ม
หมอหลินชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ นั่งสิ”
เธอพูดพลางมองดูแฟ้มประวัติที่วางอยู่ด้านหน้าไปด้วย
หลังจากที่ซางเจี้ยนนั่งลงเรียบร้อยแล้วเธอก็ถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“ไปออกภาคสนามมา กลับมาได้กี่วันแล้วล่ะ”
“กลับมาถึงเมื่อวานครับ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบัง
หมอหลินใช้ปลายปากกาเคาะโต๊ะ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้ค่อนข้างกะทันหันไปหน่อย งั้นก็เลื่อนการทดสอบไปก่อนก็แล้วกัน วันนี้เราคุยกันสบายสบายดีกว่า
“เป็นไงบ้าง ไปออกภาคสนามมาครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดีใช่ไหม”
“ดุเดือดมากครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามจริง
หมอหลินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“ดุเดือดยังไง”
“ก็ระดับที่ทำให้พนักงานทั่วไปตายแล้วตายอีกได้หลายครั้งเลยล่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าพยายามหามาตรฐานมาอ้างอิงเปรียบเทียบให้ฟัง
“งั้นคุณก็โชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาได้” หมอหลินอดทอดถอนใจไม่ได้
จากนั้นเธอก็ยิ้มให้
“งั้นเล่าประสบการณ์ของคุณให้ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป็นมาตรการรักษาความลับหรอก”
ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าที่กำลังหวนรำลึก
“เราขับรถออกจากประตูทางออก ไปที่พื้นโลก ท้องฟ้าสีฟ้ามาก สูงมาก เวิ้งว้างมาก รู้สึกเหมือนจะดูดคนขึ้นไป น่ากลัวมากๆ แต่ก็เริ่มชินแล้ว…
“รอบตัวมีต้นไม้เยอะแยะ ใบไม้เป็นสีเขียวบ้างเหลืองบ้าง ในอากาศมีกลิ่นเหมือนอึสดๆ”
“พอแล้ว!” หมอหลินบีบจมูก “เรื่องนี้ไม่ต้องลงรายละเอียดถึงขนาดนี้หรอก”
แล้วเธอก็ยกถ้วยชาขึ้นมา ดื่มเข้าไปหนึ่งอึก
“หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นไม่มีแล้วครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
“หือ” หมอหลินชะงักไปชั่วขณะ
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายให้ฟัง
“ทุกเรื่องหลังจากนี้มันเกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับน่ะครับ”
“…” หมอหลินอึ้งไปเล็กน้อย “พูดอีกอย่างก็คือ คุณเพิ่งจะออกจากบริษัทไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็เจอกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับแล้วใช่ไหม งั้นเรื่องราวหลังจากนี้ ยังมีเรื่องอะไรที่เล่าได้อีกไหม”
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมกินเนื้อย่างแดงกระป๋อง ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง ไปปัสสาวะในพุ่มไม้ครั้งหนึ่ง ฆ่ายุงไปสองตัว…”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเล่าแล้ว” หมอหลินรู้สึกจนใจ
เธอเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะอดถามต่อด้วยความสงสัยไม่ได้
“นอกจากรายละเอียดในชีวิตประจำวันแล้ว ที่เหลือล้วนแต่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความลับทั้งหมดเลยเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า
“ต้องรอให้บริษัทตรวจสอบให้เสร็จก่อน ถึงจะบอกได้ว่าอะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้”
“อืม” หมอหลินถอนหายใจ “นี่พวกคุณไปเจอเรื่องอะไรมากันแน่ เอ่อ… มีใครบาดเจ็บล้มตายบ้างไหม”
เธอกลัวว่านี่จะไปกระตุ้นให้อาการของซางเจี้ยนเย่าแย่ลง
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“ไม่มีครับ”
หมอหลินถอนใจโล่งอก และตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จากประสบการณ์ที่เจอบนพื้นโลก คุณรู้สึกไหมว่าตัวเองเติบโตขึ้น”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวอย่างจริงจัง “ผมตระหนักได้ว่าการช่วยเหลือมนุษยชาติทั้งหมดนั้นเป็นภารกิจที่ยากลำบากมาก ขนาดว่าเพียงแค่เมืองเล็กๆ หรือนิคมคนเร่ร่อน หรือแม้แต่พวกเด็กๆ เรายังช่วยพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
หมอหลินพยักหน้าโล่งใจ
“เข้าใจก็ดีแล้ว
“ฉันไม่ได้บอกว่าอุดมคติของคุณมีปัญหาหรอกนะ เพียงแต่คิดว่าควรจะเริ่มจากเป้าหมายที่ง่ายต่อการบรรลุก่อนดีกว่า
“นี่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คุณ และช่วยให้อาการคุณดีขึ้น”
ซางเจี้ยนเย่าตอบทันที
“ใช่แล้วครับ
“ดังนั้นผมต้องขยันฝึกฝนตนเองให้มากขึ้น เพิ่มระดับความสามารถให้ตัวเอง มีเพียงต้องทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถช่วยมนุษยชาติทั้งหมดได้”
“…” หมอหลินกลอกตา ถอนใจอยู่เงียบๆ
โดยไม่รอให้เธอพูดอะไร ซางเจี้ยนเย่าก็ถามต่อ
“หมอหลินครับ เหตุผลหลักที่ผมมาหาคุณหมอวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะถามน่ะ ผมควรต้องทำไงดีถึงจะเอาชนะความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจได้”
สีหน้าหมอหลินเปลี่ยนไป เธอคลี่ยิ้มออกมา
“เป็นคำถามที่ดี”
เธอไม่ได้ใช้คำศัพท์ทางวิชาการ แต่พูดด้วยคำพูดทั่วไปเพื่อทำให้คนฟังสามารถเข้าใจได้ง่าย
“ความเห็นส่วนตัวของหมอนะ สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเอาชนะความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจก็คือต้องรู้จักมันเสียก่อน จากนั้นถึงค่อยเผชิญหน้ากับมัน
“การเอาแต่หลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ จะไม่มีวันแก้ปัญหาได้
“บางทีอาจจะต้องมองดูที่บาดแผลเจ็บปวดนั้นอย่างซึ่งๆ หน้า”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าครุ่นคิดใคร่ครวญ หมอหลินก็เสริมขึ้น
“แต่ว่าในการฝึกซ้อมนั้นฉันไม่แนะนำให้เผชิญหน้ากับความกลัวแบบซึ่งๆ หน้าโดยตรง เพราะมันมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดบาดแผลรอบสอง และทำให้สภาพจิตใจพังทลายอย่างสมบูรณ์
“ขั้นตอนที่ถูกต้องก็คือควรจะใช้วิธีการที่เหมาะสม ค่อยๆ เข้าใกล้ความกลัวไปทีละขั้นทีละขั้นจากเปลือกนอกเข้าไปสู่แก่น ซึ่งในกระบวนการเหล่านี้จะค่อยๆ สร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เยียวยาบาดแผลไปทีละนิดทีละนิด
“เมื่อคุณสามารถเผชิญหน้ากับฝันร้ายได้ซึ่งๆ หน้าแล้ว คุณก็จะรู้สึกได้ว่ามันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย สามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย”
พูดถึงตรงนี้หมอหลินก็ยิ้มออกมา
“คุณสามารถบอกความรู้สึกแบบกว้างๆ ให้หมอฟังได้นะ หมอจะได้ช่วยแนะนำวิธีการได้บ้าง”
ซางเจี้ยนเย่ายังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร
หมอหลินไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพียงแค่ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก คุณค่อยๆ คิดไปก่อน ยังมีเวลาให้ใคร่ครวญตลอดทั้งสัปดาห์
“พอถึงสัปดาห์หน้าก็ค่อยมาติดตามผลกันใหม่
“หรือถ้าคุณรู้สึกว่าไม่อยากพูดออกมาต่อหน้าหมอ จะเปลี่ยนเป็นใช้วิธีอื่นบอกก็ได้นะ หรือไม่ก็เล่าให้คนที่ไว้ใจได้ฟัง”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย
“ขอบคุณครับ คุณหมอหลิน”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและบอกลาอย่างมีมารยาท
หลังจากกลับไปถึงชั้น 495 ซางเจี้ยนเย่าก็ตรงไปยังโซนลิฟต์ที่สี่ที่อยู่อีกทางหนึ่ง
จากที่นี่สามารถไปที่แผนกความมั่นคงได้
ซางเจี้ยนเย่ารออยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปช้าๆ รูดบัตรแล้วก็กดปุ่มไปชั้นที่ 647
เพียงไม่นานก็มาถึงห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกับห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จากนั้นก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าบางๆ
ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะผลักประตูห้องฝึกซ้อมให้เปิดออก ก็มองเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนที่มัดผมหางม้านั่งอยู่บนม้านั่ง ใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อบนหน้าผาก
“ทำไมถึงมานี่ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรับรู้ถึงการปรากฏกายของเขาก่อนล่วงหน้าแล้ว
เธอจำได้ว่าตนเองบอกให้สมาชิกทีมทั้งสามคนได้หยุดพักสองวัน
“มาฝึกน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความเป็นจริง
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่พักหนึ่งและก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“นั่นสินะ ในช่วงเวลานี้เพื่อนๆ ของนายทำงานกันหมด นายอยู่ที่บ้าน นอกจากนอนแล้วก็ไม่มีอะไรทำ”
“ยังอ่านหนังสือได้อยู่” ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะถลึงตาใส่ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันไปมองประตูอีกครั้ง
ไป๋เฉินซึ่งพันผ้าพันคอสีเทาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงนั้น
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เธอก็เริ่มพูดออกมาก่อน
“ฉันไม่มีอะไรทำน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วชมออกมาคำหนึ่ง
“ไม่เลว”
ไป๋เฉินเพิ่งจะเดินเข้ามาไม่กี่ก้าว หลงเยว่หงก็หยิบผ้าขนหนูเดินเข้ามา
“ทะ… ทำไมมาอยู่นี่กันหมดล่ะ” หลงเยว่หงเห็นว่าทั้งหัวหน้าทีม ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ทุกคนต่างก็มองมาที่ตัวเอง ทำให้รู้สึกประหลาดใจและตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ทำไมนายมานี่ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้คำถามแทนการตอบ
หลงเยว่หงพูดตะกุกตะกัก
“ผู้หญิงที่แม่ผมแนะนำให้ เขากำลังทำงานอยู่น่ะ ต้องรอตอนเย็น ถึงจะ… ถึงจะได้เจอกัน ผมคิดว่าในเมื่อไม่มีอะไรจะทำ ไม่สู้มานี่ดีกว่า อย่างน้อยก็มาฟื้นฟูร่างกาย”
รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ดีมาก”
จากนั้นเธอมองดูทุกคนรอบๆ แล้วแกล้งทำสีหน้าจริงจัง
“ไหนๆ ทุกคนก็มาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว งั้นก็มาฝึกซ้อมต่อสู้กันเถอะ”
“หา…” สีหน้าหลงเยว่หงกลายเป็นเหยเกทันที
* * * * *
เวลาสองทุ่ม ซางเจี้ยนเย่านอนอยู่บนเตียงตามปกติ เปลือกตาหรี่ปรือรอให้รายการวิทยุเริ่มออกอากาศ
สิบวินาทีต่อมา เสียงไพเราะที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ ฉัน…ผู้ประกาศข่าว ‘โฮ่วอี๋’ นะคะ ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา…
“คณะกรรมการบริหารจัดการประชุมครั้งที่ 22 ในวันนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของงานในฤดูหนาว…
“เขตนิเวศน์ภายในเก็บเกี่ยวดอกฝ้ายได้เป็นปริมาณมาก…
“เช้านี้เวลา 9 นาฬิกา 35 นาที หวังย่าเฟย ผู้รับผิดชอบ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ของชั้น 478 เสียชีวิตจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในขณะที่กำลังทำงาน…”
ซางเจี้ยนเย่าลืมตา ลุกขึ้นนั่งทันที
* * * * *
[1] คุรุศักดิ์สิทธิ์ (圣师) หมายถึง “นักปราชญ์แห่งคริสตจักร” (Doctor of the Church) เป็นตำแหน่งที่พระสันตะปาปาหรือสภาสังคายนาสากลแห่งคริสตจักร แต่งตั้งให้ผู้ที่มีความสำคัญด้านคำสอนหรือเทววิทยาศาสนาคริสต์เป็นพิเศษ หรือไม่ก็เป็นนักบุญผู้เป็นเจ้าของงานประพันธ์ที่คริสตจักรถือว่ามีคุณค่าต่อการศึกษา